〝ต่อจากนี้จะไม่มีการออมมือแล้วนะ…〞
〝ฮะฮ่ะ! พูดเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้กะเอาให้ตายเลยนะ〞
หลังจากที่ผู้ประกาศเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอกไปจากเดิม โดยมีอักขระสีแดงสดปรากฏขึ้นทั่วร่างอย่างสลับซับซ้อน รวมถึงน้ำเสียงที่เรียบเฉยและเย็นชาของเธอเองก็เปลี่ยนไปจากครั้งแรกเช่นกัน นั่นจึงทำให้กรที่ตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติแบบนั้น แต่กลับมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาหลายต่อหลายหยดอย่างต่อเนื่องจนถึงขั้นไหลลงไปถึงลำคอ และทำได้แค่หัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อนกลับไปเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าตัวเขาค่อนข้างกระวนกระวายกับสถานการณ์ในตอนนี้มากเลยทีเดียว
แย่แล้ว! แย่แล้วไหมหล่ะ! ปีศาจงั้นเหรอ?
งั้นนี่ก็คือเผ่าที่ พวกนักเรียนผู้กล้าทุกคน ต้องสู้ในอนาคตงั้นสิ? จะบอกว่าซักวันพวกรินจะต้องเผชิญหน้ากับตัวตนแบบนี้งั้นเหรอ?
ตัวเราเองยังไม่มั่นใจ 100% เลยว่าจะชนะยัยนี่ได้
พวกรินหน่ะไม่ไหวหรอก! ไม่ได้ดูถูกนะ แต่ยังไงก็ไม่ไหวชัวร์ๆ——
〝รับมือ!!!〞
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!—————————
〝!!!!!!〞
หลังจากการสนทนาพอเป็นพิธีจบลง ผู้ประกาศสาวก็ทำการยิงศรสีดำแดงออกมาจากทางด้านหลังโดยที่ไม่ได้ร่ายเวทย์อีกครั้ง แต่หนนี้มีจำนวนมากถึง 200 ดอกต่อวินาทีเลยทีเดียว กรจึงตอบสนองกลับทันทีด้วยการสร้างโล่สีขาวที่มีลวดลายอันวิจิตรและงดงาม ด้วยสกิล『Sacred God Armor Form』ขึ้นมา 6 อันโดยทำเป็นสองขั้น ขั้นละ 3 อัน จากนั้นก็สร้างแบบเดียวกันอีกครั้งนึงจนกลายเป็นโล่ 2 ชั้น รวมทั้งสิ้นแล้ว กรได้สร้างโล่จากสกิลนี้ถึง 12 อันในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
จากนั้นลูกศรสีดำแดงจำนวนมหาศาลก็พุ่งตรงมายังจุดที่กรยืนอยู่เป็นห่าฝนเลยทีเดียว การโจมตีส่วนใหญ่ไม่สามารถทะลุไปถึงโล่ชั้นที่ 2 ของกรได้ แต่ก็มีบ้างที่โล่ถูกการโจมตีมากกว่าหนึ่งครั้งซ้อนกัน จนสามารถเล็ดรอดเข้าไปได้ และแทงลึกมาจนถึงจุดที่กรยืนอยู่ข้างหลัง กรจึงสร้างโล่เพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่งเป็นทั้งหมด 18 อัน
ชั่วพริบตาที่กรสร้างโล่ขึ้นมาถึง 3 ชั้นนี้ ก็ทำการใช้สกิล『เนตรทวิกาล』อีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ที่กรทำการปลดมันออกเป็นเพราะ พลังเวทย์ของกรในตอนนั้นเหลือ 70% จากการคำนวณล่วงหน้า นี่คือจุดปลอดภัยที่กรต้องเก็บพลังเวทย์ไว้ใช้
แต่หลังจากที่กรดูดพลังเวทย์มาจากผู้ประกาศก่อนหน้านี้ ซึ่งเรียกได้เลยว่าเป็นจำนวนที่มากมายมหาศาล หากจะตีเป็นตัวเลขก็คงประมาณ 500 ล้านจุดเลยทีเดียว นั่นจึงทำให้กรไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม ที่ผู้ประกาศสาวสามารถเติมเต็มช่องว่างอันมหาศาลนี้จนเต็มได้ในเสี้ยววินาทีนั้นทำได้อย่างไร
〝 【แอคเซลาเรชั่น!!!】〞
ทันทีที่กรได้ยินเสียงประกาศใช้เวทย์จากผู้ประกาศอีกครั้ง ก็ทำการเปลี่ยนเนตรทวิกาลให้อยู่ใน『คอมมอนโหมด』 เพื่อมองทะลุโล่ทั้งสามชั้นของตัวเองไปยังผู้ประกาศ แล้วสิ่งที่กรเห็นก็คือ ศรทั้งหมดของผู้ประกาศถูกโอบล้อมด้วยออร่าสีส้มเข็ม แล้วความเร็วของพวกมันก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิมโข แม้จะไม่เท่ากับกระสุนของกร แต่ก็มากกว่า 10 มัคเลยทีเดียว (1มัค ประมาณ 1,200 กม./ชม.)
บ้าเอ้ย! อีแบบนี้ไม่จบไม่สิ้นแหงๆเลย พลังเวทย์ของยัยนี่ไม่มีวันหมดรึไงกันฟ่ะ!
ยังไม่รู้เหตุผลที่ยัยนี่ฟื้นพลังเวทย์ได้ในเสี้ยววิเลยด้วย… คงเป็นเพราะสกิลหรือฉายามั้งนะ ถ้างั้นก็คงยากที่จะรับมือหล่ะนะ ตอนนี้ที่เราทำได้ก็คงมีแต่การเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง
ผลของ『แสงแห่งการชำระล้าง』ของเราก็ยังอยู่ สเตตัสเลยเพิ่มเป็นสองเท่า… ฉายา〘จอมเวทย์บรรพบุรุษ〙 เองก็เพิ่มความเสียหายทางเวทย์ได้อีก 2 เท่า
〘ผู้ก้าวล้ำสรรพสิ่ง〙เองก็เพิ่มอีก 2 เท่าเหมือนกัน… รวมแล้วอย่างน้อยก็จะเพิ่มสเตตัสถึง 6 เท่า
แต่การใช้แขนยักษาในสถานการณ์แบบนี้ก็เสี่ยงมากเกินไป… แผนเข้าปะทะก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่
การดับเครื่องชนลุยนี่ก็ไม่ได้อีก… ยัยนี่เป็นประเภทใช้หัวคิดนี่นา การทำแบบนั้นมันไม่ต่างกับการหลับตาเล่นหมากล้อมเลย …ฆ่าตัวตายชัดๆ!
จริงอยู่ที่การเข้าไปโจมตีมันเสี่ยง แต่การเอาแต่ตั้งรับและปล่อยให้กลายเป็นศึกยืดเยื้อนี่แหล่ะที่เสี่ยงที่สุด
ก็ยัยนั่นเติมพลังเวทย์ได้นี่นา นูเมรัลดิสเพลย์ยังคำนวณออกมาเลยว่าโอกาสแพ้ในศึกยืดเยื้อคือ 100%
ถ้างั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ต้องเข้าไปโจมตีให้รู้ผลเท่านั้นแหล่ะ!!!
.
.
ตู้ม!!! ตู้ม!!! ตู้ม!!! ตู้ม!!!——————
〝【ฟลายอิ้งจั้มพ์!】【แคสติ้งลิมิตเตอร์!】【มัสเคิลเบิร์ส!】———〞
เสียงระเบิดจากการที่ศรจำนวนมหาศาลเข้าปะทะกับโล่ของกร เกิดขึ้นจนเกิดเสียงและการสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณโดยเฉพาะกรที่อยู่ข้างหลังโล่นั้น สัมผัสถึงแรงปะทะได้เป็นอย่างดี แต่กรก็ยังคงตั้งสมาธิ และทำการใช้เวทย์สนับสนุนที่ตัวเองมีแทบจะทั้งหมดเพื่อเพิ่มศักยภาพทั้งหมดให้เพิ่มขึ้นมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อเตรียมการสำหรับเข้าปะทะในอีกไม่กี่วินาที จนตอนนี้ทั่วทั้งร่างของเขาถูกคลุมด้วยออร่าสีต่างๆราวกับรุ้งกินน้ำเลยทีเดียว
〝เอาหล่ะนะ!【ปักษาสววรค์!!!】〞
ทันทีที่ประกาศใช้สกิล ปีกสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของเทพก็งอกออกมาจากบริเวณกระดูกสะบักของกร พอกรทำการกระพือปีก ตัวเขาก็พุ่งตัวขึ้นเหนือพื้นดินถึง 10 เมตรในครั้งเดียว
〝โง่รึเปล่าห๊ะ นายหน่ะ!!! คิดจะเป็นเป้านิ่งให้ฉันรึไง?〞
〝แล้วเธอคิดว่ามันจะง่ายแบบนั้นรึไงเล่า!〞
〝 【ดับเบิ้ลแอคเซล!!!】〞
〝 【ดับเบิ้ลแอคเซล!!!】〞
ทันทีที่ทั้งสองคนตะโกนแบบนั้น ทั่วร่างของทั้งสองคนก็ถูกโอบล้อมไปด้วยออร่าสีส้มแดง แล้วผู้ประกาศก็ทำการสั่งให้ศรทั้งหมดพุ่งไปยังกรที่ลอยอยู่กลางอากาศในทันที ด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมถึง 2 เท่า
แต่กรเองก็ไม่น้อยหน้า ทันทีที่ศรจำนวนพันกว่าดอกถูกซัดเข้ามา กรก็สามารถกระพือปีกและหมุนตัวเองราวกับสว่านพร้อมกับที่พุ่งเข้าไปทางผู้ประกาศและหลบเลี่ยงศรได้ทั้งหมด แม้จะเฉียดลำตัวเขาบ้างจากจำนวนที่มากเกินไป แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าปะทะแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้สเตตัสด้านความเร็วของเขาเองก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากสกิลปักษาสวรรค์ รวมถึงเวทย์ที่ใช้เร่งความเร็วของร่างกายที่ร่ายไปเมื่อครู่ ความเร็วของกรในตอนนี้เกือบจะเทียบเท่ากับกระสุนปืน 30 มัคที่เขาสร้างเองแล้วด้วยซ้ำ
〝ชิ! ถ้าความเร็วแค่นี้ใช้กับนายไม่ได้หล่ะก็!!!〞
ทันใดนั้น ด้านหลังของผู้ประกาศก็ปรากฏบอลสายฟ้าสีเหลืองทองขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอล จำนวนมากกว่า 500 ลูกในพริบตาเดียว
〝【หอกแห่งเทพเจ้าสายฟ้า•มหาวายุคลั่งวัชระโตมร!!!!】〞
ลูกบอลสายฟ้าเปลี่ยนรูปร่างเป็นหอกซัดขนาดยาวเกือบ 2 เมตรในพริบตา ก่อนที่ทั้งหมดจะพุ่งเข้าไปหากรทั้งที่เขาเองก็กำลังลอยตัวมาทางนี้เช่นกัน แตกต่างจากครั้งก่อนที่แม้จะถูกเพิ่มความเร็วจนมากกว่าความเร็วเสียงไปเกือบ 20 เท่า แต่ก็ไม่อาจทำให้กรลำบากได้ ครั้งนี้หอกทั้งหมดเป็นสายฟ้า ซึ่งก็แน่นอนว่าทั้งหมดถูกซัดออกไปด้วยความเร็วที่เทียบเท่าแสงราวกับฟ้าผ่า เธอจึงค่อนข้างมั่นใจว่ากรจะไม่สามารถหลบมันได้ แต่ทว่า…
〝บะ บ้าชัดๆ!!!!!!〞
แล้วภาพที่ปรากฏต่อหน้าของผู้ประกาศก็คือกรที่กำลังพุ่งเข้ามา เพียงแต่ที่น่าตกใจจนทำให้เธอตะโกนออกมาดังลั่นก็คือ กรที่กำลังพุ่งเข้ามานั้นมีถึง 7 คน นั่นเองแต่ทั้งหมดปรากฏเป็นเพียงภาพเบลอๆ สั่นไหวไปมาเท่านั้น และแน่นอนว่ากรไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีที่ละเอียดและรุนแรงราวกับอยู่ใต้น้ำตกนี้เลยแม้แต่น้อย
〝ไม่เห็นต้อง…〞〝…ตกใจ…〞〝…เลยนี่นา〞
ร่าง 3 ใน 7 ของกรพูดต่อๆกัน ทั้งที่ลอยเข้ามาทางผู้ประกาศ แต่ด้วยความเร็วที่ช้าลงเล็กน้อยจากเดิมเพื่อต้องการเยาะเย้ยเธออย่างจงใจ
หึหึ! แค่บินแบบสไลด์ด้านข้าง แล้วสร้างภาพติดตาขึ้นมาก็ให้ผลลัพธ์ขนาดนี้เลย ถึงจะไม่รู้ว่าสร้างได้ขนาดไหนก็เถอะนะ
แต่ก็แน่หล่ะนะ… แค่นั้นคงหลบสายฟ้าที่มีความเร็วเทียบเท่าแสงไม่ได้หรอก
แต่ตอนนี้ฉันหน่ะสามารถมองเห็นอนาคตได้เชียวนะ!!!
