สายลมฤดูร้อนพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ผ้าม่านในห้องพยาบาลสำหรับทหารในกองอัศวินโบกสะบัด แล้วพอลมสงบ ก็ปรากฏร่างของเด็กสาวนั่งเหยียดขาตรงอย่างเรียบร้อยอยู่ใต้ผ้าห่ม เอนหลังพิงกับหัวเตียง มองออกไปทางหน้าต่างที่เพิ่งมีลมพัดผ่านโดยไม่แม้แต่จะกระพริบตาซักนิด
เด็กสาวที่แม้จะเพิ่งตื่นจากการหลับใหล อยู่ในชุดเดรสติดระบายสีขาวหลวมๆ แต่เนื้อผ้าไม่ได้โปร่งถึงขนาดจะส่องเห็นเนื้อหนังมังสาได้
เด็กสาวที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ ถึงจะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่เดิมที่ขี้อาย ก็ค่อนข้างเงียบขรึมและเยือกเย็นขึ้นมา แม้ลมจะพัดเข้ามาเป็นครั้งที่สองของวัน มากระทบกับเปลือกตา แต่เธอก็ยังไม่ยอมหลับตา และจ้องมองออกไปยังอีกฟากหนึ่งของท้องฟ้า เพื่อรอคอยการกลับมาของชายที่ตัวเองรักด้วยความรู้สึกหลายๆอย่างทับถมกันอยู่ในอก อย่างกระวนกระวายและทรมาน
ก๊อกๆๆ!
〝ริน! พวกเราเข้าไปนะ! 〞
〝อื้ม!〞
หลังสิ้นคำขออนุญาตด้วนน้ำเสียงที่ฟังแล้วสุภาพและค่อนข้างเป็นทางการ ชาญที่เป็นต้นเสียง อลิซและโชตก็เดินเข้ามาในห้องพยาบาลส่วนตัวที่มีแค่รินอยู่ข้างในตามลำดับ แล้วรีบมุ่งไปที่เตียงของรินอย่างรวดเร็ว
〝ได้พักบ้างรึเปล่าเนี่ยริน〞
〝อื้ม! แน่นอนอยู่แล้ว... ว่าแต่ที่สำคัญกว่านั้น...〞
〝อืม... ถ้างั้นก็ไม่ต้องอ้อมค้อมกันหล่ะ〞
อลิซถามอาการของรินออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ทั้งที่ตัวเองก็ล้าพอกัน รินเองก็พยายามตอบกลับอย่างร่าเริงเช่นกัน แต่ก็ซ่อนความร้อนรนไว้ไม่ไหว เธอจึงรีบตัดเข้าประเด็นสำคัญอย่างรวดเร็ว ชาญเองก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เลยพูดประเด็นสำคัญของเรื่องก่อนที่จะเริ่มการอธิบาย
〝กรหน่ะ ยังมีชีวิตอยู่หล่ะ!〞
รินยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น... แต่นั่นก็เป็นเรื่องก่อนที่รินจะได้ฟังอย่างละเอียด
❖❖❖❖❖
ทั้งสามคนหาเก้าอี้ไม้มานั่งข้างเตียง ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดที่รู้ให้รินฟัง
ฮันซี่ทำการค้นหาตัวกรขึ้นไปข้างบน เริ่มจากชั้นที่ 23 และสิ่งที่พบในจุดเกิดเหตุก็มีแค่ แขนซ้ายของกรเท่านั้น พอเล่ามาถึงตรงนี้ รินแสดงอาการช็อคออกมาอย่างชัดเจน จนแทบจะสลบอีกครั้งเลยทีเดียว
นอกจากศพของฮาวลี่ ก็ไม่มีหลักฐานอื่นที่ใช้สาวไปหาตัวกรได้ ด้วยการที่เหลือแค่แขน จึงไม่แปลกที่จะคิดว่ากรได้ตายไปแล้ว แต่หากยังรอด กรก็คงเดินทางขึ้นไปข้างบนเพื่อหาทางออกหรือไม่ก็อยู่เฉยๆในชั้นเพื่อรอการช่วยเหลือ แต่ก็ไม่พบร่องรอยของกรตั้งแต่ชั้นที่ 1-23 เลยซักนิด มันเลยช่วยไม่ได้ที่จะคิดว่ากรตายไปแล้ว
〝เอ๋! แล้วทำไมถึงบอกว่ากรยังมีชีวิตอยู่หล่ะ?〞
รินที่ตั้งใจฟังมาตลอด สงสัยในเรื่องนั้นเป็นอันดับแรก เพราะคิดว่าเพื่อนๆอาจจะโกหกตัวเอง รวมถึงหลักฐานที่บ่งบอกในเรื่องนั้นก็ไม่มี แม้จะเจ็บปวด แต่รินต้องการความจริงมากกว่า แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ชาญอธิบายให้ฟัง
〝กรทิ้งสัญลักษณ์บางอย่างไว้ที่แขนข้างที่ขาดหน่ะ…เป็นรูปโพธ์ดำแบบเดียวกับบนหน้าไพ่ แล้วก็มีรูปกากบาทขีดทับสัญลักษณ์นั้นอีกที〞
〝เอ๋!? แล้วมันหมายความว่าไงเหรอ?〞
〝นั่นสิ ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน 〞
ทั้งรินและโชต ต่างก็ทำหน้าไม่เข้าใจ ส่วนอลิซกลับทำหน้าเหมือนรู้อยู่แล้ว แต่ชาญก็ต้องเป็นคนอธิบายอยู่ดี เขาจึงขยับแว่น ก่อนที่จะเริ่มอธิบาย
