Masukเสี่ยวชุนสูดน้ำมูก นั่งตัวตรงขึ้นเล็กน้อย พยายามเรียบเรียงความทรงจำที่เจ็บปวดอย่างสุดความสามารถ ดวงตาของนางมองพื้นไม่กล้าสบสายตาที่เฉียบคมเกินวัยของคุณหนูที่ดูคล้ายไม่เหมือนคนเดิม
"เรื่องมันเริ่มขึ้น...หลังจากที่เหมยลี่ฮูหยินได้รับแต่งตั้งเป็นฮูหยินเอกเจ้าค่ะ" นางเริ่มเล่าเสียงสั่น "ทุกอย่างในจวนก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป คนเก่าแก่ของฮูหยินใหญ่ทุกคนได้ถูกย้ายไปทำงานส่วนนอก ไม่ก็ถูกหาเรื่องจับผิดจนต้องลาออกไปเอง..."
"แล้วเรื่องที่ข้าถูกส่งมาที่นี่ล่ะ? เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร?"จื่อเหยาถามแทรกขึ้น แม้น้ำเสียงของนางจะเรียบเฉยแต่ก็แฝงความกดดันอยู่ในที
เสี่ยวชุนสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะตอบตะกุกตะกักด้วยความสับสนว่าเหตุใดคุณหนูของตนจึงจำไม่ได้...กระนั้นด้วยความที่เคยถูกอบรมมาว่านายถามอะไรก็ต้องตอบ...นางจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้
"คะ...คือว่า...เมื่อครึ่งเดือนก่อน เป็นวันเกิดของคุณหนูรองเจี้ยนซู่ ในงานเลี้ยง...คุณหนู...เอ่อ...คุณหนูมีปากเสียงกับคุณหนูรองเรื่องปิ่นหยกที่ฮูหยินใหญ่เคยให้ท่านไว้ ละ...แล้วคุณหนูรองก็พลัดตกสระบัวเจ้าค่ะ!"
(พลัดตกสระบัว? คลาสสิกเกินไปหน่อยมั้ง) จื่อเหยาคิดในใจ
"บ่าวรับใช้ทุกคนของฮูหยินเหมยลี่ต่างชี้ตัวว่าเห็นคุณหนูผลักคุณหนูรองตกน้ำ" เสี่ยวชุนรีบแก้ตัวแทน "แต่บ่าวเห็นกับตา! คุณหนูไม่ได้ผลัก! คุณหนูแค่ปัดมือที่คุณหนูรองจะมาแย่งปิ่นไปเท่านั้น แต่นางกลับเซถลาล้มลงไปเองเจ้าค่ะ! เหมือนจงใจ!"
"แล้วน้องรองเป็นอะไรมากหรือไม่?" จื่อเหยาถามต่อ จุดนี้สำคัญที่สุดในการวิเคราะห์
"นางแค่สำลักน้ำเล็กน้อยกับมีรอยถลอกที่แขนเจ้าค่ะ แต่ฮูหยินเหมยลี่กลับร้องห่มร้องไห้ราวกับลูกสาวจะสิ้นใจ กล่าวหาว่าคุณหนูมีจิตใจโหดเหี้ยม คิดจะฆ่าน้องสาวต่างมารดา"
(บาดแผลไม่สมเหตุสมผลกับข้อกล่าวหา...เป็นการจัดฉากอย่างชัดเจน) จื่อเหยาคิดอย่างสรุป
"แล้วหลังจากนั้นล่ะ?" วิญญาณของนิติเวชสาวในร่างของเด็กหญิงยังคงถามต่อไป
"หลังจากนั้น...คุณหนูก็เอาแต่กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้องเจ้าค่ะ" น้ำเสียงของเสี่ยวชุนอ่อยลง "ท่านเอาแต่ปฏิเสธอย่างเดียว...แต่ไม่มีใครฟังท่านเลย ยิ่งท่านโกรธเกรี้ยวมากเท่าไร...ท่านโหวก็ยิ่งมีสีหน้าผิดหวังและรำคาญใจมากขึ้นเท่านั้น...สุดท้าย ท่านโหวจึงมีคำสั่งให้ส่งตัวคุณหนูมาดัดนิสัยที่เรือนเมฆาคล้อยแห่งนี้ โดยอ้างว่าทนพฤติกรรมก้าวร้าวของท่านไม่ไหวอีกต่อไป..."