แถมเรายังมีสุดยอดการประมวลผลอยู่ด้วย ถึงเห็นสายฟ้าล่วงหน้าแค่ 2 วินาที ตัวเราตอนนี้ก็สามารถหลบได้อยู่แล้ว ถึงจะมีเฉียดๆไปบ้างก็เถอะ แต่ขอแค่ไม่โดนตรงๆซะอย่างก็โอเค
.
.
หลังจากที่เธอทำการโจมตีกรอย่างต่อเนื่องกว่า 30 วินาที แต่กลับไม่ได้ผลเลยซักนิด เธอจึงเลิกโจมตีด้วยวิธีดังกล่าว และคิดแผนการใหม่ในทันที
ด้วยความที่เธอถือไพ่เหนือกว่ากรในด้านข้อมูล ซึ่งสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่กรต้องการรู้ เธอจึงเริ่มการสนทนาอีกครั้งในขณะเดียวกับที่เร่งความคิดให้เร็วขึ้นพร้อมกับคิดแผนการนับร้อยอยู่ในหัว แต่ก็ไม่พ้นที่จะตั้งท่าตั้งรับและสร้างเวทย์โจมตีไว้ล่วงหน้าด้านหลังเหมือนปกติ
ส่วนกรที่เห็นเธอเปลี่ยนท่าทีกะทันหันก็ทำแค่ลอยคว้างอยู่ในอากาศ ด้วยร่างทั้ง 7 แต่ก็ยังคงระแวงผู้ประกาศไม่หายและค่อยๆเข้าหาอย่างช้าๆ พร้อมกับร่ายเวทย์สนับสนุนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
〝ถึงฉันจะอยู่ในร่างนี้ แต่ก็ยังสร้างความห่างชั้นกับนายไม่ได้เลยงั้นเหรอ… สมกับที่ผ่านการจุติมาแล้วถึง 3 ครั้งเลยนะ〞
〝หืม… นี่แอบดูมาตลอดเลยงั้นเหรอ?〞
〝…..ทำไมถึงตอบคำถามด้วยคำถามหล่ะหืม!〞
ฟุบ!
ฟุบ!
จากนั้นทั้งสองคนก็ยื่นมือข้างซ้ายของตัวเองไปข้างหน้าราวกับจะคว้าอีกฝ่ายมาอยู่ในมือ แล้วด้านหลังของทั้งสองคนก็เกิดวงเวทย์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งทั้งหมดต่างก็มีความสลับซับซ้อน จะมีก็แต่ขนาด สี รูปร่างและลวดลายของมันเท่านั้นที่ต่างกัน
วงเวทย์ทั้งหมดเพิ่มจำนวนขึ้นด้านหลังของทั้งสองคนจนนับไม่หวาดไม่ไหว เพียงแต่ของผู้ประกาศมีอัตราเร็วในการเพิ่มขึ้นมากกว่ากรเกือบๆเท่าตัว นั่นเพราะแม้กรจะถูกบัฟด้วยเวทย์สนับสนุนมากมายก็ตาม แต่ก็ต้องประกาศใช้เวทย์ก่อนอยู่ดี ซึ่งต่างจากตัวผู้ประกาศสาวที่ไม่จำเป็นต้องร่าย กรจึงต้องทดแทนด้วยพลังแทนที่ความเร็วที่ด้อยกว่าเธอแทน
〝ย้า!!!!!〞
〝ย้า!!!!!〞
วงเวทย์ทั้งหมดเปล่งแสงสว่างขึ้นจนทั่วลานประลองฉายแสงหลากสีราวกับกำลังทำการแสดงบนเวทีอยู่ยังไงอย่างงั้น แล้วจากนั้นศรแสงก็พวยพุ่งออกมาจากวงเวทย์ด้านหลังของทั้งสองคนอย่างต่อเนื่องหลายต่อหลายครั้ง พุ่งเข้าไปเพื่อหวังปลิดชีพคนที่อยู่ตรงข้ามตนเองเพื่อตอบสนองเสียงตะโกนของทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว
ตู้ม!!! ตู้ม!!! ตู้ม!!! ตู้ม!!!——————
ตู้ม!!! ตู้ม!!! ตู้ม!!! ตู้ม!!!——————
ลูกศรทั้งสองฝั่งเข้าปะทะกันตรงจุดกึ่งกลางระหว่างทั้งสองคนอย่างรุนแรง จนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งห้อง
〝อึก!〞
〝หนอย!〞
แต่ก็แน่นอนว่าศรทั้งหมดไม่อาจเข้าปะทะกันได้ ส่วนที่ไม่เข้าปะทะกัน ก็พุ่งผ่านจุดปะทะตรงกลางของทั้งสองคน และพุ่งไปยังจุดที่ทั้งสองคนอยู่บ้าง แต่ก็แค่เฉียดๆเท่านั้น ทำให้ตอนนี้อีกฝ่ายเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟันมากมายทั่วร่างและมีเลือดไหลออกมามากพอสมควร
แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้ขยับออกจากจุดที่ยืนอยู่เลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าไม่ขยับ แต่ขยับไม่ได้ต่างหาก เพราะวงเวทย์ที่ทั้งสองคนกำลังใช้อยู่นั้น เป็นเวทย์แบบต่อเนื่องที่ทำงานในระยะยาว ไม่ใช้แบบใช้แล้วทิ้งเหมือนทุกที จึงต้องใช้สมาธิในการควบคุมมากทีเดียว แถมจำนวนก็ยังมากกว่า 200 อันอีกต่างหาก เรียกได้ว่าหากเสียสมาธิไปเพียงเสี้ยววินาที ก็สามารถทำให้วงเวทย์หยุดทำงานได้เลย
〝【เอ็กซ์โพลชั่น!!!】〞
〝【ไฟเยอร์บอมบ์!!!】〞
ตู้ม!!! ตู้ม!!!
และแน่นอนว่าทั้งสองคนไม่ปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บมากไปกว่านี้ แม้จะโดนแค่เฉียดๆ แต่จะโดนจุดสำคัญตอนไหนก็ขึ้นอยู่กับเวลา กรและผู้ประกาศสาวจึงใช้เวทย์เพื่อขัดจังหวะอีกฝ่ายพร้อมๆกันขึ้นมาในทันที
ทันใดนั้นตรงพื้นจุดที่ผู้ประกาศยืนอยู่ก็เกิดระเบิดขนาดใหญ่ขึ้น จนถึงขนาดที่แรงระเบิดถูกส่งไปถึงมีอาที่อยู่บนอัฒจันทร์ได้เลยทีเดียว จนเพลิงสีดำทมิฬบริเวณเท้าของเธอเองก็ถูกแรงระเบิดพัดหายไปพร้อมๆกันด้วย
ส่วนทางด้านของกรเองก็ถูกขัดจังหวะโดยบอลเพลิงของผู้ประกาศเช่นกัน ซึ่งมันได้โผล่ขึ้นมาอย่างกระทันหันบริเวณกึ่งกลางระหว่างร่างทั้ง 7 ของกรที่ลอยอยู่กลางอากาศ แล้วเกิดระเบิดขึ้นเช่นกัน และระเบิดขนาดใหญ่นี้ก็มาพร้อมกับไฟสีส้มแดงพวยพุ่งออกมาจากศูนย์กลางของระเบิด คลอบคลุมครึ่งหนึ่งของลานประลองเลยทีเดียว
❖❖❖❖❖แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก!——————
หลังจากการปะทะกันอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่องเมื่อครู่ ทั้งคู่จึงทำได้แค่หาใจหอบออกมาเพราะร่างกายและจิตใจใกล้จะถึงขีดจำกัดเข้าทุกที ตอนนี้กรยังสามารถคงสกิลทุกอย่างไว้อยู่เช่นเคยและกำลังยืนอยู่ในท่าตั้งการ์ดของนักมวยแต่หย่อนเข่าต่ำกว่าปกติมากเพราะอ่อนแรงเต็มที เช่นเดียวกับผู้ประกาศที่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยขาที่อ่อนแรงลงมากราวกับจะล้มลงไปนั่งแบะขาได้ทุกเมื่อ แต่ก็ยังคงฝืนใช้ไม้เท้าของตัวเองค้ำพื้นอยู่ได้ แถมอักขระที่อยู่บนร่างเธอเองก็ถึงกับจางหายไปบางส่วนอีกด้วย
ที่เหมือนกันคือ ทั่วทั้งตัวของทั้งสองคนเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟันเล็กๆไปทั่วร่าง รวมถึงมีรอยไหม้และยังคงมีควันเกิดขึ้นตามตัวเขาจนคลุ้งอยู่เลย อนึ่งด้วยแรงระเบิดและการปะทะเมื่อครู่เลยทำให้เวทย์เพลิงแห่งความมืดของผู้ประกาศที่ใช้มาตั้งแต่แรกหายไปแล้ว
〝เหนื่อย… แฮ่ก! เกินไป... แล้ว! 〞
〝ก็เธอ… แฮ่ก! ดันอยากเอาจริง… แฮ่ก! เองนี่หว่า 〞
ตอนนี้แม้ทั้งสองจะระวังอีกฝ่ายอยู่ตลอด ท่าทางก็ไม่ได้ระวังตัวและเปิดช่องว่างเต็มไปหมด แต่กลับทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าเป็นกับดักไปเสียอย่างงั้น ทั้งที่ความจริงแล้วทั้งคู่ต่างก็แค่เหนื่อยหอบและไร้เรี่ยวแรงเต็มทนเท่านั้นเองแท้ๆ ทั้งคู่จึงยังระแวงอีกฝ่ายไม่หายทั้งที่พูดตอบกลับอีกฝ่ายด้วยเสียงที่เหนื่อยล้าเต็มที
แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลาและการสนทนาผ่านไปอย่างสูญเปล่า เพราะในขณะที่คุย ต่างฝ่ายต่างก็ปรับลมหายใจและสภาพร่างกายของตัวเองให้กลับมาปกติอีกครั้งไปพร้อมๆกัน
〝นายนี่มัน… จะหน้าด้านหน้าทน... ไปถึงไหนกัน? 〞
〝ธะ เธอเองก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ… 〞
〝ถึงจะยังไม่ได้เอาจริงจนหมดก็อก… แต่ก็ทำให้นายเจ็บหนักไม่ได้เลย… 〞
〝จะบอกว่า ตัวเองยังออมมืออยู่งั้นสิ? 〞
〝นายเองก็ยังไม่ได้ใช้สกิลทั้งหมดเลย… ไม่ใช่รึไงกัน? 〞
〝รู้ดีจังนะเธอเนี่ย! คงไม่ใช่ว่าแอบตามดูอยู่ตลอดหรอกนะ 〞
〝ต้องให้ชดใช้เรื่องที่พังประตูห้องบอสชั้นที่ 25 ด้วย… เพราะงั้นเตรียมใจไว้ได้เลย〞
〝นี่แอบดูอยู่จริงๆ หล่ะสินะยัยนี่!〞
เข้าใจหล่ะ! เหตุผลที่ยัยนี่รู้เรื่องของเรามากเกินไป
สาเหตุนึงก็น่าจะเป็นเพราะแอบดูเราอยู่ตลอดนั่นแหล่ะ เป็นพวกโรคจิตรึไง? สตอล์คเกอร์หรืออะไรเนี่ย
จะบอกว่าเป็นผู้ประกาศแล้วจะแอบดูได้รึไง! แต่คาแรคเตอร์ก็ให้อยู่นา
ถ้าให้ยัยนี่นั่งอยู่หน้าจอคอมที่มีหลายๆหน้าต่าง เหมือนกับพวกรักษาความปลอดภัยเนี่ยใช่เลย!