〝ไม่มีอะไรซับซ้อนหรอก... ความหมายของโพธ์ดำก็คือ ความตาย... ที่ขีดกากบาททับก็เข้าใจได้ง่ายๆว่า... ยังไม่ตายยังไงหล่ะ ใช่ไหมหล่ะอลิซ!〞
〝ใช่เลย ตามนั้นแหล่ะ!!!〞
อลิซยืนยันอีกเสียงด้วยท่าทีกระตือรือร้น พร้อมทั้งแววตาเป็นประกาย อันเป็นการยืนยันจากใจจริงอีกครั้ง รินที่ได้ยินแบบนั้นก็โล่งอกไปเปราะนึง
〝เรื่องทั้งหมดที่สำคัญๆ ก็มีเท่านี้... 〞
〝แต่เรื่องที่สำคัญกว่าคือต่อจากนี้ไปหล่ะสินะ...〞
〝อื้ม! ผมเองก็คิดเหมือนกัน〞
โชตพูดเป้าหมายที่ควรทำออกมาต่อจากนี้ ชาญที่เห็นด้วยจึงเริ่มหารือกันอย่างจริงจังกับเรื่องที่จะทำต่อจากนี้
〝แล้วชาญ... นายได้บอกคุณฮันซี่รึเปล่า... เรื่องที่กรยังไม่ตายหน่ะ〞
〝โทษทีริน... แต่ผมยังไม่ได้บอก〞
สำหรับชาญ ที่มั่นใจว่ากรต้องมีเหตุผล เพราะแทนที่จะทิ้งสัญลักษณ์ขอความช่วยเหลือ กลับเป็นแค่ข้อความที่บอกว่า ยังไม่ตาย เท่านั้น เลยเลือกที่จะเชื่อใจ ทั้งที่เป็นห่วงเขาไม่แพ้คนอื่นๆ
ตามนิสัยของกร เขาคงกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน แต่หากหายไปเฉยๆ พวกเราก็จะเป็นห่วง กรคงไม่อยากให้เราเศร้า... เลยใช้วิธีครึ่งๆกลางๆแบบนี้แทน
〝ฉันคิดว่ากร กำลังคิดทำอะไรบางอย่างอีกแน่เลย...〞
อลิซเป็นอีกคนที่สนับสนุนความคิดของกรออกมาในรูปของคำพูด
〝ตะ แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะปล่อยให้กรอยู่ในอันตรายคนเดียวนี่นา... แถมตอนนี้กรก็ยังอาการสาหัสด้วยไม่ใช่เหรอ〞
〝มันก็... จริงหล่ะนะ〞
〝อืม... เรื่องนั้นฉันเห็นด้วยนะ 〞
พอรินพูดแบบนั้นออกมา เลยทำให้ความคิดของโชตและอลิซเปลี่ยนไป เพราะคำพูดของรินเน้นย้ำความจริงที่ว่ากรเหลือแขนเพียงข้างเดียว แถมยังอยู่ในดันเจี้ยนระดับสูงอยู่เพียงลำพังอีก แล้วพอเทียบกันในด้านสเตตัสของกรเอง ก็น้อยกว่าพวกตัวเองตั้งหลายสิบเท่า
โชตนั้นรู้ดี ว่าเบื้องหลังการกระทำของกรย่อมมีเหตุผลเสมอ เลยพยายามเชื่อใจเขา ส่วนอลิซที่รู้จักนิสัยกรดี ก็พยายามคิดแบบเดียวกัน เพราะคิดว่าการตอบสนองความรู้สึกของกรคือสิ่งที่ควรทำ ทั้งที่ตอนนี้เธอเองก็กระวนกระวายพอๆกับหรือมากกว่ารินเลยทีเดียว
แต่ชาญนั้นต่างออกไป....
เนื่องจากเหตุการณ์หนึ่งในอดีต…ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำให้นักเรียนเกือบทั้งโรงเรียนเกลียดกร เขาเป็นคนเดียวที่กรจะพูดคุยในเรื่องนี้ได้ รวมถึงได้รับการขอร้องบางอย่างจากกรด้วย...
เพราะสาเหตุทั้งสองเรื่องนี้มันคล้ายคลึงกัน อันมาจากการที่กรคิดจะแก้ปัญหาและพุ่งเป้าปัญาหารอบตัวมาที่ตัวเองคนเดียว ชาญเองก็ปฏิเสธตั้งแต่ครั้งนั้นไปแล้ว... ครึ่งหนึ่งก็เห็นด้วย เพราะทำให้คนอื่นไม่โดนลูกหลงจากอดีตของกร อีกครึ่งนึงก็ไม่เห็นด้วย จากความรู้สึกส่วนตัว เพราะคนที่จะเจ็บปวดเมื่อกรโดนพุ่งเป้าไม่ได้มีแค่กรคนเดียว เพราะทั้งริน โชต อลิซและตัวชาญเองก็พาลโมโหและเศร้าตามไปด้วยเช่นกัน
ในตอนนั้นเรื่องที่ถูกกรขอร้องมีสองอย่าง... หนึ่งก็คือ การสืบข้อมูลบางอย่าง... เนื่องด้วยพ่อของชาญเป็นถึงอธิบดีกรมตำรวจ แถมแม่ของเขายังเป็นข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยที่มีเส้นสายพอสมควรกรเลยไหว้วานให้สืบข้อมูลของคนๆนึง… กรรู้ดีว่า ถึงแม้ชาญจะเป็นลูก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้สิทธิพิเศษของพ่อแม่ได้... แต่ยังไงก็มีเรื่องที่ชาญทำได้สะดวกกว่ากรแน่นอน เขาจึงไหว้วานชาญให้ทำเท่าที่ทำได้ ด้วยประการฉะนี้
ส่วนคำขออีกอย่างของกร... เป็นสิ่งที่เรียบง่าย แต่ก็ทำให้ชาญลำบากใจมาก... นั่นก็คือ...