คำพูดของเสี่ยวชุนยืนยันข้อสันนิษฐานของจื่อเหยาทั้งหมด พิษเรื้อรังที่เธอได้รับไม่ได้ฆ่าเธอทันที แต่มันทำลายสติสัมปชัญญะ ทำให้ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ และเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นตัวร้ายในสายตาของทุกคนได้อย่างสมบูรณ์...ช่างเป็นแผนการที่เลือดเย็นและแยบยลนัก
"แล้วพี่ใหญ่เล่า? เขาไม่คิดช่วยข้าเลยหรือ?"
เสี่ยวชุนส่ายหน้าอย่างน่าสงสาร "คุณชายใหญ่พยายามแล้วเจ้าค่ะ! ท่านคุกเข่าขอร้องท่านโหวอยู่ครึ่งวัน บอกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรเข้าใจผิด แต่ท่านโหวกลับโกรธจัด ตวาดว่าคุณชายใหญ่เข้าข้างน้องสาวจนไม่ลืมหูลืมตา พอรุ่งขึ้นอีกวัน...ก็มีคำสั่งให้คุณชายใหญ่ไปถือศีลอยู่ที่วัดทันที อีกทั้งยังจะต้องกินนอนอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มเจ้าค่ะ...เหมือน...เหมือนจงใจแยกคุณชายใหญ่ออกไปจากคุณหนู"
(ตัดกำลังสนับสนุน... หมากตัวต่อไปคือคนใกล้ชิด) จื่อเหยายังคงวิเคราะห์ต่อ
"แล้วแม่นมลู่ล่ะ?" นางถามถึงคนสุดท้ายที่พอจะนึกออก
"แม่นมลู่...หลังจากที่คุณชายใหญ่ไปแล้ว แม่นมก็พยายามเข้าไปขอความเมตตาจากท่านโหว แต่กลับถูกฮูหยินเหมยลี่กล่าวหาว่าอบรมสั่งสอนคุณหนูได้ไม่ดี เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ท่านโหวจึงสั่งลงโทษให้ย้ายแม่นมไปทำงานอยู่ที่โรงซักล้างเจ้าค่ะ"
สิ้นคำพูดของเสี่ยวชุน จื่อเหยาก็นิ่งเงียบไป นางหลับตาลง ภาพของกระดานหมากล้อมปรากฏขึ้นในหัว หมากสีขาวที่เคยเป็นของนางและแม่แท้ ๆ ถูกหมากสีดำของเหมยลี่ไล่ต้อนและจับกินไปทีละตัว...จนหมดสิ้น ทั้งพี่ชาย แม่นม และตัวนางเอง...ไม่มีใครรอดพ้น
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องชิงดีชิงเด่นในเรือนหลังธรรมดา แต่มันคือการวางแผนโค่นล้มอย่างเป็นระบบ ก่อนที่นางจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความเวทนาต่อชะตากรรมของหรงจื่อเหยาคนเดิมแปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นอันเย็นเยียบ
"เสี่ยวชุน"
"เจ้าคะ?"
จื่อเหยาหยิบซองผงสีขาวที่ได้จากระบบออกมาจากแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง "นี่คือ ยาบำรุงที่ท่านแม่เคยให้ข้าเก็บไว้ก่อนสิ้นใจ..." นางโกหกหน้าตายแม้จะรู้ดีว่ามันดูไม่สมเหตุสมผลนักก็ตาม
"ต่อไปนี้ ไม่ว่าเจ้าจะเอาน้ำหรืออาหารอะไรมาให้ข้า...ให้แอบผสมผงนี่ลงไปครั้งละหนึ่งช้อน อย่าให้ใครเห็นเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?"
เสี่ยวชุนมองซองยาในมือคุณหนูด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นของฮูหยินใหญ่ผู้ล่วงลับ นางก็พยักหน้ารับคำด้วยสีหน้าจริงจัง
"เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวจะทำตามที่ท่านสั่งทุกอย่าง!"
"ดี" จื่อเหยาพยักหน้าอย่างพอใจ "ตอนนี้...เป้าหมายแรกของเราคือต้องรอดชีวิตและแข็งแรงขึ้นในที่แห่งนี้ให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องการเอาคืน..." นางเว้นจังหวะ ดวงตาฉายแววฉลาดล้ำลึก
"เราจะไม่รอโอกาส แต่จะสร้างโอกาสขึ้นมาเอง"
เสี่ยวชุนมองใบหน้าของคุณหนูที่ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความหวาดกลัวก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้
"สร้างโอกาส...หรือเจ้าคะ?" นางเอ่ยถามเสียงเบา "แต่...แต่เราจะทำเช่นไรได้ ในเมื่อเราถูกขังอยู่ในเรือนแห่งนี้ คนของ ฮูหยินเหมยลี่ก็จับตาดูเราทุกฝีก้าว..."