ไม่สิ! นี่มันเสียเปรียบสุดๆเลยไม่ใช่เหรอ!? ทางนั้นถือไพ่เหนือกว่าทั้งในด้านข้อมูลและพลัง สกิลและเวทย์มนต์เองก็เหนือกว่าด้วย
แล้วมาเป็นเอาช่วงตัดสินอย่างตอนใกล้จบศึกเนี่ยนะ ฝันร้ายชัดๆ …อีแบบนี้ปิดบังพลังไปก็ไม่มีผลเลยหน่ะสิ
〝แล้วที่ไม่ใช้แขนขวานั่น… ปอดแหกรึไง?〞
〝ชิ! ถ้าแอบดูอยู่ก็รู้ไม่ใช่รึไงว่ามันมีความเสี่ยง!〞
〝หึ! เริ่มกลัวขึ้นมาแล้วสินะ ที่จะต้องฆ่าคนหน่ะ!〞
〝…………〞
กรที่ได้ยินผู้ประกาศพูดแทงใจดำไปแบบนั้นตรงๆ ก็ถึงกลับพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่คลายท่าทีระแวงต่อเธอลงเลยซักนิดเดียว
〝เธออ่อนแอจนถึงขนาดที่ฉันจะฆ่าได้เลยรึไง… นี่ยอมรับแล้วรึเปล่าว่าตัวเองกากกว่าหน่ะ!〞
〝เฮอะ! ถึงได้บอกไงว่านายมันน่ารำคาญ… คนครึ่งๆกลางๆแบบนายหน่ะ!〞
〝ฮึ่ม! เธอเองก็เถอะ ปากบอกจะฆ่า แต่จิตสังหารของเธอนอกจากครั้งแรกที่ใช้ขู่แล้ว ก็ไม่ปล่อยออกมาอีกเลยไม่ใช่รึไงกัน? โอ๊ะโอ๋! หรือไม่มีปัญญาทำตามที่พูดออกมากันเอ่ย?〞
〝นายนี่มันน่าโมโหจริงๆ! แต่ก็นะ… เพราะเป็นแบบนี้แหล่ะฉันถึงรู้ว่านายเป็นคนยังไง〞
〝เธอเองก็เถอะ คิดว่าฉันไม่รู้รึไงว่าเธอต้องการอะไรหน่ะ? 〞
กฎแรงดึงดูดมันคือแบบนี้เองสิน! ที่เขาว่ากันว่าพวกเดียวกันจะถูกดึงดูดเข้าหากันนี่ท่าจะจริงแฮะ
ทำไมถึงมั่นใจได้งั้นเหรอ? ก็แน่หล่ะสิ
【นั่นเพราะเราสองคน… เป็นคนประเภทเดียวกันยังไงหล่ะ!】
【นั่นเพราะนายกับฉัน… เป็นคนประเภทเดียวกันยังไงหล่ะ!】
แล้วทั้งสองคนก็พูดแบบนั้นออกมาในลำคอเบาๆ แต่ก็แน่นอนว่าอีกฝ่ายต่างก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน
เป้าหมายของยัยนี่! มันค่อนข้างชัดเจนมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว…
ง่ายๆก็คือยัยนี่หน่ะ… ต้องการที่จะทดสอบเรานั่นแหล่ะ เหตุผลอื่นก็นึกไม่ออกแล้ว
ไม่งั้นคงไม่ปล่อยสกิลออกมา ทีละอันสองอันให้เรารับมือหรอก
ถึงจะดูรำคาญ แต่จริงๆแล้วก็คงกำลังทดสอบอะไรเราอยู่นั่นแหล่ะ… ไม่สิ เรื่องรำคาญนี่คงมาจากใจจริงมากกว่า
ถ้าถามว่ารู้ได้ไง… ก็ตอบเลยว่าถ้าฉันเป็นยัยนี่ ก็จะทำแบบเดียวกันอย่างไม่ลังเลไงหล่ะ!
.
.
〝เพราะงั้นแหล่ะถึงได้หงุดหงิด! ถ้าเป็นนายเมื่อตอนที่ชนะเคลเบรอสได้… คงสามารถฆ่าฉันคนนี้ได้อย่างไม่ลังเลแท้ๆ〞
〝หมายความว่าไง?〞
〝หึ! ตัดสินใจไปแล้วไม่ใช่รึไง… ว่าจะกำจัดทุกอย่างที่ขวางทางหน่ะ〞
พอกรได้ยินผู้ประกาศพูดเหมือนรู้ทุกอย่างของตัวเองดีอีกครั้ง กรเลยยกมือขวาขึ้นมาเกาศีรษะเบาๆแก้เขินเล็กน้อย
〝นี่ฉันเคยพูดอะไรแบบนั้นออกไปด้วยรึไง?〞
〝ไม่จำเป็น… สายตาของนายในตอนที่ถูกทรยศนั่น มันเหมือนกับฉันยังไงหล่ะ〞
〝แต่สายตาเธอไม่เห็นบอกแบบนั้นเลยนี่น่า... แล้วถึงจะเหมือนกัน แล้วทำไมฉันต้องคิดแบบนั้นด้วยหล่ะ〞
〝ทำไม… งั้นเหรอ? ไม่แค้นบ้างรึไง!? นายหน่ะ… ถูกทรยศและปล่อยให้ตายคนเดียวในความมืดมิดเชียวนะ…〞
แค้น.... เหรอ?
หลังจากที่กรได้ยินผู้ประกาศพูดแบบนั้น เขาก็ก้มหน้าลงมองพื้นราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วก็ตอบกลับผู้ประกาศกลับไปด้วยเสียงเรียบๆราวกับไม่ใส่ใจ
〝ไม่เลยอ่ะ!〞
〝เอ๋!〞
〝ถ้าเป็นตอนนี้หล่ะก็… ฉันไม่ได้สนเรื่องการแก้แค้นเลยซักนิด〞
〝หืม!? เหตุผลหล่ะ?〞
อืม… นี่เราต้องตอบคำถามยัยนี่ทุกข้อเลยรึไงเนี่ย
นี่เราคงไม่ได้กำลังถูกชักจูงใช่ไหมเนี่ย!? แต่เราก็ปฏิเสธทุกอย่างนี่นา คงไม่มั้ง
แต่ก็มีเหตุผลที่จะไม่ตอบซะด้วยสิ… ยังไงอีกฝ่ายก็รู้อยู่แล้วว่าเราจะทำอะไร การเปิดเผยความคิดของตัวเองไปแบบนี้ก็ไม่มีผลเสียหรอก
〝แค้นแล้วได้อะไรงั้นเหรอ?〞
〝!!!〞
ไอ้เรื่องแบบที่ว่ามานี้หน่ะ ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นหรอกนะ
ตั้งแต่ที่พ่อกับแม่เสียไปแล้วด้วยซ้ำ
เรายังคงจำได้… ตัวเราร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนักในวันที่พวกท่านจากไป
แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ร้องอีกเลย… ตอนงานศพเองก็ไม่ได้ร้องด้วย ทำไมงั้นเหรอ?
เพราะมันเหนื่อยเปล่ายังไงหล่ะ? ร้องไห้แล้วได้อะไร? เสียใจแล้วได้อะไร?
ถ้าเกิดร้องไห้ทั้งวันทั้งคืนแล้วพวกท่านฟื้นขึ้นมาได้หล่ะก็ ฉันจะร้องมันไม่หยุดเลยเอ้า
แต่ก็แน่นอนว่าเรื่องแฮปปี้เอนด์แบบนั้น มันไม่มีทางเป็นไปได้... ตัวเราตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้ว
เพราะงั้นการทำแบบนั้นไปมันไม่มีประโยชน์เลยซักนิด…
〝ทำแบบนั้นมันเหนื่อยเปล่าน่า… ถ้ามันเปลี่ยนอะไรไม่ได้ก็ไม่เห็นต้องเพิ่มเรื่องยุ่งยากให้ตัวเองเลยนี่นา〞
อารมณ์อย่างความเศร้าสลดหรือแค้นใจ มันก็แค่ตัวล่อเท่านั้น ถ้าไม่ปลดปล่อยมันออกไปก็จะกลายเป็นทำให้จิตใจหนักอึ้ง ทุกคนจึงต้องปลดปล่อยมันออกมาในรูปแบบของการหลั่งน้ำตาและแก้ปมแค้น
เพียงแต่เราหน่ะไม่เหมือนกัน… จิตใจของเราในด้านนั้น… มันทั้งเหนื่อยหน่าย รำคาญ แล้วก็ด้านชาไปแล้ว
พูดเองก็เศร้าใจนะเนี่ย… แต่แบบนี้มันก็ไม่เลวนักหรอก…
เพราะอย่างน้อยเราก็ยังมีพวกริน… แถมตอนนี้ก็มีมีอาเพิ่มมาอีกคนแล้วด้วย
แค่นี้ก็พอแล้วหล่ะ… ไม่เห็นต้องคิดมากเลยนี่นา…
〝เรื่องแบบนั้นมันน่ารำคาญออก… ไม่คิดเหมือนกันรึไง?〞
〝…………〞
.
.
.
.
.
.