〝ปล่อยให้ฉันจัดการเอง... เชื่อใจฉันเถอะนะชาญ 〞 แค่นี้แหล่ะ... กรพูดเสริมในทำนองว่า 〝ฉันที่เป็นคนขอร้องนายพูดแบบนี้มันก็ยังไงอยู่... แต่ให้ฉันรับผิดชอบทุกอย่างเองเถอะนะชาญ อย่าทำให้ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองมากไปกว่านี้เลย〞 อีก ด้วยน้ำเสียงจริงจัง พอถูกพูดแบบนั้นชาญก็ไม่กล้าพูดต่อ แถมยังถูกขอร้องไม่ให้พูดเรื่องนี้กับพวกรินด้วย ชาญถึงปฏิเสธไม่ลง
และด้วยเรื่องที่ว่านี้แหล่ะ จึงทำให้ความคิดของชาญแตกต่างไปจากคนอื่น
〝ขอโทษนะทุกคน... แต่ยังไงผมก็ขอยื่นคำขาดว่า ควรจะเชื่อใจกร 〞
〝〝〝เอ๋!!!!〞 〞 〞
และแน่นอนว่าทุกคนตกใจจนตะลึงไปเลย แต่ชาญก็ยังคงนิ่งสงบ พร้อมกับดันแว่นตัวเองขึ้นอีกครั้งเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการโน้มน้าวทุกคน
〝ผมรู้ว่าเรื่องความปลอดภัยของกรต้องมาก่อน... แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถช่วยกรได้หรอก 〞
〝ทำไมกันหล่ะ... การช่วยเหลือนักเรียนผู้กล้าไม่ใด้อยู่ในการดูแลของกองอัศวินหรอกเหรอ... 〞
ชาญที่ได้ยินคำถามของรินกลับมายังคงใจเย็น พลางดันแว่นขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดราวกับอ่านสคริปต์อยู่
〝ลืมไปรึเปล่าริน... ที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทยหรือโลกใบเดิม แต่เป็นต่างโลกนะ... ผมมั่นใจเลยว่าเรื่องจริยธรรมกับค่านิยมต้องแตกต่างจากโลกเดิมแน่นอน 〞
〝เรื่องนั้นมัน...〞
รินพูดไม่ออกต่อความเป็นจริงที่พยายามลืม เลยทำให้ทั้งสามคนที่ฟังอยู่ก้มหน้าลงมองพื้นอย่างช่วยไม่ได้
〝แล้วถ้าผมเป็นกองอัศวินหล่ะก็... ผมคงไม่มีวันเสี่ยงเอาคนจำนวนมากลงไปช่วยคนไร้ประโยชน์ที่สเตตัสน้อยที่สุดในกลุ่มผู้กล้าแค่คนเดียวหรอก 〞
〝ชาญ... พูดแบบนั้นเกินไปหน่อยรึเปล่า 〞
〝ขอโทษที... แต่ผมไม่อยากเสียเวลาพูดอ้อมค้อม 〞
อลิซพูดแทรกออกมาแบบนั้นทันที ที่กรถูกสบประมาท ถึงจะเป็นเพื่อนสนิท... แต่คำพูดแบบนั้นมันแรงเกินไป ชาญแค่ไม่อยากเสียเวลา ถึงได้ใช้คำพูดที่สื่อให้เห็นภาพไวที่สุดเท่านั้น อลิซเองก็รู้ดี... แต่โกรธยังไงมันก็โกรธนั่นแหล่ะ อลิซถึงไม่ได้ยับยั้งตัวเอง
〝เพราะงั้นทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือ... การออกตามหากรด้วยตัวเองยังไงหล่ะ! 〞
รินที่ก้มหน้าอยู่ตลอดเงยหน้าขึ้นมาราวกับติดสปริง เพื่อฟังความเป็นไปได้ที่จะช่วยเหลือกร ชาญจึงพูดต่อในทันที
〝ตอนนี้เราอยู่ในต่างโลก... ไม่มีความน่าเชื่อถือซักนิด จะขอความร่วมมือกับใครก็ไม่ได้... 〞
〝 เพราะงั้น... เลยต้องสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้เนื้อเชื่อใจกับอาณาจักร... ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความแข็งแกร่ง เพื่อตามหากรให้ได้เร็วที่สุดงั้นสิ 〞
〝ใช่แล้ว... แถมพอมีชื่อเสียง ก็ยังสามารถหาข่าวสารจากหลายๆแหล่งเพื่อร่นระยะเวลาได้อีกมากด้วย 〞
โชตเป็นคนขยายความให้กับชาญพลางขยับมือขวามาเท้าคางในท่านั่ง ชาญที่พยักหน้าตอบก็อธิบายเสริมไปอีก นั่นเลยทำให้เป้าหมายของทั้งสี่คนชัดเจนขึ้นเป็นรูปร่างเสียที
〝แต่แบบนั้นมันจะใช้เวลาเยอะเกินไปรึเปล่า 〞
〝คิดว่าคงไม่ขนาดนั้นหรอก... ผมเชื่อว่ายังไงกรต้องอยู่รอดจนกว่าจะเจอเราแน่นอน... เพราะถ้าหมอนั่นไม่คิดว่าตัวเองจะรอดจากดันเจี้ยนนั่นได้ หมอนั่นคงไม่ทำเรื่องเสี่ยงตายขนาดนี้หรอก... มั้งนะ! 〞
〝ไม่มั่นใจเหมือนกันสินะ...〞
〝ก็นิดนึงแหล่ะน่า〞
อลิซถามออกมาด้วยความร้อนรน เพราะอยากใช้เวลาที่สั้นที่สุดในการตามหากร พอชาญอธิบายให้ฟังก็โดนเหน็บแนมโดยโชตอีก
〝ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้... เป้าหมายอันดับหนึ่งของเราในตอนนี้ก็คือ การออกตามหากร... โดยก่อนอื่นคือต้องสร้างผลงานกับอาณาจักร เพื่อให้ได้สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร... บางทีนี่คงจะเป็นแผนระยะยาวพอสมควรหล่ะนะ... เพราะงั้นหลังจากที่กองอัศวินจัดงานศพให้กรแล้ว เราก็ควรเริ่มแผนทันที... 〞
〝ระยะยาวงั้นเหรอ? ว้า... ฉันจะอดทนรอถึงตอนนั้นไหวไหมน้า〞
〝หุหุ! อลิซนี่หล่ะก็... เพิ่งจะคิดแผนกันเองนะ... แต่ฉันเข้าใจอลิซนะ เพราะฉันเองก็อยากเจอกรเร็วๆเหมือนกัน...〞
〝ริน! งือ... อย่างน้อยเธอก็ยังอยู่ด้วย... ฉันหล่ะดีใจจริงๆ!!!!〞
บรรยากาศในการพูดคุยดูผ่อนคลายลง หลังจากตัดสินใจในสิ่งที่จะทำต่อจากนี้ได้แล้ว
จากการที่อลิซเปลี่ยนวิธีพูดจากลับมาเป็นปกติ และรินตอบกลับด้วยท่าทางสมเป็นกุลสตรี ยามหัวเราะก็ยกมือขึ้นมาป้องปากอย่างเรียบร้อย แถมพอตอบกลับคำพูดของอลิซไปแล้ว อลิซก็โผเข้าไปกอดรินที่นอนอยู่บนเตียงแทบจะทันที แต่คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของโชตต่อจากนี้กลับทำให้ทั้งสองคนที่กำลังร่าเริงอยู่หยุดชะงักแทบจะทันทีเลยทีเดียว
〝ฮะฮะ! จะทนไม่ไหวก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอ... ก็ทั้งสองคนชอบกรขนาดนั้นนี่นา อุ๊บ!〞