จื่อเหยามองความกังวลในแววตาของสาวใช้แล้วคลี่ยิ้มบางออกมาเป็นครั้งแรก รอยยิ้มนั้นไม่ได้สดใสเหมือนเด็กสาววัยเดียวกัน แต่กลับแฝงความนิ่งอย่างลึกซึ้งและความมั่นใจอย่างประหลาด
"เจ้าพูดถูก เราทำอะไรผลีผลามไม่ได้" จื่อเหยาตอบรับ "การกรีดร้องโวยวายหรือพยายามหนี มีแต่จะทำให้ข้อกล่าวหาของเหมยลี่ฮูหยินดูเป็นจริง และทำให้ท่านพ่อรังเกียจข้ามากขึ้นไปอีก...ซึ่งนั่นคือสิ่งที่นางต้องการ"
จื่อเหยาเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อสังเกตเสี่ยวชุน และเมื่อเห็นว่าบ่าวตัวน้อยกำลังตั้งใจฟังอย่างจดจ่อนางจึงได้พูดต่อ
"เจ้าลองคิดดูนะเสี่ยวชุน สิ่งที่ทำให้ท่านพ่อตัดสินใจส่งข้ามาที่นี่คืออะไร?"
"ก็...ก็เพราะคุณหนู...เอ่อ...อาละวาด แล้วก็ถูกกล่าวหาว่าทำร้ายคุณหนูรองเจ้าค่ะ"
"ถูกต้อง" จื่อเหยาพยักหน้า "ท่านพ่อมองว่าข้าคือปัญหาคือภาระที่สร้างความวุ่นวาย ดังนั้น...หนทางเดียวที่จะทำให้ท่านพ่อเปลี่ยนใจ ไม่ใช่การอ้อนวอน แต่คือการพิสูจน์ให้ท่านเห็นว่าข้าไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป...แต่เป็นทางแก้ปัญหาต่างหาก"
เสี่ยวชุนขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ "ทางแก้ปัญหา...หรือเจ้าคะ?"
"ใช่" จื่อเหยากล่าวเสียงหนัก "เราต้องทำให้ท่านพ่อเห็นว่าข้ามีประโยชน์ เกินกว่าจะถูกทิ้งให้เน่าตายอยู่ที่นี่"
(ในเมื่อข้ากลับไปในฐานะลูกสาวที่น่ารักไม่ได้...ข้าก็จะกลับไปในฐานะอาวุธที่ทรงคุณค่าก็แล้วกัน) นั่นคือสิ่งที่นางคิด ในใจ
"แล้ว...แล้วเราจะทำอย่างไรเจ้าคะ?" ความสับสนในใจเสี่ยวชุนยิ่งเพิ่มทวีคูณ
"ง่ายมาก" จื่อเหยาตอบ ดวงตาเป็นประกาย "ต่อจากนี้ไป เจ้าต้องเป็นหูเป็นตาให้ข้า"
จื่อเหยาขยับตัวพิงผนังให้ถนัดขึ้น ก่อนจะอธิบายแผนการขั้นแรก "หน้าที่ของเจ้าคือ ไปฟัง...ฟังทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือนเมฆาคล้อยแห่งนี้ และถ้าเป็นไปได้ ให้หาทางคุยกับบ่าวไพร่คนอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งชาวบ้านในหมู่บ้านเมฆาคล้อยด้วย"
"ให้บ่าวไปฟังเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?"
"ทุกเรื่อง" จื่อเหยาเน้น "เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ใครทะเลาะกับใคร ของใครหาย วัวใครป่วย สัตว์เลี้ยงใครตาย...ไปจนถึงเรื่องใหญ่ ๆ อย่างการทะเลาะวิวาททุกอย่าง รวมถึงการตายที่น่าสงสัย หรือเรื่องทุกข์ร้อนใด ๆ ก็ตามที่ทางการหรือผู้ใหญ่บ้านยังจัดการไม่ได้"
เสี่ยวชุนเบิกตากว้าง "คุณหนูจะสนใจเรื่องพวกนั้นไปทำไมกันเจ้าคะ?"