〝หึหึ! ฮะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ!!!〞
แล้วทันทีที่ผู้ประกาศฟังคำตอบของกรจนจบ เธอก็หัวเราะออกมาแทบจะทันที แต่เธอก็ยังเอามือข้างที่ว่างจากการจับไม้เท้าขึ้นมาป้องปากไปพร้อมกันอยู่อย่างมีมารยาท จนดูน่ารักและงดงามราวกับภาพวาดเลยทีเดียว กรที่โดนเธอหัวเราะใส่ก็หน้าแดงนิดหน่อย เพราะคิดว่าช่วงนี้ตัวเขาโดนหัวเราะใส่บ่อยเกินไปนั่นแหล่ะ
หึหึ! เค้าคนนี้… อย่างที่คิด… เป็นคนอย่างที่เราคิดจริงๆนั่นแหล่ะ
ผู้ประกาศคิดแบบนั้นอยู่ในใจในขณะที่หัวเราะยังไม่หยุด ก่อนที่ใช้มือข้างที่ป้องปากนั่นเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกมาเล็กน้อยในตอนที่หัวเราะ แล้วก็ใช้คฑายันพื้นขึ้นมาให้ตัวเองยืนขึ้นจนตัวตรงอีกครั้ง
〝เข้าใจหล่ะๆ… เป็นอย่างงี้เอง〞
〝เฮ้ยๆ! ทำไมพวกเธอถึงชอบเข้าใจไปเองคนเดียวแบบนั้นกันฟ่ะเนี่ย〞
กรที่เห็นผู้ประกาศยืนตัวตรงแล้ว เขาก็เลิกยืนหย่อยเข่าแล้วกลับมาอยู่ในฟอร์มพร้อมสู้อีกครั้ง แต่ก็เพราะบรรยากาศที่ผ่านมา กรจึงดูผ่อนคลายลงมากทีเดียว
〝ถ้างั้นก็… มาตัดสินกันเถอะ!〞
〝อ้าวๆ! ปกติแล้ว หลังจากที่บอสถามนู่นถามนี่ก็จะซึ้งใจในคำตอบ แล้วก็ยอมแพ้พวกพระเอกเองไม่ใช่รึไงกัน?〞
〝บ้ารึเปล่านายหน่ะ! กินอนิเมะเป็นอาหารจนสมองเพี้ยนไปแล้วรึไง?〞
〝อึก!〞
ขณะที่ทั้งสองคนพูดแบบนั้น ก็ตั้งท่าตั้งรับให้รัดกุมขึ้นไปพร้อมกันและจ้องตาอีกฝ่ายตรงๆ แต่หาใช่สายตาที่จ้องมองศัตรูไม่ เพราะมันเหมือนกับเป็นสายตาที่มองคนที่ตัวเองยอมรับมากกว่า จะว่าไปแล้วมันก็เหมือนกับครั้งที่กรสู้กับเคลเบรอสนั่นแหล่ะ
〝งั้นก็… มาตัดสินด้วยพลังที่รุนแรงที่สุดเลยดีกว่า… นี่คงเร็วและง่ายที่สุดแล้ว〞
〝เดี๋ยวนะ! ขอค้านๆ! เรื่องที่วิธีนี้ตัดสินได้เร็วก็เห็นด้วยอยู่ แต่ว่า———〞
〝กลัวว่าคนนอกจะโดนลูกหลง… งั้นสินะ!!!〞
ฟิ้ว!
〝เฮ้ย!!!〞
ทันทีที่คุณผู้ประกาศสาวพูดออกไปแบบนั้น ก็ทำการปล่อยลูกศรสีดำแดงแบบเดียวกับตอนแรก พุ่งไปยังจุดที่มีอานั่งอยู่บนอัฒจันทร์อย่างกะทันหัน กรที่แม้จะงงงวยก็เตรียมพุ่งตัวไปด้วยสัญชาตญาณ มีอาเองก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบโดยการเอี้ยวตัวหลบทังที่ยังนั่งอยู่เช่นกัน เพียงแต่ศรที่ผู้ประกาศยิงออกไปนั้นไม่ได้ถึงตัวมีอาแต่อย่างใด เพราะทันทีที่มันลอยพุ่งเข้าไปจนถึงจุดที่อยู่เหนือกำแพงขึ้นไป ก็เหมือนกับถูกบล็อคไว้ด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นแล้วก็ปักคาอยู่อากาศทั้งอย่างงั้น
〝ไม่ต้องห่วง… ล้อมรอบลานประลองมีบาเรียป้องกันการโจมตีทุกชนิดอยู่นะ การโจมตีในแนวราบจะไม่มีทางออกไปนอกบาเรียได้แน่นอน จะมีก็แต่แนวตั้งหล่ะนะที่ป้องกันไม่ได้ แต่ยังไงทั้งชั้นนี้ก็อยู่ในการควบคุมของฉันอยู่แล้ว เรื่องนั้นจึงไม่มีปัญหา〞
〝ยัยบ้าเอ้ย! เมื่อกี้หัวใจแทบวายเลยนะโว้ย!!! จะชดใช้ไงว่ะเนี่ย!〞
〝แค่แกล้งนิดหน่อยทำเป็นหัวเสียไปได้! กะแล้วเชียว… คนที่เปลี่ยนนายคือเธอคนนั้นสินะ〞
〝อึก! นะ หนวกหูน่า!!! จะโจมตีตัดสินไม่ใช่รึไง เริ่มกันได้แล้วมั้ง〞
〝อา… นั่นสินะ!〞
ฮ่า ฟู่——
แล้วทั้งสองคนก็หายใจเข้าและออกยาวๆหนึ่งครั้งเพื่อเรียกสติของตัวเอง แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้รักษาบาดแผลที่มีอยู่ทั่วตัวแต่อย่างใด นั่นเพราะทั้งสองคนอยากจะเก็บพลังเวทย์ของตัวเองไว้สำหรับการโจมตีสุด้ายเพิ่มขึ้นแม้เพียง 1 จุดก็ยังดี
〝【สัญลักษณ์แห่งความยิ่งยโสที่สลักอยู่บนร่างของข้าเอ๋ย จงกลืนกินเลือดเนื้อของข้า แล้วจงมอบพลังที่จักทำลายล้างศัตรูของข้าให้สิ้นเสีย!!!!!!】〞
ทันทีที่กรร่ายสกิลเสร็จ แขนขวาของกรก็ปรากฏแสงสีแดงสดขึ้นมาเป็นรูปร่างอันสลับซับซ้อนขึ้นเป็นแนวยาวจากมือจนเกือบถึงหัวไหล่ ทะลุออกมาจากแขนเสื้อ อันเป็นตัวบ่งบอกว่าสกิลแขนยักษาของเขาได้ทำงานแล้วนั่นเอง
〝【เวทย์สายฟ้าระดับเทพเจ้า•สายฟ้าแห่งซุส!!!!】
【เวทย์ไฟระดับเทพเจ้า•เตาหลอมแห่งเฮฟเฟสตุส!!!!】
【เวทย์น้ำระดับเทพเจ้า•ตรีศูรแห่งโพไซดอน!!!!】————〞
ทางด้านผู้ประกาศที่ทำการร่ายเวทย์ต่างจากทุกทีที่ข้ามขั้นตอนการร่ายไป ก็ทยอยส่งเวทย์ธาตุต่างๆออกมามากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับที่ลอยตัวขึ้นเหนือพื้นดินสูงกว่า 10 เมตร แล้วจากนั้นการร่ายเวทย์ของเธอก็ปรากฏเป็นศาสตราต่างๆตามที่ร่ายออกมา และสีก็เป็นไปตามธาตุนั้น อาทิเช่นสายฟ้าสีเหลืองลอยอยู่ด้านหลัง ตรีศูรสีฟ้าอยู่ในมือมือซ้าย รากไม้ขนาดใหญ่สีน้ำตาลพัวพันร่างของเธอ ฯลฯ จนตอนนี้มีศาสตราเวทย์ระดับเทพเจ้าอยู่ถึง 9 ชิ้นเลยทีเดียว
〝【เลือดข้าจงแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้า•ธันเดอร์บลัด!!!!】
【กายาแกร่งดุจเหล็กกล้า•แทงค์แมน!!!!】————〞
ทางฝั่งกรเองหลังจากที่สเตตัสถูกเพิ่มด้วยแขนยักษาแล้วก็ทำการสร้างเวทย์คลุมหมัดของเขาไว้ รวมถึงใช้สกิลต่างเสริมความแข็งแกร่งให้กับหมัดขวาและบริเวณใกล้เคียงด้วยเกราะยักษาและเกราะเทพ รวมถึงบัฟด้วยเวทย์ธาตุและเวทย์สนับสนุนมากมาย
〝【หลอมรวมศาตร์เวทย์!!!! 】【ผสานธาตุปฏิปักษ์!!!! 】【เร่งปฏิกิรยาเวทย์】————〞
ทางด้านผู้ประกาศเอง ก็ทำการหลอมรวมศาสตร์เวทย์ระดับเทพเจ้าทั้ง 9 ชิ้น เป็นหนึ่งเดียว แต่พลังเวทย์ที่ใช้ก็มหาศาลจนก่อให้เกิดความเข้มข้นมากเกินไปจนควบคุมรูปร่างไม่ได้ มันจึงอยู่ในสภาพของลูกบอลขนาดยักษ์โปร่งแสงที่คำนวณดูแล้วมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 100 เมตรเลยทีเดียว แถมเธอยังทำการอัดแน่นเข้าไปอีกจนเหลือ 50 เมตร จนลูกบอลแทบจะทรงรูปร่างไม่ได้และสั่นไหวไปมาราวกับจะปะทุได้ทุกเมื่อเลยทีเดียว
〝เรียบร้อย!〞
〝เหมือนกัน!〞
ทั้งสองคนพูดขึ้นมาพร้อมๆกัน เพื่อเป็นสัญญาณก่อนเริ่มการปะทะครั้งสุดท้ายอย่างยุติธรรมที่สุด จากนั้นกรก็เงื้อมหมัดของตัวเองที่กลายเป็นอาวุธทำลายล้างอันประกอบไปด้วยศาสตราต่างๆมากมายไปข้างหลัง ผู้ประกาศเองก็เลื่อนลูกบอลเวทย์ขนาดใหญ่โปร่งแสงมาไว้ข้างหน้าตัวเองเช่นกัน
〝〝ถ้างั้นก็!!!〞〞
ทั้งสองคนพูดแบบนั้นขึ้นมาพร้อมกัน เพื่อให้อีกฝ่ายเตรียมพร้อม กรยึดเท้ากับพื้นไว้แน่น แล้วกำหมัดของตัวเองจนเลือดออกและกระตุกมันเล็กน้อยเพื่อเพิ่มแรงส่งครั้งสุดท้าย
〝【มหาเวทย์สังหารเทพ•แสงแห่งลองกินุส!!!!】〞
〝【อินฟินิท พันช์!!!!】〞
ตู้ม!!!
การโจมตีของทั้งสองคนถูกปล่อยออกมาจากจุดกำเนิด โดยหมัดและบอลเวทย์อย่างรุนแรงจนทำให้ทั้งดันเจี้ยน ไม่สิ… ทำให้แผ่นดินที่อยู่ข้างบนเกิดแผ่นดินไหวได้เลยทีเดียว
จุดปะทะเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนบริเวณนั้นเกิดการสั่นสะเทือนของบรรยากาศเลยทีเดียว ขณะที่ทั้งคู่ผลักคลื่นพลังเวทย์ของอีกฝ่ายออกไป พลังเวทย์โดยรวมตรงจุดปะทะก็จะพวยพุ่งออกมาจากจุดปะทะไปทั่วทั้งลานประลอง รวมถึงความร้อนและกระแสไฟฟ้าสปาร์คเองก็แผ่ออกมาจากจุดปะทะ และทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง จนผืนดินและอากาศของลานประลองเกิดการเผาไหม้อย่างรุนแรง แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่ได้หยุดโมตีแต่อย่างใด ทั้งยังเพิ่มพลังเวทย์ในการโจมตีมากขึ้นไปอีก
〝〝ย้าาาาาาาาาาา!!!〞〞
การปะทะกันของคลื่นพลังเวทย์รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย ด้วยพลังเวทย์ที่ทั้งสองคนเติมใส่เวทย์มนต์ใหม่ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนถึงขนาดที่พลังเวทย์ของทั้งสองคนทำปฏิกิริยากัน และเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนเกิดความหนาแน่นที่ห้องนี้ไม่อาจต้านทาน เลยทำให้ชั้นบนและล่างจำนวนมากของดันเจี้ยนพลอยโดนลูกหลงไปด้วยเลยทีเดียว
เพดานที่ถูกถล่มก็พังลงมา แต่พื้นนั้นถูกซ่อมแซมทันทีเพราะพลังเวทย์ของผู้คุมชั้นอย่างผู้ประกาศยังคงมีอยู่ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็อยู่ในสภาพที่ใกล้จะบุบสลายเต็มทีเพราะการโจมตีอันหนักหน่วงของทั้งสองคน
วูม!!!