〝〝!!!!〞〞
สาวๆสองคนที่กอดกันอยู่อย่างสนิทสนม หันสายตามายังโชติที่เผลอพูดสิ่งที่คิดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจพร้อมกัน
เพราะบรรยากาศตรงหน้าผ่อนคลายลง... เลยทำให้โล่งใจมากไปหน่อย โชตจึงรีบเอามือปิดปากตัวเองในทันที แต่หน้าเสียดายที่มันสายไปแล้ว เพราะคำพูดของเขาดังชัดแจ้งทั้งสองรูหู แถมชาญที่อยู่ด้วยก็ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจซักนิด นั่นแสดงให้เห็นว่าชาญเองก็รู้เหมือนกันว่าทั้งสองคนชอบกรอยู่ นั่นเลยทำให้บทสนทนาวกกลับมายังเรื่องของกรอีกครั้งนึง
〝มะ มะมะ หมายความว่ายังไง.... ทะ ทำไมถึงได้รู้หล่ะโชต〞
〝นะ... นั่นสิ ฉันจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยปากโป้งบอกพวกนาย....〞
เมื่อความลับถูกแพร่งพราย การเค้นปากคำจึงเริ่มคิด พอมาถึงตรงนี้ชาญที่เงียบมาตลอดก็ทนเห็นโชตอยู่ในสภาพจนมุมไม่ไหว เลยร่วมการสนทนาอีกครั้ง
〝บอกตรงๆนะ... รุกใส่กรขนาดนั้น... ถ้าผมเป็นหมอนั่นผมก็ดูออกแหล่ะ〞
〝〝วะ ว่าไงนะ!!!!〞〞
〝มะ มันง่ายกว่านั้นอีกน่าชาญ... ก็ยัยพวกนี้ไม่เห็นจะชายตามองผู้ชายคนอื่นเลยนี่นา... เวลามีคนมาสารภาพรักก็ปฏิเสธตลอด... จะดูยังไงมันก็... นะ!〞
〝อึก!!〞
〝เรื่องนั้นมันก็....〞
ทั้งรินและอลิซต่างก็ต้องตกตะลึง เพราะมาคิดดูแล้ว มันก็ดูออกง่ายขนาดนั้นจริงๆนั่นแหล่ะ เลยทำให้ทั้งสองคนเบือนหน้าหลบชาญและโชตที่พูดแทงใจดำแบบนั้นด้วยความเขินอายอย่างน่ารักน่าชัง
〝แล้วก็อลิซ.... เธอหน่ะ ยังมีเรื่องที่ไม่ได้บอกทุกคนอยู่ไม่ใช่เหรอ? ...เรื่องของเธอกับกรหน่ะ?〞
〝หา!!!?〞
และด้วยความสามารถของชาญ ที่พูดเรื่องคลุมเครืออย่างที่ว่าไป เลยทำให้คราวนี้ทุกคนมุ่งจุดสนใจไปยังอลิซแทน และดูเหมือนอลิซเองก็เข้าใจได้ในทันทีว่าชาญหมายถึงเรื่องอะไร เธอเลยพยายามทำท่าเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่การกางมือโบกไปมามันไม่ได้ช่วยอะไร แถมยังเป็นการเพิ่มพิรุธให้ตัวเองจนรินและโชตสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก
〝เรื่องอะไรกันเหรออลิซ.... 〞
〝เดี๋ยวๆ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยหล่ะ... เล่ามาให้หมดเปลือกเลยนะยัยนี่!〞
〝ทะ ทั้งสองคนก็เป็นไปด้วยเหรอเนี่ย! วะ ว่าแต่เรื่องนี้มันไม่เห็นจะเกี่ยวเลยนี่ชาญ!!!〞
〝เกี่ยวสิ... ต่อจากนี้เราต้องออกเดินทางในฐานะพวกพ้องร่วมเป็นร่วมตายนา... ถ้ามีความลับปิดบังกัน จะทำให้ความเชื่อใจแย่ลงในตอนหลัง เพราะงั้น... ถ้าไม่รีบเล่าหล่ะก็... เดี๋ยวผมแฉเองนะ 〞
〝นะนะนะ นายนี่มัน!!!!!!!!!〞
เมื่อเป็นไปดังที่ว่า อลิซก็ถูกรินและโชตยื่นหน้าเข้ามาใกล้ด้วยความสงสัย พร้อมทั้งถูกกดดันจากชาญอีก จนเธอถึงกับถอนหายใจออกมาดังๆ เพราะยอมแพ้ทั้งสามคน แล้วเริ่มเล่าความจริงออกมาทันที แต่ก่อนหน้าจะเล่าอลิซก็เอานิ้วชี้ทั้งสองข้างมาม้วนกันไปมา พร้อมกับทำหน้าแดงแจ๋ก่อนเล่า นั่นยิ่งสร้างพิรุธเข้าไปใหญ่ แต่ก็สมควรแล้ว เพราะสิ่งที่ออกจากปากอลิซนั่นก็คือ...
〝ยอมแล้วๆ กะ ก็ได้น่า.... คือว่า... เอ่อ! จะ จริงๆแล้ว... ตอน ม.3 หน่ะ... ฉันกับกร เคย.... คบกันมาก่อนแล้วหน่ะ….〞
〝〝เอ๋!!!!〞 〞
ทั้งรินและโชตที่ไม่รู้เรื่อง ทำได้แค่อ้าปากค้างกับคำตอบของอลิซที่พูดแบบนั้นในขณะที่บิดตัวไปมาด้วยความอาย ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง
❖❖❖❖❖
นั่นเป็นช่วงหลังจากที่กรเสียพ่อแม่ไปจากอุบัติเหตุ 1 ปี เป็นช่วงที่กรเพิ่งกลับมาเรียนตามปกติเพราะการบังคับหลายต่อหลายครั้งของเพื่อนสนิททั้ง 4 ซึ่งอลิซก็คือหนึ่งในนั้นเช่นกัน
ไม่ใช่แค่รินเท่านั้นที่แอบมีใจให้กรตั้งแต่สมัยเด็ก... อลิซที่เข้ากลุ่มมาหลังจากโชตเองก็ได้แอบชื่นชมวีรกรรมของกรในตอนเด็ก และมองแผ่นหลังของเขามาโดยตลอด โดยหวังว่าซักวันจะเป็นคนที่สุดยอดพอที่จะอยู่เคียงข้างเขาได้
เหมือนกับริน... ความรู้สึกของเธอชัดเจนขึ้น เมื่อตอนที่กรเก็บตัวอยู่ในบ้านของตัวเอง... ตอนนั้นเธอคิดเพียงอย่างเดียวว่า อยากจะช่วยกรให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม... ให้เขากลับมาเจิดจ้าในฐานะของหัวหน้ากลุ่ม เพื่อเดินตามแผ่นหลังไปเคียงข้างเขาอีกครั้ง
หลังจากเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติ... เธอเริ่มรู้สึกได้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปนิดหน่อย... นั่นคือความสนิทสนมกว่า 7 ปีระหว่างเธอกับกร มันร่นระยะเข้ามาเรื่อยๆ จนเธอเริ่มรู้สึกหวั่นไหว
มันก็เหมือนกับเพื่อนสมัยเด็กที่เมื่อก่อนเคยอาบน้ำด้วยกัน... แต่พอโตมาแล้วกลับรู้สึกเก้อเขินนั่นแหล่ะ... เพราะว่าทั้งคู่ต่างก็โตเป็นหนุ่มสาว... เลยทำให้บรรยากาศและความรู้สึกเปลี่ยนไป และด้วยความรู้สึกทับถมที่อยากอยู่เคียงข้างกรมาตั้งแต่เด็กๆ มันเปลี่ยนไป... จากในฐานะเพื่อนสนิท ได้ถูกเปลี่ยนเป็นความรักโดยที่เธอไม่รู้ตัว