"เพราะในทุก ๆ ปัญหา...มักมีความจริงที่ถูกซ่อนอยู่เสมอ" จื่อเหยาตอบด้วยน้ำเสียงมีความหมาย "และไม่มีอะไรจะมีค่าไปกว่าการเปิดโปงความจริงนั้น...จงจำไว้เสี่ยวชุน คนที่กุมความลับและไขปริศนาได้ คือคนที่มีอำนาจต่อรอง"
แม้เสี่ยวชุนจะไม่เข้าใจแผนการทั้งหมดอย่างถ่องแท้ แต่นางสัมผัสได้ถึงความเฉียบแหลมและความมุ่งมั่นที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจากคุณหนูของตน
ซึ่งนี่ไม่ใช่คุณหนูหรงจื่อเหยาคนเดิมที่เอาแต่อารมณ์ร้อนคนนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่นี่คือผู้นำที่เยือกเย็นและมีแผนการอยู่ ในใจ ความหวังริบหรี่เริ่มฉายชัดขึ้นมาในใจของนาง
"บ่าว...บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ! บ่าวจะทำตามที่คุณหนูสั่งทุกอย่าง!"
"ดีมาก" จื่อเหยาพยักหน้าอย่างอ่อนแรง ทั้งนี้เนื่องจากการพูดคุยที่ยาวนานเริ่มส่งผลต่อร่างกายที่อ่อนแอของนางแล้ว "ตอนนี้ข้าต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย เจ้าเองก็ไปหาอะไรกินเสียเถอะ แล้วหาทางเอายาบำรุงนี่ผสมน้ำอุ่นมาให้ข้าอีกครั้งตอนมื้อเย็น...จำไว้ว่าต้องแนบเนียนอย่างที่สุด"
"เจ้าค่ะคุณหนู!"
เสี่ยวชุนรับคำสั่งอย่างกระตือรือร้น นางค่อย ๆ ถอยออกจากห้องไป ปล่อยให้จื่อเหยาได้พักผ่อนตามลำพัง
จื่อเหยาหลับตาลง เสียงของระบบยังคงเงียบอยู่ แต่ในหัวของเธอนั้น แผนการขั้นต่อไปได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว...
(หาคดี...ไขคดี...สร้างชื่อเสียง...และรอ...รอวันที่ชื่อเสียงของคุณหนูนักสืบแห่งเรือนเมฆาคล้อยจะดังไปถึงหูของเสนาบดีกรมคลัง...หรงจิ้นเหวิน...ผู้เป็นบิดาของเจ้าของร่างเดิม)
หลายเดือนผ่านไปนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ที่เมืองเหยียนสุ่ย...ผ่านพ้น ในตอนนี้ฤดูร้อนที่ร้อนระอุได้ผ่านไปนานแล้วและถูกแทนที่ด้วยสายลมเย็นสบายแห่งต้นฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้รอบเรือนเมฆาคล้อยเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวชอุ่มเป็นสีเหลืองทองอร่าม บรรยากาศที่เคยเต็มไปด้วยความตึงเครียด บัดนี้กลับสงบสุขและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา จื่อเหยาได้ใช้ช่วงเวลาหลายเดือนนี้ในการฟื้นฟูร่างกายและสร้างฐานอำนาจเล็ก ๆ ของนางขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ โดยอาศัยชื่อเสียงของคุณชายหลี่เหยาที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นตำนานที่เล่าขานกันไปทั่วทั้งอำเภอ แต่กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาเลยแม้แต่คนเดียว บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่จื่อเหยากำลังนั่งอ่านตำราแพทย์ที่พ่อบ้านสวีอุตส่าห์ไปหามาให้อย่างใจเย็น โดยมีเหลิ่งเยว่ยืนเฝ้าอารักขาอยู่ไม่ห่างนั้นเองที่ตัวตนของนางถูกจื่อเหยารู้แล้วจากอาการบาดเจ็บในครั้งก่อน...เสียงฝีเท้าที่รีบร้อนของพ่อบ้านสวีก็ดังขึ้นจากทางเดินหน้าห้องพัก&nb