แต่แล้วไม่นานทั้งสองคนก็ถึงขีดจำกัดในเวลาไม่นาน พลังเวทย์ของทั้งสองคนลดลงอย่างรวดเร็วจนคลื่นพลังเวทย์ที่ใช้ซัดกัน มีพลังลดลงอย่างมาก จดคิดว่าจะสามารถซัดออกไปได้อีกไม่นาน
แต่พริบตาที่เป็นแบบนั้น ทั้งคู่กลับคิดเหมือนกันก็คือ การรวบรวมพลังเวทย์ที่เหลืออยู่ทั้งหมด แล้วซัดออกไปทีเดียวเพื่อตัดสินแทนที่จะผลักไปผลักมาอยู่แบบนี้
ตู้ม!!!
ทั้งสองคนซัดมหาเวทย์ของตัวเองออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วพอปะทะกันก็เกิดเสียงระเบิดที่ดังที่สุดที่กรเคยได้ยินมา แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือแสงสว่างจนแสบตา จุดกำเนิดพลังของทั้งสองคนสูญเสียพลังเวทย์ไปหมด อาวุธมากมายที่ติดอยู่กับหมัดของกรสลายหายไปและกลับเป็นปกติ ส่วนบอลเวทย์โปร่งแสงขนาดใหญ่ของผู้ประกาศเองก็อันตรธานหายไปด้วยเช่นกัน ซึ่งก็แน่ชัดแล้วว่า ผลลัพธ์จากการปะทะกันครั้งสุดท้ายออกมาเป็น เสมอ! นั่นเอง
พื้นและเพดานทั้งหมดถูกเป่าให้หายไปอย่างสิ้นเชิงโดยทั้งสองคน แต่ทั้งหมดนั่นกลับไม่ฟื้นฟูขึ้นมา กรจึงเปลี่ยนมาลอยบนอากาศด้วยพลังเวทย์ที่เหลืออยู่น้อยนิดแทน แล้วถามผู้ประกาศออกไปถึงสิ่งที่ตัวเองสงสัย
〝นี่เธอ… แฮ่ก! ทำไมถึงไม่… แฮ่ก! แฮ่ก! เติมพลังเวทย์ของตัวเองหล่ะ〞
ไม่สิ…. ไม่ใช่แค่หลังสู้
แต่ถ้าเติมระหว่างที่ปะทะเมื่อกี้ เราคงแพ้แน่นอน
〝ก็… แฮ่ก! แฮ่ก! ถ้าทำ… อย่างงั้น แฮ่ก! แฮ่ก! การต่อสู้ของเรา… จะสูญเปล่า〞
〝หะห่ะ! อะไรกัน…. แฮ่ก! ทิฐิสูงเหมือนกันไม่ใช่รึไงเธอหน่ะ…〞
ทั้งสองคนตอบกลับกันอย่างอ่อนแรง ด้วยเพราะพลังใจที่ดับมอดลงเพราะพลังเวทย์ถึงจุดวิกฤติ แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ยังครองสติไว้ได้ แต่ก็แน่นอนว่าไม่สามารถทำได้ตลอดรอดฝั่งแน่นอน
〝โทษทีนะ… แต่ฉันไม่ไหว… แล้วหล่ะ〞
〝อุ๊ก! นะนายนี่... กะ กระจอกจริงนะ… อา———〞
แล้วทั้งคู่ก็ปล่อยให้มนต์แห่งภวังค์เข้าครองความคิดของตัวเองแทนสติ และผลอยหลับไปทั้งอย่างงั้น ทั้งที่ลอยอยู่กลางอากาศเลยทีเดียว แล้วพอทั้งคู่พลังเวทย์หมดลง อักขระทั่วทั้งตัวของผู้ประกาศก็หายไปทั้งหมด ตาเองก็กลับมาเป็นปกติ สกิลแขนยักษาของกรเองก็ถูกคลายลงเช่นกัน ทั้งคู่จึงร่วงลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วงและลงไปยังพื้นของลานประลอง….
ใช่แล้ว ทั้งที่ความจริงมันควรจะเป็นแบบนั้น…
ฟิ้ว!————————
〝กร!!!!!!!〞
แต่ร่างของทั้งสองคนที่ไร้สติกลับตกลงไปยังดันเจี้ยนชั้นต่อไป และต่อๆไป และต่อๆไป ราวกับกำลังกระโดดตึกสูง 30 ชั้นอยู่ยังไงอย่างงั้น มีอาที่เห็นกรร่วงลงไปต่อหน่าต่อตาจึงถีบตัวเองไปพร้อมกับเคลเบรอส แล้วกระโดดพุ่งตัวไปยังกรในทันทีโดยที่ไม่ต้องคิดเลยแม้แต่น้อย
ทั้งนี้ก็เป็นเพราะพลังเวทย์ของผู้คุมเช่นผู้ประกาศได้หมดลงแล้วนั่นเอง พื้นลานประลองที่ถูกทำลายจึงไม่ได้ฟื้นฟู ส่วนดันเจี้ยนชั้นล่างๆนั้นไม่ได้ถูกซ่อมในทันทีเพราะใช้ระบบคนละอย่าง ซึ่งก็เหมือนกับตอนที่กรฝึกใช้แขนยักษานั่นแหล่ะ ซึ่งหากดันเจี้ยนมาสเตอร์ไม่มาจัดการเอง ชั้นนั้นๆก็จะคงสภาพแบบนั้นไปตลอด
แล้วเพราะเหตุที่ว่าไปทั้งสามคนจึงดิ่งพสุธาลงไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้จุดหมายปลายทางเลยแม้แต่น้อย…
❖❖❖❖❖〝กร!!! ได้ยินไหม ตื่นทีสิ ขอร้องหล่ะ!!!!〞
〝อือ〜〞
หลังจากที่ทั้งสามคนดิ่งพสุธาลงมาจาดชั้นที่ 75 โดยไม่อาจทราบได้ว่าปลายทางคือที่ไหน ก็ผ่านไปเพียง 10 นาทีเท่านั้น
พอมีอาตะโกนเรียกกรที่สลบอยู่ กรจึงได้สติขึ้นมาในทันที แล้วพอพบว่าตัวเขากำลังนอนหนุนตักมีอาอยู่ กรจึงดีดตัวขึ้นมานั่งขัดสมาธิในเสี้ยววินาทีเพราะความอายเลยทีเดียว
〝อะไรกันเนี่ย ที่นี่มันที่ไหนกัน?〞
เสียงของกรที่ถามแบบนั้นออกไปค่อนข้างก้องพอสมควรราวกับอยู่ในถ้ำที่สูงเกือบ 200 เมตรยังไงอย่างงั้นเลย แต่หากสังเกตดีๆ แล้วสถานที่แห่งนี้ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับที่กรเคยเจอมาแล้วนั่นแหล่ะ
〝เวลาแบบนี้ยังมัวมานอนสบายใจเฉิบอีกนะ〞
〝!!!?〞
แล้วที่อยู่ถัดออกไปเพียง 2 เมตรก็คือ คุณผู้ประกาศที่กำลังนั่งพับเพียบอยู่นั่นเอง
〝เวลา… จริงสิ! ตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมานานขนาดไหนแล้วมีอา〞
〝10 นาทีหน่ะกร… ว่าแต่ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม!!! บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า!!!〞
〝อย่าห่วงเลยน่ามีอา ไม่เป็นไรหรอก... 〞
แล้วกรก็ยกมือขวาขึ้นมาเพื่อบอกว่าสบายดี มีอาพอเห็นว่าไม่เป็นไรจริงๆ ก็ถอนหายใจออกมาครั้งนึงด้วยความโล่งอก
〝จริงสิ! นี่เธอหน่ะ… เป็นผู้ประกาศสินะ… งั้นก็ต้องรู้ใช่ไหมว่าที่นี่ที่ไหน?〞
〝…………〞
ผู้ประกาศที่ได้ยินกรถามออกมาแบบนั้น ก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยราวกับรู้สึกผิด ก่อนที่จะตอบคำถามกรออกไป
〝โทษทีนะ แต่ความรับผิดชอบของฉัน… มีจนถึงชั้นที่ 75 เท่านั้นแหล่ะ〞
〝โกหกน่า!!! จะบอกว่า ไอ้เด็กนั่นไม่ได้ให้ข้อมูลเธอเลยงั้นเหรอ?〞
〝ถูกต้อง! แต่ก็ยังอยู่ในดันเจี้ยนนั่นแหล่ะ… แค่เดินทางต่อไปเรื่อยๆก็น่าจะรู้———〞
ตึง! ——————
〝〝〝!!!!!!!!!!!〞〞〞
เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นในระยะที่ห่างออกไปเล็กน้อย แต่เพราะเงามืดของสภาพแวดล้อมเลยทำให้ไม่สามารถมองเห็นตัวต้นเสียงได้ แต่พอทั้งสามคนได้ยินเสียงฝีเท้านี้ ทุกคนก็ดีดตัวขึ้นยืนตรงและตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ในทันที
ตึง! ——————
ตึง! ——————
ตึง! ——————
ตึง! ——————
〝บะ บ้าหน่ะ!!!!!〞
〝เป็นไปไม่ได้ นี่ลงมาถึงนี่เชียวเหรอ?〞
เสียงฝีเท้าดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดร่างของต้นเสียงก็เผยให้ทุกคนในที่นี้ได้เห็น มันคือสิ่งที่เรียกว่ายักษ์ผิวสีเขียวสูงเกือบ 150 เมตร ราวกับภูผา ร่างกายดูกำยำอันดูจากกล้ามเนื้อที่เผยให้เห็นอย่างชัดเจนจากชุดที่ดูเปิดเผย นั่นจึงทำให้กรและผู้ประกาศตกใจออกมา หากแต่เป็นคนละความหมายกัน
สังวาล… ตาบทิศ… กำไลแผง… พวงประคำคอ… ชฎาก็ด้วย…
ทำไมไอ้ยักษ์ตัวนี้มันถึงสวมของแบบนี้ได้ฟ่ะ!!!
ไม่สิๆ!!! ตั้งสติไว้ก่อน
ตัวเรารู้ดีอยู่แล้วว่าไอ้เจ้านี่มันคือใคร? เพียงแต่กำลังงงเท่านั้นเอง
ก็ชุดที่ไอ้นี่มันใส่อยู่ มันขัดกับวัฒนธรรมในแบบแฟนตาซียุคกลางของโลกแบบสุดๆไปเลยหน่ะสิ
แถมแขนกับหัวก็อีก… ฟังแล้วอย่าตกใจหล่ะ
เพราะไอ้ยักษ์ตัวนี้หน่ะ มันมีถึง 10 หน้า 20 มือ เลยยังไงหล่ะ!!!
ฟังดูคุ้นๆเหมือนเป็นตัวละครในวรรณคดีหล่ะสิ… แต่ถ้าเป็นฉันที่ยืนเผชิญหน้ามันอยู่นี่จะไม่สงสัยอะไรเลยหล่ะ เพราะดูยังไงนี่มันก็ตัวจริงเสียงจริงชัดๆเลยนี่หว่า!!!!