ในช่วงก่อนจะปิดเทอม 2 เธอตัดสินใจปลดปล่อยอารมณ์ที่อัดอั้นมานานนี้ ด้วยการสารภาพรักกับกร ในครั้งนั้นกรนั้นบอกว่าดีใจสุดๆ แต่กลับทำหน้าเศร้ากลับมาแทน... ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่อลิซในตอนนั้นไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อยคำขอของเธอก็สมหวัง เพราะกรตอบรับคำสารภาพกับเธอแทบจะทันที แล้วอลิซกับกร ก็เริ่มคบหากันตั้งแต่ตอนนั้น…
แต่เพียงแค่สามเดือนเท่านั้น.... วันหนึ่งในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน กรได้พูดขึ้นมาว่า〝จะคบกันรึเปล่า... ฉันว่ามันไม่เห็นจะสำคัญเลยนี่〞ตอนนั้นอลิซสับสนไปหมด ได้แต่ถามกลับไปว่า〝นั่นหมายความว่านาย... ไม่ได้รักฉันแล้วงั้นเหรอ?〞เพียงเท่านั้น
ไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร แต่ก็เข้าใจได้ว่านั่นหมายความว่ายังไง... หลังจากนั้นความจำมันค่อนข้างเลือนลาง เพราะอยากจะลืม... แต่หากเพ่งความคิดดีๆเธอก็จะจำได้ขึ้นมา
ตอนที่เราคบกัน... ฉันว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เป็นเพื่อนสนิทกันเลยนี่... ไปซื้อของด้วยกัน... ไปเที่ยวด้วยกัน... เดินเล่น... ส่งเธอกลับบ้าน... ที่เปลี่ยนไปมันมีแค่สถานะเท่านั้น...
เมื่อมองจากบุคคลที่สนิทกันอย่างรินและโชต ทั้งสองคนที่คบกันไปแล้ว ไม่ได้ทำอะไรเกินไปกว่าที่เคยเลยซักนิด เพราะงั้นความสัมพันธ์แบบไหน สำหรับพวกเรามันก็ไม่เห็นเกี่ยวเลยนี่นา...
กรต้องการจะสื่อว่าอย่างงั้น…
แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่กรต้องการจะสื่อไปถึงอลิซมันผิดไปหน่อย เลยทำให้อลิซเข้าใจผิดเต็มๆว่านั่นเป็นการบอกเลิก... ซึ่งมันก็ไม่ผิดเสียทีเดียว หากจะผิด ก็คงเป็นปัญหาเรื่องความรู้สึกเสียมากกว่า... แถมความรู้สึกจริงๆของกรนั่น เธอเองก็เพิ่งจะรู้เมื่อตอนขึ้น ม.ปลายอีก เรื่องที่ค้างคาใจมาตลอดเลยทำให้เธอโล่งอกขึ้น พร้อมกับสามารถคงความเป็นเพื่อนสนิทกับกรได้เหมือนเดิม... หรือบางทีอาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
〝ทำไมกัน? กรบอกเลิกอลิซจริงๆงั้นเหรอ...〞
〝อืม... มันก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวนะริน〞
รินถามข้อสงสัยออกมาทันทีด้วยน้ำเสียงปนความไม่พอใจ ตัวเอง ทั้งที่ใจความสำคัญของเรื่องยังไม่ได้เปิดเผย อลิซเลยอ้ำอึ้งนิดหน่อย เพราะคิดว่ากรหักอกเพื่อนสนิทของตัวเอง ทั้งที่เธอรักกรเหมือนกันจึงควรจะรู้สึกอิจฉาอลิซแท้ๆ แสดงให้เห็นว่ารินที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของสองคนมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง เป็นเด็กดีมากจริงๆที่คิดเรื่องของคนอื่นก่อนตัวเอง
〝แล้วไม่โกรธรึไงอลิซ?〞
〝หืม... ก็ไม่ได้โกรธอะไรขนาดนั้นหรอก ตอนนั้นฉันก็แค่ชกท้องหมอนั่นจนกองกับพื้น แล้วก็วิ่งหนีไปทั้งน้ำตาเอง〞
〝อึก! อย่าพูดแบบนั้นออกมาทั้งที่ยังยิ้มอยู่สิฟ่ะ!〞
อลิซกำหมัดแน่นในจังหวะที่ตอบคำถามของโชต พร้อมกับยืนขึ้นจากเก้าอี้แล้วทำท่าต่อยลมให้ทุกคนดูอย่างแข็งขัน
〝แต่ฉันไม่ได้โกรธหมอนั่นจริงๆนะ〞
〝เอ๋!〞
〝เพราะเรื่องหลังจากนั้นสินะ...〞
〝อืม... ว่าแต่... นายแอบดูอยู่รึไงถึงรู้หน่ะ〞
〝ก็ไม่รู้สินะ〞
อลิซบอกความรู้สึกของตัวเองอีกครั้งหลังต่อยลมจบ แล้วกลับมานั่งเก้าอี้ เลยทำให้รินแปลกใจนิดหน่อย ชาญที่พูดเสริมราวกับรู้เหตุการณ์ทั้งหมด ก็ถูกอลิซตบมุขอีกจนได้
〝คือหลังจากนั้น... หมอนั่นมาขอขมาฉันอีกครั้งหน่ะ... ก็เลยได้ปรับความเข้าใจแล้วก็คุยกันดีๆ ได้อีกครั้ง... 〞
〝เหเห๋!——— เหวอ ทำไรฟ่ะ!!〞
〝เงียบน่า!!!〞
อลิซถูกโชตแซวอีกครั้ง ด้วยสีหน้ากวนบาทา อลิซเลยเตะไปที่ขาเก้าอี้จนโชตเกือบเสียหลัก ก่อนที่จะเล่าต่อ…
ตอนนั้นอลิซถามกรเป็นครั้งที่สองว่า〝นายไม่ได้รักฉันแล้วเหรอ?〞เหมือนกับครั้งที่ทั้งสองเลิกคบกัน แล้วกรก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและใบหน้าจริงจังแบบสุดๆว่า... 〝บนโลกนี้เหลือคนที่ฉันรักที่สุดอยู่แค่สี่คน นั่นก็คือพวกเธอ... ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ฉันก็รักพวกเธอที่สุดในโลกเลยหล่ะ...〞
อลิซเบิกตาโพลงที่ได้ยินคำตอบออกมาแบบนั้น... เธอเลยถามกลับไปอีกว่า〝ถ้างั้น... ทำไม... ถึงเลิกหล่ะ?〞 แล้วคำตอบที่ได้กลับมาก็คือ…
〝ฉันในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว.... พอได้คบกับเธอ มันยิ่งทำให้รู้สึกตัวว่า ตัวฉันรักพวกเธอมากขนาดไหน... เพราะงั้นแหล่ะ ฉันถึงให้อภัยตัวเองไม่ได้... ถ้ารักกันแล้วอยู่ด้วยกันได้มันก็คงจะดีหรอก... แต่ฉันในตอนนี้หน่ะ... ทำให้เธอมีความสุขไม่ได้หรอก... ตัวฉันในตอนนี้ทำให้พวกเธอมีความสุขไม่ได้... เพราะงั้น... ต่อให้รักพวกเธอมากขนาดไหน... แต่ก็... ทำแบบนั้นไม่ได้... ฉันยอมให้คนที่ฉันรักที่สุดในโลกมากุมมือของคนที่ว่างเปล่าและไร้อนาคตแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!!! 〞
.
.
.
〝เพราะงั้นเลยไม่โกรธหล่ะสินะ....〞
ชาญถามแบบนั้นออกมาเพื่อยืนยันความรู้สึกของอลิซที่ก้มหน้าลงเล็กน้อย
〝หมอนั่นพูดแบบนั้นออกมา... ใครมันจะไปโกรธลงกันเล่า! แถมยัง...〞
〝ฮั่นแน่! รักยิ่งกว่าเดิมอีกหล่ะสิ!——— อ๊อก!!!!〞
อลิซพูดออกมาด้วยเสียงที่ดูเก้อเขินและบิดตัวไปมาพร้อมกับหน้าแดงเล็กน้อย โชตที่พูดล้อเล่นออกมาอย่างไม่รู้กาลเทศะเลยถูกอลิซประเคนหมัดเข้าที่ท้องเพื่อแก้เขินอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนที่จะกลับมานั่งเก้าอี้เหมือนเดิม
〝กรเค้า... คิดถึงเรื่องของเราขนาดนั้นเลยสินะ...〞
〝ใช่เลยหล่ะ... คิดมากไปด้วยซ้ำ.... ทั้งๆที่ฉันหน่ะ... หวังแค่ได้อยู่ด้วยกันกับหมอนั่นเองแท้ๆ〞
รินถามย้ำอลิซที่ยังคงนั่งเหม่อเพราะหวนนึกถึงเวลาในตอนนั้นอีกครั้ง
〝ไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย... นายนั่นแหล่ะที่สุดยอดกว่าใคร ฉันที่มองตามแผ่นหลังของนายมาตลอดรู้เรื่องนี้ดีที่สุด!!!〞เธออยากจะตอบกรกลับไปว่าอย่างงั้น... แต่เพราะคิดว่าคำพูดของตัวเองคงสื่อไปไม่ถึง ด้วยระยะห่างที่กรบอก... ยิ่งรักก็ยิ่งทำให้กรเจ็บปวด เธอเลยเลือกที่จะไม่พูด แล้วเก็บความคิดแบบนั้นไว้คนเดียว
จากนั้นอลิซก็ปรับอารมณ์ตัวเองโดยการส่ายหน้าไปมาหลายๆครั้ง ก่อนที่จะเริ่มพูดกับรินอีกครั้งในเชิงท้าทายเพื่อนสนิทสาวที่เธอสนิทที่สุดคนนี้
〝เฮ้อ! แต่จะว่าไปแล้ว... ถึงจะรู้อยู่บ้างก็เถอะนะ... แต่พอรู้เข้าจริงๆก็อดร้อนใจไม่ได้เลยหล่ะนะ... ที่เธอกลายมาเป็นคู่แข่งหน่ะริน!〞
〝เอ๋!〞
รินตกตะลึงอีกครั้ง หลังจากที่ถูกท้าทางอ้อม เพราะสำหรับอลิซ รินเป็นเพื่อนสมัยเด็กของกรมานานที่สุด ทั้งยังเป็นผู้หญิง แถมยังน่ารักมากอีกก็เลยค่อนข้างหวั่นๆ
นั่นเลยทำให้รินพูดไม่ออกไปชั่วขณะและทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ ตอบกลับไปเพียงเท่านั้น แต่พอคิดว่าไม่อยากแพ้ขึ้นมาพริบตานึง ไฟในตัวของรินก็ลุกโชนทันที เธอจึงทำการโต้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่สมนิสัยขี้อายของตัวเอง
〝อะ อลิซเองก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ! ขี้โกงนี่นา... แอบคบกับกรไปก่อนแล้วหน่ะ!!!〞
〝โอ๊ะโอ๋! รินที่ขี้อายคนนั้นเถียงกลับด้วยแฮะ ความรักเนี่ยน่ากลัวจริงๆ〞
〝งือ! อลิซอ่ะขี้โกง!〞
รินที่ทำแก้มป่องอย่างน่ารัก กับอลิซที่ยิ้มออกมาอย่างร่าเริงหันหน้าเข้าหากัน แล้วก็ทำการต่อล้อต่อเถียงกัน ด้วยน้ำเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริงด้วยความสนิทสนม
〝ริน... ฉันหน่ะไม่คิดจะยอมแพ้เรื่องกรซักนิด... ก็ชอบไปแล้วนี่นา... ยังไงก็ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด〞
〝อลิซ...〞
〝แต่ว่า... เรื่องตอนนั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว... เรื่องที่ฉันคบกับหมอนั่นก็เหมือนถูกรีเซ็ทนั่นแหล่ะ... เพราะงั้นก็...〞
〝!!!!!〞
อลิซยื่นมือข้างขวาออกมาข้างๆรินที่นอนอยู่บนเตียงอย่างกะทันหันอีกครั้ง เลยทำให้รินตะลึงเป็นครั้งที่สามแสนแปดของวัน
〝เริ่มจากหนึ่งด้วยกันใหม่... มาแข่งกันอย่างยุติธรรมดีกว่านะริน...〞
〝อลิซ.......... อื้ม! เข้าใจแล้ว มาแข่งกันอย่างยุติธรรม...〞
หมับ!