〝ถึงจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็เถอะนะ… แต่ช่วยยืนยันหน่อยได้ไหมว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ชั้นไหนกันแน่!〞
กรที่เห็นภาพของยักษ์หน้าตาน่าหวาดหวั่นโผล่ออกมาจากเงามืดเพียงใบหน้า(ถ้าอยากให้เห็นภาพก็คือ ภาพของไททันตัวที่กินแม่เอเรนนั่นแหล่ะ) ก็ทำได้แค่กลืนน้ำลายเสียงดัง และพยายามครองสติของตัวเองไว้เท่านั้น ก่อนที่จะถามกับผู้ประกาศทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
〝อย่างที่นายคิดนั่นแหล่ะ… ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในชั้นที่ลึกที่สุดของดันเจี้ยน… กำลังเผชิญหน้ากับบอสที่แข็งแกร่งที่สุดในดันเจี้ยน……〞
ต่อจากกรที่กลืนน้ำลาย คราวนี้ก็กลับเป็นมีอาที่ยืนบังหน้ากรเอาไว้อยู่เป็นคนกลืนน้ำลายเสียงดัง เอี๊อก! บ้างราวกับหวังให้คำตอบของผู้ประกาศเปลี่ยนไป ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้
แล้วพอผู้ประกาศเปิดปากของตัวเองเพื่อยืนยัน หลังจากนั้นทุกคนรวมถึงผู้ประกาศก็ถึงกับเหงื่อซึมออกมาทั่วทั้งตัว และตกใจหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มได้เลยทีเดียว ซึ่งก็เหมาะสมดีอยู่แล้วกับคำตอบที่แสนจะสิ้นหวังของผู้ประกาศสาวนี้
〝ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ต่อหน้า… บอสประจำชั้นที่ 100——————〞
หลังจากที่ทั้งสามคน อันประกอบไปด้วย กร มีอาและผู้ประกาศ ตกลงมาจากห้องบอสชั้นที่ 75 มาจนถึงชั้นที่ 100 ตอนนี้ทั้งสามคนกำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดแบบสุดๆ เพราะกำลังยืนเผชิญหน้ากับบอสประจำชั้นที่ 100 ซ้ำยังเป็นบอสที่แข็งแกร่งที่สุดในดันเจี้ยนแห่งนี้อย่างกะทันหันอีกด้วย ทั้งที่ร่างกายและจิตใจยังไม่ได้พักฟื้นจากศึกเมื่อ 10 นาทีก่อนเลยแท้ๆวูม!!! พื้นที่โดยรอบสว่างขึ้นอย่างกะทันหันด้วยแสงสีน้ำเงินทั่วทั้งห้อง จนสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมได้ทั้งหมด ห้องบอสในชั้นนี้ มีบริเวณกว้างขวางมากกว่า 5 กิโลเมตร ซึ่งมันคือความกว้างพอๆกับดันเจี้ยนชั้นเดียว กรจึงคาดว่าห้องบอสนี้น่าจะใช้หลักการเดียวกับห้องบอสในชั้นที่ 50 พื้นของห้องถูกปูด้วยอิฐสีน้ำเงินเข้มวางสลับกันเหมือนกำแพงอิฐแดง ทั่วทั้งชั้นมีเสากรีกโรมันสีฟ้าขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เมตร ตั้งเรียงกันเหมือนตารางหมากรุก โดยเสาทุกต้นที่อยู่ใกล้ทั้งด้านซ้าย ขวา หน้าและหลังจะห่างกันประมาณ 100 เมตร เท่าๆกันทุกเสา เพดานทำจากหินอ่อน และเป็นแหล่งให้แสงสว่างแก่ชั้นนี้ไปในตัว ซึ่งแสงสว่างที่วาก็เป็นสีน้ำเงิน
〝งั้นก็กลับมาคำถามเดิม... เมอร์ลิน ไอ้ยักษ์นั่นมันคืออะไร?〞 หลังจากที่เมอร์ลินเข้ามาเป็นพรรคพวกอย่างเต็มตัวแล้ว ทั้งสามคนจึงนั่งหันหน้าเข้าหากันเป็นสามเหลี่ยม เพื่อที่จะปรึกษาแผนการในการสู้กับบอส และเรื่องที่กรถามเป็นอย่างแรกก็คือคำถามก่อนหน้านี้ที่ถูกเลี่ยงไปนั่นเอง〝หัวแข็งชะมัดเลยนะนายเนี่ย... แต่เอาเถอะ จริงๆก็กะจะบอกอยู่แล้วหน่ะนะ〞แล้วจะเล่นตัวทำมะเขืออะไร! เธอนั่นแหล่ะเฟ้ยที่หัวแข็ง ยังมาว่าคนอื่นอีก!!!〝งั้นก่อนอื่น... พวกเธอรู้จักทศกัณฑ์รึเปล่า?〞〝ขอโทษนะกร แต่ฉันไม่เคยได้ยินเลยหล่ะ〞〝น่าๆ〞 มีอาที่ได้ยินคำถามของกร แต่ไม่เข้าใจว่าคืออะไร เธอจึงเอียงคอสงสัยก่อนที่จะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงหงอยๆเล็กน้อย กรจึงลูบหัวเธอไปมาเหมือนทุกที และหันไปถามเมอร์ลินทั้งที่กำลังลูบหัวมีอาอยู่〝แล้วเมอร์ลินหล่ะ? …ไม่สิ เธอต้องรู้อยู่แล้วนี่นะ〞〝ต้องรู้อยู่แล้ว… นายอยากจะถามว่า ทำไมตัวละครในวรรณคดีของประเทศนาย ถึงได้กลายมาเป็นลาสบอส ทั้งที่ปกติจะมีแต่บอสแนวตะวันตกยุคกลาง... ใช่รึเปล่า?〞〝อื้ม! ใช่เลยหล่ะ〞แน่ชัดแล้วหล่ะว่าตัวตนของทศกันฑ์ไม่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป... ถึงจะใช้ความรู
〝อย่างที่วางแผนเอาไว้... พอปลดเวทย์ออกก็เข้าฟอร์เมชั่นเลยนะ〞 หลังจากที่กร มีอา และเมอร์ลินเรียนรู้สกิลและความสามารถของกันและกันจนหมด รวมถึงฝึกความเข้ากันและฟอเมชั่นต่างๆเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมพร้อมที่จะสู้กับทศกัณฑ์ซึ่งเป็นบอสชั้นสุดท้าย ในทันทีที่ปรับสภาพจิตใจเรียบร้อย กรจึงเป็นคนให้สัญญาณก่อนเริ่มออกมาในทันทีที่ทุกคนพร้อมลุยแล้ว〝อื้ม!〞〝รับทราบ!〞 เมอร์ลินและมีอาตอบกรกลับอย่างแข็งขันในทันที ซึ่งส่วนนึงก็เพื่อปลุกจิตสู้ของตัวเองไปพร้อมกันนั่นแหล่ะ〝5.... 4…. 3….〞ชึบ! ทันทีที่เมอร์ลินเริ่มนับถอยหลัง กรและมีอาก็ตั้งสมาธิจดจ่อกับยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าในทันที〝2…. 1…. ศูนย์!!!!〞วูม! ทันทีที่การนับถอยหลังสิ้นสุดลง สภาพแวดล้อมโดยรอบที่เคยหยุดนิ่งเมื่อเสี้ยววินาทีที่แล้วก็กลับมาเคลื่อนไหวต่อในทันที ทศกัณฑ์ที่อยู่ตรงหน้าทั้งสามคนก็ยังคงเอื้อมมือทั้ง 10 มาทางทั้งสามคนที่อยู่ห่างออกไป 10 เมตรดังเช่นก่อนที่เมอร์ลินจะใช้เวทย์หยุดเวลา และในเสี้ยววินาทีที่สภาพแวดล้อมกลับมาเคลื่อนไหว ทั้งสามคนก็ถีบตัวเองถอยห่างออกไปจากจุดที่เคยอยู่ราวๆ 500 เมตร และทำก
〝อืม〜〞 แสงอาทิตย์อุ่นๆยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างชั้นสองเข้ามากระทบใบหน้าของเด็กหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มตื่นขึ้นจากภวังค์ แต่เพราะกำลังถูกความสบายเพราะนอนหลับนานกว่า 8 ชั่วโมงกดทับไว้อยู่เด็กหนุ่มจึงครางออกมาแบบนั้นด้วยเสียงเหนื่อยหน่ายเพราะไม่อยากลุกจากเตียงทันทีนั่นเอง และถึงแม้ก่อนหน้านี้ 10 นาที นาฬิกาปลุกจากสมาร์ทโฟนของเขาจะดังไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมลุกจากเตียงแต่อย่างใด〝กร!!! 7 โมงครึ่งแล้วนะ เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก!〞 เสียงของหญิงสาวผู้เป็นแม่ตะโกนขึ้นไปยังห้องที่อยู่บนชั้นสอง หรือก็คือห้องของกรด้วยน้ำเสียงดุดัน เพื่อเรียกให้ลงมาเตรียมตัวไปโรงเรียนโดยเร็ว〝งือ〜 ขออีกซัก 12 ชั่วโมงครับแม่〞〝ปกติมันต้องขอ 5 นาทีไม่ใช่เหรอ!!!!! แล้วขอตั้ง 12 ชั่วโมง คิดจะหลับจนถึงเย็นเลยรึไงกันยะ!!!!〞〝คุณแม่รับมุขได้สวยครับ... ครอก〜〞และต่อให้ท่านแม่ผู้บังเกิดเกล้าตะโกนขนาดไหน ฉันก็ไม่คิดที่จะลุกออกจากที่นอนเลยซักนิดพอตบมุขคุณแม่เสร็จ ฉันก็ดึงผ้าห่มมาคลุมโปง แล้วกลับไปนอนต่อในทันที อา.... สุขสุดๆ〝สวัสดีค่ะคุณน้า! ขออนุญาตนะคะ!〞
หลังจากที่กรเข้าไปรับการโจมตีปริศนาด้วยลูกธนูยักษ์จากทศกัณฑ์ เพื่อไม่ให้มีอาและเมอร์ลินได้รับดาเมจที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ในครั้งเดียว ทั้งที่อุตส่าห์ลบลูกธนูที่ว่าให้หายไปได้ ก็กลับเป็นตัวกรเองที่ต้องรับดาเมจทางจิตใจอันหนักหน่วงอย่างคาดไม่ถึง〝อ้ากกกก!!!!!!!——————〞 เสียงร้องโหยหวนอันเกิดจากความเจ็บปวดทางจิตใจระดับที่เรียกได้ว่ามหาศาลของกร ยังคงลากยาวอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยซักนิด〝กร!〞〝กะ เกิดบ้าอะไรขึ้นกับหมอนี่อีกเนี่ย!〞 ทั้งมีอาและเมอร์ลินที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ก็ได้แต่ตกตะลึงและเบิกตาโพลงกับสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความงุนงง แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าตัวกรในตอนนี้กำลังรับภาระอะไรบางอย่างจนทรมานอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เพราะทั้งสองคนถูกจำกัดการเคลื่อนไหวด้วยเวทย์แรงโน้มถ่วงจนขยับเข้าไปใกล้กรไม่ได้เลยซักนิด ทั้งสองคนจึงทำได้แค่ดูและเรียกหากรที่กำลังเจ็บปวดโดยที่ทำอะไรไม่ได้เพียงเท่านั้นตุ๊บ! และด้วยเพราะกรถูกการโจมตีทางจิตใจเข้าไปโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ผลของสกิล『แขนยักษา』จึงได้คลายออกโดยอัตโนมัติทำให้ผลกระทบด้านลบของมันเริ่มทำงาน ผลลัพธ์ก็คือต
หลังจากที่กรได้สติจากการหลับใหลในเวลาสมมติอย่างทรมานเกือบๆแสนปี ภายในหัวตอนนี้มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น...〝อาวหล่ะทีนี้... จะจัดการยังไงดีน้า!?〞กร๊อบ! กรหักนิ้วมือทั้งสิบของตัวเอง พลางคิดแผนการ ฆ่า ทศกัณฑ์อยู่ในหัว มีอาและเมอร์ลินที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ขยับเข้ามาใกล้กร เพื่อที่จะปรึกษาแผนการ〖แก... ท่าทางหยิ่งยโสแบบนั้นมันอะไร!? เจ้าหนุ่ม แกทำข้าโมโหนัก!!!!〗 กับผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกับที่หวังไว้ว่า กรที่โดนเวทย์เข้าไป ต้องจิตใจแหลกสลายแล้วกลายเป็นเจ้าชายนิทราตลอดกาล นั่นเลยทำให้ทศกัณฑ์ตกตะลึงและหงุดหงิดถึงที่สุด〝มีอาคุ้มกันด้วย.... เมอร์ลินยื่นหูมาทีสิ〞 กรหันกลับไปด้านหลังทำเมินทศกัณฑ์อีกครั้ง แล้วกวักมือเรียกทั้งสองคนก่อนที่จะออกคำสั่งตามลำดับ มีอาขยับขึ้นมาข้างหน้าบังกรไว้ ส่วนเมอร์ลินก็ขยับหูเข้ามาใกล้ เพื่อที่กรจะได้แอบกระซิบอะไรบางอย่างได้สะดวก〝นะ นี่นาย! แบบนั้นไม่ไหวหรอก!〞〝!〞 เมอร์ลินตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจทันทีที่กรกระซิบบอกแผนการ นั่นทำให้มีอาที่คอยดูท่าทีทศกัณฑ์อยู่เยื้องไปข้างหน้าเล็กน้อย ร่างกระตุกเบาๆเช่น
สายลมฤดูร้อนพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ผ้าม่านในห้องพยาบาลสำหรับทหารในกองอัศวินโบกสะบัด แล้วพอลมสงบ ก็ปรากฏร่างของเด็กสาวนั่งเหยียดขาตรงอย่างเรียบร้อยอยู่ใต้ผ้าห่ม เอนหลังพิงกับหัวเตียง มองออกไปทางหน้าต่างที่เพิ่งมีลมพัดผ่านโดยไม่แม้แต่จะกระพริบตาซักนิด เด็กสาวที่แม้จะเพิ่งตื่นจากการหลับใหล อยู่ในชุดเดรสติดระบายสีขาวหลวมๆ แต่เนื้อผ้าไม่ได้โปร่งถึงขนาดจะส่องเห็นเนื้อหนังมังสาได้ เด็กสาวที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ ถึงจะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่เดิมที่ขี้อาย ก็ค่อนข้างเงียบขรึมและเยือกเย็นขึ้นมา แม้ลมจะพัดเข้ามาเป็นครั้งที่สองของวัน มากระทบกับเปลือกตา แต่เธอก็ยังไม่ยอมหลับตา และจ้องมองออกไปยังอีกฟากหนึ่งของท้องฟ้า เพื่อรอคอยการกลับมาของชายที่ตัวเองรักด้วยความรู้สึกหลายๆอย่างทับถมกันอยู่ในอก อย่างกระวนกระวายและทรมานก๊อกๆๆ!〝ริน! พวกเราเข้าไปนะ! 〞〝อื้ม!〞 หลังสิ้นคำขออนุญาตด้วนน้ำเสียงที่ฟังแล้วสุภาพและค่อนข้างเป็นทางการ ชาญที่เป็นต้นเสียง อลิซและโชตก็เดินเข้ามาในห้องพยาบาลส่วนตัวที่มีแค่รินอยู่ข้างในตามลำดับ แ
หลังจากกองทหารของฮันซี่กลับมาจากภารกิจค้นหาตัวกรที่ถูกวาร์ปเข้าไปในมหาดันเจี้ยนโบราณ ก็ผ่านมาแล้วถึงหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่กรชนะทศกัณฑ์และเคลียร์ดันเจี้ยนสุดหฤโหดได้พอดิบพอดี... หากปล่อยไว้นานนักเรียนผู้กล้าทุกคนจะยิ่งระสับระส่าย ดังนั้นพอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ฮันซี่จึงเรียกรวมตัวทุกคนแล้วประกาศเรื่องที่กรเสียชีวิตไปแล้วในดันเจี้ยนอย่างเป็นทางการในทันที และแน่นอนว่านั่นทำให้ทุกคนช็อคมาก แต่ไม่ได้หมายความถึงว่าตกตะลึงเมื่อเพื่อนร่วมโรงเรียนอย่างกรตาย เพราะนักเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบกรมากนัก... แต่เป็นความตกตะลึงจากการที่มีคนตายจากอุบัติเหตุในการฝึก ทำให้ตระหนักได้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกที่สงบสุขอีกต่อไปแล้ว และกำลังถูกฝึกเพื่อเป็นทหารไปสู้รบกับเผ่าอื่น เนื่องจากนั่นเป็นทางเดียวที่จะได้กลับบ้าน แถมนั่นยังเป็นแค่เรื่องแต่งของพระราชาอีกต่างหาก นั่นจึงทำให้ทุกคนหดหู่ไปนานมากเลยทีเดียว แต่ฮันซี่ก็ไม่ใจร้ายไส้ระกำขนาดที่จะบังคับนักเรียนที่ไม่มีกระจิตกระใจฝึก เขาจึงปล่อยให้ทุกคนจัดการความคิดของตัวเองอยู่นานพอสมควร จนกว่าที่งานศพของกรจะจบลง...❖
ช่วงเที่ยงเป็นเวลาพักผ่อนของใครหลายคน แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่มีนัดสำคัญในช่วงบ่าย นี่เป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมในการเตรียมตัวสำหรับสองสาว... สำหรับเรเชลกับริต้า พวกเธอกำลังลองชุดสำหรับเดทในช่วงบ่ายกับแฟนหนุ่มสุดที่รักของพวกเธอ สำหรับเรเชล เรื่องชุดไม่ค่อยเป็นปัญหาเพราะเลือกไว้นานมาก และมีชุดตัวเก่งในแบบที่เรียบร้อยเหมาะสมกับตัวเองอยู่แล้ว ปัญหาคือชุดของน้องสาวอย่างริต้านี่แหละที่ทำให้พี่สาวคนนี้เป็นกังวลจนต้องกุมขมับ ถึงจะเป็นเสื้อยืดที่ใส่แล้วรัดรูปโชว์สะดือ และกางเกงยีนส์ขาสั้นเหมือนกับทุกทีก็เถอะ“...พี่ว่าชุดแบบนี้มันเปิดไปหน่อยนะ”“สงสัย... คุณกรน่าจะชอบ... แบบนี้ไม่ใช่เหรอ?” ริต้ามองกลับมาด้วยสายตาออดอ้อนอย่างบริสุทธิ์ใจ ในหัวเธอคงคิดอยู่แค่สามเรื่องเท่านั้นอันได้แก่ กร ครอบครัว แล้วก็กร ซึ่งอันที่จริงแนวคิดตรงนั้นก็ไม่ต่างจากเรเชลเท่าไรนัก ริต้ามองกวาดจากหัวจรดเท้า มองชุดเดรสแบบเปิดไหล่ของเรเชลแต่เป็นกระโปรงแบบคลุมเข่า เรียบร้อยเหมือนกับที่เรเชลใส่เป็นปกติ ความใคร่รู้ของริต้าจึงเกิดขึ้นในจังหวะนั
หลังจากเดทกับไมน์และรีเบคก้าจบลงพวกเราก็กลับบ้านเป็นเดทที่ดีอีกครั้งสำหรับสาว ๆ ที่ยังไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวกับเรานักเพราะถ้าว่ากันตามตรง เหล่าภรรยาของฉันหลายคนเพิ่งจะได้คบกันในช่วงที่กำลังลุยดันเจี้ยน ‘หมื่นเทวาใต้รัตนากร’ ของอาร์เคมีดีสหมายถึงเจนนี่ ไมน์ รีเบคก้า ซิลเวีย ยูมิน่า ฟลอร่า แล้วก็เฮเลน่ากับคอร์ดิเรีย ทั้งแปดคนนั่นแหละพวกเธอไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเดทกันเท่าไหร่ก็เลยยังเก้ ๆ กัง ๆ อยู่บ้างแต่ข้อดีก็คือไม่ว่าจะพาไปเดทที่ไหนพวกเธอก็ยังไม่คุ้นชินเลยมีโอกาสเรียนรู้กันและกันอีกมากหืม? แล้วความทรงจำเรื่องเดทจากเมื่อชาติก่อน ๆ ของพวกเธอที่เคยมีกับเรานี่ไม่นับเหรอ?ก็ไม่เชิงหรอกนะ... ความทรงจำเมื่อชาติก่อนมันก็เหมือนกับความทรงจำในวัยเด็กนั่นแหละ เรื่องเกิดตั้งนานแล้วใครจะไปจำรายละเอียดได้ล่ะจริงไหม?ก็จริงแหละที่ถ้าทำอะไรสักอย่างให้นึกถึง ความทรงจำพวกนั้นก็จะถูกกระตุ้นทำให้นึกออกแต่ฉันคุยกับทุกคนหลายรอบแล้วว่าอดีตก็คืออดีต จะไม่ให้มันกลายมาเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้กันและกันของพวกเราหรอกก็ด้วยเหตุนั้นแหละ ทั้งแปดคนเลยยังไม่ค่อยชินกับการไปเดทแบบทั่วไป ก็เลยพาไปเดทที่ต่าง ๆ
เวลาผ่านไปจนเกินเที่ยง ฉันเลยติดต่อบอกให้ทุกคนกินข้าวรอกันไปก่อนส่วนฉัน ฟลอร่าแล้วก็ยูมิน่าไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารใกล้ ๆนับว่าเป็นการยืดเวลาเดทได้ดี สองสาวดีใจใหญ่ที่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น น่ารักจริง ๆ เลยน้าทั้งสองคนจากนั้นช่วงบ่ายไปถึงเย็นก็จะเป็นคิวของไมน์กับรีเบคก้า ฉันก็เลยต้องกลับบ้านไปเตรียมตัวใหม่เพราะทั้งสองคนก็รออยู่ที่บ้านเหมือนกันแหล่ะนะแถมแฟนของฉันแต่ละคนก็ชอบบรรยากาศการเดทแตกต่างกันด้วยทั้งสไตล์การแต่งตัว น้ำหอม สถานที่ เวลา หรือความใกล้ชิดในที่สาธารณะเพราะทุกคนโตมาต่างกันเลยมีความต้องการคนละแบบ ก็ปกตินั่นแหล่ะแต่ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิดเพราะฉันรู้สิ่งที่ทุกคนชอบดีอยู่แล้ว จำได้ขึ้นใจด้วยว่าไปแล้วพอพูดถึงความใกล้ชิด ไมน์กับรีเบคก้านี่ก็ออกจะเหนียมอายกว่าทุกคนหน่อยถ้าเป็นสาว ๆ ส่วนใหญ่จะเดินกอดแขนฉันกลางธารกำนัลได้สบายแต่ไมน์กับรีเบคก้าจะยังไม่ค่อยกล้าทำอย่างนั้นเท่าไหร่ ก็เป็นในทำนองเดียวกับรินนั่นแหล่ะอลิซนั้นยังพอว่าเพราะโตมาแบบรับวัฒนธรรมต่างชาติมาใช้เต็ม ๆก็ขนาดพุ่งเข้ามากอดฉันที่เป็นเพื่อนสนิทยังกับเพื่อนเพศเดียวกันได้สบาย ๆ นั่นแหล่ะ (ถึงเธอจะไม่ได้ทำแบบ