รินยื่นมาขวาของตัวเองไปจับมือขวาของรินทันที เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพลูกผู้หญิง ในสงครามความรักที่มีเป้าหมายเป็นชายคนเดียวกัน
〝แต่ฉันหน่ะไม่ออมมือหรอกนะริน... เตรียมใจไว้ได้เลย〞
〝ฉะ ฉันก็ด้วย!!! ฉันเองก็ไม่ออมมือเหมือนกัน〞
〝ร่าเริงกันจริงน้าทั้งสองคน〞
〝เอาเถอะๆ ดูท่าตอนที่หัวหน้าเรากลับมา... คงต้องป่วนกันอีกแหงแซะเลย〞
ทั้งสี่คนผ่อนคลายลงทีนที หลังการเชื่อมสัมพันธ์และประกาศตัวเป็นคู่แข่งความรักจบลง หลังจากหยอกล้อกันด้วยคำพูด ทั้งสี่คนก็หัวเราะออกมาพร้อมกันด้วยเสียงดังลั่น เสียจนข้างนอกหนวกหูเลยทีเดียว....
ช่วงหลังมานี้... หลังจากที่เหล่าภรรยาของฉันได้รู้ทุกอย่างและยอมรับสิ่งที่ฉันเป็นหรือเจอมา จำนวนครั้งที่ฝันร้ายก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดใช่ มันไม่ได้หายไปหรอก... ฉันรู้ตัวดี และสัมผัสได้ก็เพราะความกังวลยังมีอยู่นั่นแหละนะแต่ก็ต้องขอบคุณความอ่อนโยนของทุกคน มันถึงไม่ได้เลวร้ายเหมือนเมื่อก่อนเพราะมีพวกเธออยู่เคียงข้าง ฉันเลยไม่ได้กลัวจนสติแตกเหมือนเมื่อก่อนแล้วใช่... ต่อให้ฝันร้ายถึง ‘เรื่องในอดีต’ ฉันก็ไม่ได้กลัวหรือว่าเศร้าอีกแล้วเพราะงั้น... ความรู้สึกปั่นป่วนในอกนี่ จึงใกล้เคียงกับความกังวลมากกว่า กรรู้สึกชื่นชมความใจเย็นของตัวเอง มั่นใจว่าอย่างน้อยมันก็ดีขึ้นกว่าก่อนแน่ ไม่อย่างนั้น... ภาพของชายหาดที่เต็มไปด้วยซากศพรอบกายของเขา คงทำเอารู้สึกผิดจนทรมานตัวสั่นไปแล้วเป็นฝันร้ายที่ไร้รสนิยมซะจริง กรรู้สึกขนลุกจนหน้าเหยเกแม้จะรู้ว่าทั้งหมดเป็นแค่ความคิด ด้วย ‘สุดยอดการประมวลผล’ มันไม่ยากอยู่แล้วที่จะรู้ตัวขณะหลับ ...มันสุดยอดจนถึงกับรู้ด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นสาเหตุของการฝัน ชายหาดนี้ไม่ใช่ที่ที่กรรู้จัก แต่จำนวนศพที่มากขนาดนี้ เดาได้เลยว
————สามวันต่อมา, ทวีปอีเดน - ใจกลางเมืองหลวงแอสการ์ด ใจกลางทวีปอีเดนนั้น ปกติแล้วคือสวนอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับเหล่าเทพผู้ปกครอง ซึ่งมีไว้ใช้เพื่อกำหนดทิศทางของสรวงสวรรค์หรือหมายรวมถึงโลกมนุษย์เบื้องล่าง ถนนสายหลักของตระกูลทั้งเจ็ดล้วนแล้วแต่เข้ามาบรรจบ ณ ที่สวนพฤกษานี้ เมื่อไรก็ตามที่มีหัวหน้าตระกูลมาเยือน ทางเข้าของสวนจากถนนเส้นนั้นจะมีมือขวาข้ารับใช้เฝ้าถนนเส้นนั้นไว้เป็นปกติ ...ทว่าในวันนี้กลับแตกต่างเป็นพิเศษ เพราะจำนวนข้ารับใช้ของทั้งหกตระกูลที่มานั้นมีจำนวนกว่าร้อยคน แถมทางเข้าสวนจากถนนแต่ละเส้นยังติดธงประดับตราประจำตระกูลอีก ซ้ำร้าย... ธงที่ว่ายังเป็นลักษณะเดียวกับที่ใช้ในสงคราม มันเคยถูกใช้ทั้งกับจอมมารในอดีตกาลหรือกับราชาปีศาจในปัจจุบัน นั่นแลคือสัญญาณบ่งบอกความรุนแรงของสถานการณ์ในตอนนี้ โดยเฉพาะใจกลางสวนพฤกษา ที่ตั้งของโต๊ะกลมทำจากหินอ่อนซึ่งเป็นสถานที่ประชุมของเหล่าหัวหน้าตระกูลยกเว้นกาบริเอล สีหน้าทุกคนนั้นอยู่ไม่สุข ทั้งกังวลและโกรธเกรี้ยวบ้าง สับสนบ้าง ...และสาเหตุของเรื่องนั้น ก็คือกระดาษแผ่นน
หลังจากที่อัพเดทข้อมูลกับเหล่าสหายภาคีโต๊ะจัตุรัส กรก็ต้องกลับไปแต่งชุดเพื่อเข้าพิธีรับมอบรางวัลต่อ เพราะตัวเอกของงานคือพวกกรทั้ง 4 ฝ่าย และมีเหล่าราชาจากอาณาจักรในสังกัดสภาโลกเป็นผู้มอบรางวัล นั่นหมายความว่าเหล่าภรรยาของกรที่เป็นกำลังหลักในการปราบอาร์เคมีดีสก็ต้องร่วมงานรับรางวัลด้วย ไม่สิ... ‘ดาร์คไนท์ซิริอุส’ ที่เป็นกำลังหลักนี่แหละคือตัวเอกหลักของงาน ไม่ร่วมเห็นทีคงจะไม่ได้เพราะงั้นพวกเราก็เลยได้ห้อง VIP ไว้แต่งตัว ต้องขอบคุณแอนดรูว์เลยแหละแล้วระหว่างที่รอสาว ๆ เขาแต่งองค์ทรงเครื่องกัน ฉันก็ไปอัพเดทข้อมูลรอถึงจริง ๆ จะอยู่ในห้องตอนสาว ๆ แต่งตัวได้แบบไม่เป็นไรก็เถอะ (ก็เห็นกันทุกซอกทุกมุมแล้วนี่นา)แต่ในแง่ของความรู้สึก... ขืนจ้องของสวย ๆ งาม ๆ ขนาดนั้นนานเข้า พูดตามตรงว่ามันจะของขึ้นจนไม่เป็นอันทำงานเอาน่ะสิฉันก็รู้นิสัยตัวเองดีอ่ะนะ เลยขอป้องกันไว้ก่อนดีกว่า กรอมยิ้มแห้งกับขีดจำกัดของตัวเองเหมือนทำใจ ก่อนเปิดประตูเข้าไปในห้องที่เขากับสาว ๆ เช่าพัก“อ๊ะ! กรกลับมาแล้ว!”“เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหมกร?” มีอากับรินเดินเข้ามารับกรก่อนใคร