หลังจากการเที่ยวสวนสนุกของฉัน เจนนี่และเฮเลน่าจบลงด้วยความหวานชื่น พวกเราก็กลับบ้านด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มขากลับก็มีการซื้อของที่ระลึกอย่างสร้อยคอให้พวกเธอและแน่นอน นอกเหนือจากนั้นพวกเราก็ซื้อเค้กกลับไปฝากทุกคนด้วยถึงจะมีเดทกับแฟนสาว แต่ก็ต้องไม่ลืมครอบครัวที่รออยู่บ้านด้วยโดยเฉพาะลูกสาวสุดที่รักอย่างแมรี่ นี่แหล่ะหน้าที่เสาหลักของบ้านล่ะ อื้ม ๆ!เท่านี้วันแห่งการพักผ่อนก็จบไปอีกวันด้วยความสงบสุข...ถึงก่อนนอนจะมีเรื่องจริงจังให้คิดนิดหน่อยก็เถอะนั่นเพราะระหว่างวันได้มีข้อมูลเกี่ยวกับกำหนดการคร่าว ๆ ของการประกาศความสำเร็จที่พวกเราทุกคนปราบอาร์เคมีดีสส่งเข้ามาน่ะสิก็มาจากพวกเสือ คัทยูชา แอดรูวส์แล้วก็พี่มารีนั่นแหล่ะดูเหมือนอีก 6 วันนับจากนี้จะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกถึงความสำเร็จของพวกเราพร้อมกับพิธีมอบรางวัลจากกษัตริย์ของอาณาจักรที่เป็นพันธมิตรก็... ฟังดูเป็นพิธีที่น่ารำคาญ แต่มันก็ขาดเสียมิได้หรอกแถมการทำแบบนั้นยังเป็นการตรวจสอบความร่วมมือจากอาณาจักรต่าง ๆ ให้ร่วมมือกันในการรับมือกับจอมมารในอนาคตด้วยแต่... ปัญหาก็คือพวกเราในตอนนี้ยังไม่มีเส้นสายในการติดต่อกับเผ่าปีศาจนี่แหล่ะ
ในห้องน้ำส่วนที่เป็นห้องแต่งตัวบ้านครอบครัวของกรก่อนหรือหลังเข้าไปใช้ห้องอาบน้ำรวมของบ้าน ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่มีใครใช้งานเป็นเวลานาน มันจึงเป็นเรื่องแปลกทีเดียวที่จะมีคนเพิ่งอาบน้ำในเวลาเที่ยงเศษแบบนี้ โดยเฉพาะบ้านของกรที่ต้องตื่นมากินข้าวเช้า รวมถึงอาบและแช่น้ำรวมกันทั้งบ้านเป็นกิจวัตร“แบบนี้ดีไหมนะ? หรือแบบนี้ดี?” นั่นถึงเป็นเรื่องแปลกเมื่อมีหญิงสาวกำลังจัดทรงผมด้วยสีหน้าสายตาจริงจังในเวลาเที่ยงเศษแบบนี้ คน ๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสาวผู้มีสไตล์มากที่สุดและมีเสน่ห์ของสาวผู้ใหญ่เหลือล้นอย่างเจนนี่หนึ่งเดียวคนนี้เอง โดยปกติแล้วเธอเองก็ค่อนข้างดูแลตัวเองตลอดเวลา เรียกว่าแม้จะอยู่บ้านก็ยังแต่งหน้าแต่งตาบาง ๆ ให้ดูเป๊ะอยู่เสมอ อย่างน้อย ๆ นั่นก็เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แฟนหนุ่มอย่างกรรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ แต่ครั้งนี้ต่างออกไปเพราะเธอค่อนข้างจัดเต็มมากทีเดียว ถึงแบบนั้นก็ไม่มากเกินไปกว่าระดับที่ทำให้ดูผิดธรรมชาติ“เป็นยังไงบ้างคะเจนนี่” ในจังหวะนั้นก็มีคนเดินเข้ามาในห้องพอดิบพอดี เธอเป็นสาวหูแมวผู้เงียบขรึมดูไร้อารมณ์ที่สุ
ยามเช้าอันสดใสมาพร้อมเสียงสัตว์อรุณสวัสดิ์เป็นกิจวัตรอันสร้างความสดชื่นรับวันใหม่ได้ทุกครา ไม่มีเสียงปลุกอะไรไพเราะไปกว่านี้ กับบรรยากาศสดชื่นและน่าเย้ายวนชวนให้ตื่นเช้าเช่นนี้ คงไม่มีใครหาญกล้านอนต่อได้นอกเสียจากคนที่ทำงานจนเหนื่อยล้าหรือกำลังอยู่ในช่วงขี้เกียจสันหลังยาว เว้นเสียแต่ว่าเธอคนนั้นไม่ได้หลับเสียตั้งแต่แรก ข้อยกเว้นดังกล่าวคือฟีโอน่าที่กำลังนั่งเขียนเอกสารในห้องส่วนตัวของเธอ ในบ้านส่วนตัวที่อยู่อาศัยร่วมกันกับครอบครัวของเธอตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนเช้าตรู่นี้ อันที่จริงต่อให้เธอทำงานค้างไว้ก็คงไม่มีใครว่าเธอได้ เพราะในอาณาจักรที่เธอปกครองตอนนี้ไม่มีใครใหญ่ยิ่งไปกว่าเธออีกแล้ว ต่อให้ประกาศกับเหล่าขุนนางไปแล้วว่าจะวางมือ แต่สถานะของอดีตราชินีและหนึ่งในสมาชิกปาร์ตี้ผู้กอบกู้โลกคงไม่มีใครกล้าหือแน่นอนต่อให้ลงจากตำแหน่งไปแล้ว สิ่งที่ผลักดันฟีโอน่าให้ทำงานจึงเป็นแรงขับเคลื่อนส่วนตัวอย่างความรับผิดชอบล้วน ๆ จะว่าต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเหล่าขุนนางก็คงได้ แต่อันที่จริง... สาเหตุหลักมันเป็นเพราะเธ
“ทนไม่ไหวแล้ว!!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายเป็นสิ่งแรกของยามเช้าอันสดใสของพวกกร ความเหนื่อยล้าจากศึกกลางคืนทำให้ทุกคนยังงัวเงีย แต่ก็ตื่นเต็มตากันหมดเพราะเสียงตะโกนของตัวป่วนประจำบ้านอย่างอลิซ ด้วยความที่ทุกคนนอนบนฟูกปูพื้นทำให้ทุกคนนอนเกลื่อนกลาด และเพราะผ่านศึกอันหนักหน่วงกันมา ทั้งสาว ๆ และกรเลยมีแค่ผ้าห่มคนละผืนทับตัวเปล่า ๆ เหมือนเด็กแรกเกิด แต่สภาพแบบนั้นไม่ได้ทำให้อลิซร่าเริงน้อยลงเลย“ได้ยินป่าว! ฉันบอกว่า ‘ทน-ไม่-ไหว-แล้ว’ อ่ะ!” เธอทำแก้มป่องทุบพื้นหลายต่อหลายที ถึงไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดเรื่องอะไรก็เถอะ“มีเรื่องอะไรแต่เช้าเนี่ย?” กรที่หนุนหมอนอยู่ถึงชันตัวขึ้น เขาต้องค่อย ๆ ใช้แขนสองข้างประคองให้มีอากับรินลงหนุนหมอนแทนจากที่นอนซบไหล่เขามาตลอดคืน อาจเพราะแบบนั้นด้วยมีอากับรินเลยทำหน้ามุ่ย แต่พอได้กรลูบหัวไปคนละสองทีพวกเธอก็ยิ้มพริ้มกันเพลินจนต้องหลับต่อ“หรือว่าอยากกอดเหรอ? งั้นมามะ” กรอ้าแขนเชื้อเชิญด้วยใบหน้าระรื่น เพราะเขาเองก็อยากจะกอดอลิซเหมือนกัน“ไม่ใช่ย่ะ! ไม่สิ... ถึงจริง ๆ จะอยากกอดก็เถอะ แต่ที่จะพูดมันไม่ใช่เรื่
————วันรุ่งขึ้นหลังจบศึก, ณ มหาดันเจี้ยนโบราณเด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว ภายในมหาดันเจี้ยนโบราณของฟรังซ์ ออลเดลผู้เป็นเจ้าของนั้น มีดันเจี้ยนชั้นหนึ่งที่เป็นส่วนอยู่อาศัย หากนับตามลำดับคงเป็นชั้นที่ 101 ว่าไปแล้ว มันก็คือดันเจี้ยนชั้นเดียวกับที่กรและมีอาได้เข้ามาพักหลังจากที่เคลียร์ดันเจี้ยนแห่งนี้สำเร็จแล้วนั่นเอง คฤหาสน์ของฟรังซ์นั้นมีห้องอยู่จำนวนมากทั้งที่กำลังใช้งานอยู่และที่เป็นห้องว่างพร้อมให้ปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่าง ๆ ตามต้องการ ในบรรดาห้องว่างทั้งหลายเหล่านั้นคือห้องชั้นใต้ดินของอาคารหลักอันมืดมิด ได้ถูกดัดแปลงเป็นห้องกรงแบบง่าย ๆ คำว่าง่าย ๆ ที่ว่านั้น คือการใส่ลูกกรงเหล็กหน้าห้องแทนประตู พื้นที่เป็นดินไม่ได้รับการตกแต่งหรือทำความสะอาดเพื่อไว้ใช้ลงโทษ นอกเหนือจากนั้นคือกุญแจมือและเท้าที่ล่ามติดโซ่ผู้กระทำผิดเอาไว้ในฐานะนักโทษอยู่กลางห้องไม่ให้ขยับไปไหนได้ และคนที่ถูกล่าม ไม่สิ... ล่ามตัวเองอยู่นั้น ก็ไม่ได้เป็นใครอื่นนอกจากอาร์เคมีดีส ตัวอาร์เคมีดีสนั้นแม้จะถูกล่ามโซ่ในสภาพอนาถาแต่กิริยาของเขากลับยังนิ่งสงบ ทั้
————ก่อนหน้านี้เล็กน้อย“แล้ว... จะเอายังไงต่อดีล่ะเนี่ย” หลังออกมาจากมหาดันเจี้ยน ‘หมื่นเทวาใต้รัตนากร’ จนมาอยู่บนชายหาดของเกาะที่อยู่ใกล้ที่สุด เมอร์ลินก็เอ่ยถามขึ้นมาเป็นคนแรก เพราะอาเธนที่เป็นคนใช้ไอเทมทำให้ทุกคนออกมาได้รวมถึงมหาปราชญ์คนอื่น ๆ นั้นไม่ได้มาด้วย เนื่องจากจำเป็นต้องทำลายแกนพลังงานของดันเจี้ยนเพื่อลดอัตราการดูดซับเท่าที่จะทำได้แม้แกนกลางของดันเจี้ยนจะกลายเป็นลาสบอสพร้อมกับอาร์เคมีดีสไปแล้วก็ตาม และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่มันก็เหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง คำถามของเมอร์ลิน จึงไม่ใช่อะไรนอกจากการยืนยันสิ่งที่กรจะทำหลังจากนี้ ทั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นและกังวล แต่ว่าก่อนหน้านั้น...“เดี๋ยวก่อนสิ! นี่จะไม่สนใจไอ้เจ้ายักษ์นั่นหน่อยเหรอเนี้ยว!?”“นะ นั่นสิคะ! นั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ควรกังวลมากกว่านะคะ!” ในขณะที่ฟลอร่ากับซาช่าต่างก็ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าจนเหมือนคนสติแตก ซึ่งถ้าบนนั้นมีแค่เมฆสีครามเหมือนปกติก็จะดี แต่เพราะไม่ใช่ พวกเธอถึงกลัวจนขนลุกกันขนาดนั้น เพราะที่อยู่บนนั้น คือมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่า