หลังจากที่เมอร์ลินบอกว่าเครื่องเคลื่อนย้ายออกแบบเสร็จแล้ว พวกเราก็ทำตัวเอื่อยเฉื่อยกันอีกแปปนึงก่อนจะกลับบ้านพวกเราแจ้งข่าวเรื่องนี้กับทุกคน โดยเฉพาะรินกับอลิซพวกเธอดีใจเข้ามากอดแล้วก็ร้องไห้โฮใหญ่เลยแต่ก็ช่วยไม่ได้หรอก ก็จากบ้านมากตั้ง 5 เดือนแล้วนี่นาไหนจะทั้งคุณลุง คุณน้าที่รออยู่ที่บ้าน... ชีวิตประจำวันที่ผ่านมาตลอด 17 ปีมันทดแทน 5 เดือนไม่ได้หรอก (ถ้าไม่นับเรื่องที่ได้คบกันล่ะนะ)เพราะงั้นจะอยากกลับไปก็คงไม่แปลกเราเองก็เถอะ... ถึงกลับบ้านไปจะไม่มีใครอยู่แล้ว แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยความทรงจำที่ทำให้เราเป็นอย่างทุกวันนี้เป็นสถานที่ให้กำเนิดความฝันของเรา ...และเราก็ไม่ได้รังเกียจมันอีกแล้วด้วยเพราะงั้นเราจะกลับไปให้ได้! เครื่องมือมีพร้อมหมดแล้วที่เหลือก็มีแต่การจัดแจงสถานการณ์ ให้กลับไปได้โดยที่โลกเดิมไม่มีปัญหา...แต่เรื่องนั้นแหละที่ยากที่สุด❖❖❖❖❖————สองวันต่อมา, โรงแรมเดอะกลอรี่ ณ สหพันธ์แห่งความรุ่งโรจน์ หลังจากวันหยุดของกรและครอบครัวสิ้นสุด แผนการขั้นถัดไปของภาคีโต๊ะจัตุรัสก็เสร็จสมบูรณ์ด้วย ...และก็เป็นการเริ่มแผนด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนั้น ก
“โดนแกล้งอีกแล้วอ่า!”“น่า ๆ ไม่เป็นไรนะกร”“แล้วจะโทษใครได้ล่ะหืม?” ได้ยินแฟนหนุ่มเดินบ่นกลางป่า มีอากับเมอร์ลินจึงได้ลูบหัวปลอบใจไปคนละกรุบ ...ถึงต้นเหตุจะเป็นเพราะพวกเธออยู่แล้วก็เถอะว่าแต่ นี่เดจาวูป่ะเนี่ย?ไหงรู้สึกเหมือนเรื่องคล้าย ๆ กันเพิ่งเกิดขึ้นเลย“!!!?” ระหว่างที่คิดอะไรไร้สาระอยู่ มีอากับเมอร์ลินก็เข้ามาควงแขนกรเหมือนกับตอนที่มาถึง กรเลยคิดว่า ‘โอเค ช่างมันละกัน’ แล้วหันไปสนใจกับการเที่ยวลมชมวิวกับภรรยาทั้งสองดีกว่า จากก่อนหน้านี้... หลังจากพักผ่อนในตึกกลางสำหรับติดต่อ พวกกรก็ออกเดินเท้าไปตามทางที่ทำไว้ เห็นว่าหากเดินตามทางนี้จะสามารถชมวิวได้ครบทุกแห่งและวนไปยังกระท่อมที่จองไว้ได้พอดี“กรดูสิ! มีแม่น้ำด้วย!”“ตื้นพอให้ลงไปเล่นได้ด้วยแฮะ” มีอากับเมอร์ลินดูจะสนใจแม่น้ำทางขวาที่ทั้งสามกำลังเดินเลียบผ่าน ความใสของมันทำให้เห็นดินและกรวดก้นแม่น้ำได้ แถมความสูงของมันยังแค่ครึ่งแข้งเอง เรียกว่าเหมาะกับการเล่นสุด ๆ มีอากับเมอร์ลินจึงไม่รอช้า พวกเธอถอดรองเท้าแล้วจูงมือกรลงไปในแม่น้ำ“ไปกันเถอะกร! น่า
หลังจากถ่ายรูปกันอย่างหวานแหวว เวลาก็ยังเหลืออีกนิดหน่อย พวกเราเลยจะไปเดินเล่นกันต่อ...และแน่นอน คุณรินกับอลิซก็ยังคงตามแกล้งฉันเหมือนเดิมช่างใจร้ายเหลือร้าย ตั้งแต่ในโรงหนังแล้วนะ!มาปลุกเร้ากันขนาดนี้ในสถานการณ์ที่ทำได้แค่อดทน นี่มันการทรมานประเภทไหนกันเนี่ย!?เหมือนเอาเนื้อสเต็ก A5 มาจ่อลิ้นแต่ไม่ยอมให้กินเลยนะเฮ้ย!จะทั้งชาลอตกับซาช่าที่ขยันเซอร์วิสให้ตอนช่วงเช้า หรือรินกับอลิซที่มาแกล้งกันทั้งช่วงบ่ายฉันเลยต้องกัดฟันทนน้ำตาไหลเป็นโลหิตไปจนถึงตอนกลางคืนโน่นเลย!พอถึงเวลาหม่ำ ๆ ฉันก็เลยล้างแค้นด้วยการกินพวกเธอเกือบทั้งคืนจนแทบไม่ได้หลับได้นอนทำกันยังกับเป็นกระต่ายเลยเชียวล่ะ!...ก็ พอมานึกดู ฉันอาจจะหนักมือไปหน่อยแต่พวกเธอมาแกล้งฉันก่อนนี่หว่า! จะโดนเอาคืนมันก็ไม่แปลกนี่นา!!!เหมือนที่เคยมีใครบางคนพูดไว้นั่นแหละ‘ผู้ที่จะเขมือบได้ก็มีแต่คนที่เตรียมใจจะโดนเขมือบเท่านั้น’ อื้ม ๆ! กรตื่นเช้ามาก็พยายามหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองใหญ่ทั้งที่ไม่จำเป็น แต่ก็ต้องขอบคุณศึกอันหนักหน่วงเมื่อวานด้วย ความงุ่นง่านในตัวกรเลยลดลงไปมากจนระบบความคิดปกติเริ่มกลับมาทำงาน เขา