เหลิ่งเยว่เตรียมจะรับคำ ทว่าได้มีเสียงของเสี่ยวชุนดังแทรกขึ้นมาอย่างสั่นกลัว "คะ...คุณหนูเราต้องฆ่าพวกเขาเลยหรือเจ้าคะ" คำถามที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและหวาดกลัวของเสี่ยวชุน ทำให้หรงจื่อเหยาที่กำลังจะออกคำสั่งต่อไปถึงกับชะงักงันพร้อมกับคิดว่าโชคดีที่นางได้ให้นางจางกับอาเฉียงหลอกล่อเสี่ยวเฉินออกไป ก่อนที่นางจะหันไปมองบ่าวรับใช้คนสนิทที่อยู่กับนางมาตั้งแต่ต้น...ใบหน้าของเสี่ยวชุนซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำใส ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม...ที่ไม่ใช่เกิดจากการแสดงอีกต่อไปแล้ว จื่อเหยารู้สึกราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจของตน...นางเกือบลืมไปแล้ว...ว่าเด็กสาวตรงหน้า...ก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น นางเดินเข้าไปหาเสี่ยวชุนช้า ๆ แววตาที่เคยเย็นเยียบพลันอ่อนแสงลงเล็กน้อย "
ช่วงเย็นจนถึงช่วงหัวค่ำภายในโรงเตี๊ยมจิ่นซิ่วของเมืองอันคังผ่านไปอย่างเงียบสงัด...แต่สำหรับหรงจื่อเหยาแล้ว นางรู้ดีว่านี่เป็นเพียงความเงียบที่ซ่อนเร้นไว้ซึ่งกระแสคลื่นใต้น้ำอันรุนแรง ทั้งนี้เป็นเพราะนางรู้เรื่องแผนการบางอย่างมาจากสายลับพิเศษนั่นเอง หากจะเป็นเรื่องอันใดนั้น คงต้องย้อนกลับไปก่อนหน้าในตอนที่นางสั่งให้วิญญาณของนางจางไปตามติดอยู่กับจ้าวมามา 'นายหญิงเจ้าคะ...' เสียงกระซิบที่เย็นเยียบของวิญญาณป้าจางดังขึ้นในหัวของนางตั้งแต่ตอนที่ขบวนรถม้าเพิ่งผ่านเข้าประตูเมืองอันคังมาได้ไม่นานนัก 'เมื่อครู่...ข้าน้อยได้ยินนางพูดคุยกับบ่าวรับใช้ที่ชื่อเสี่ยวถัง...นางกำชับนังเด็กนั่นว่าเมื่อไปถึงเมืองอันคัง ให้รีบไปติดต่อญาติห่าง ๆ ของนางที่ชื่อจิ่วกุ่ยหวัง ฉายาหวังขี้เมา...ดูเหมือนว่าพวกมันจะวางแผนใช้ชายผู้นี้ให้มาสร้างเรื่องอื้อฉาวเพื่อทำลายชื่อเสียงของนายหญิงในคืนนี้เจ้าค่ะ!'
เมื่อขึ้นมานั่งภายในรถม้า...จื่อเหยาก็รู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของนางได้กลับคืนมาอีกครั้ง นางจึงเอนกายพิงผนังรถม้าอย่างสบายใจ...ส่วนแววตาที่แสร้งทำเป็นเลื่อนลอยนั้นมาบัดนี้กลับทอประกายแห่งความเย็นชาและมุ่งมั่นมากขึ้นกว่าเดิม (ได้เวลาทวงคืนทุกสิ่งที่เป็นของเจ้าของร่างนี้...พร้อมกับดอกเบี้ยแล้ว...เหมยลี่) ทันใดนั้นเอง...นางก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในรถม้า...ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นวิญญาณของนางจาง อาเฉียง และเสี่ยวเฉิน ที่ลอยเข้ามานั่งอย่างเบียดเสียดอยู่ตรงข้ามกับนางด้วยท่าทีตื่นเต้น 'นายหญิง/พี่สาว...ท่านจะให้พวกเราติดตามกลับไปเมืองหลวงด้วยจริง ๆ หรือขอรับ/เจ้าคะ?' เสียงของทั้งสามดังขึ้นพร้อมกันในหัวของจื่อเหยา แววตาโปร่งแสงของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างปิดไม่มิด จื่อเ
"พวกเจ้ารีบไป!" จ้าวมามาหันไปสั่งบ่าวรับใช้หญิงสองคนที่ติดตามมาด้วย "ช่วยกันจับตัวคุณหนูใหญ่ไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย! เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ข้าเตรียมมาให้เรียบร้อย! เราจะให้ท่านเจ้ากรมหลี่เห็นหลานสาวสุดที่รักในสภาพเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด!" บ่าวรับใช้หญิงร่างกำยำสองคนรับคำแล้วเดินตรงเข้ามาหาจื่อเหยาทันที แต่ยังไม่ทันที่มือหยาบกร้านของพวกนางจะได้แตะต้องตัวของจื่อเหยา! เสียงกรีดร้องอย่างแหลมหูของเด็กสาวที่นั่งขดอยู่เป็นก้อนกลมพลันส่งเสียงออกมา...พร้อมกันนั้นนางก็ได้ดีดตัวลุกขึ้นราวกับกระต่ายตื่นตูม! นางถอยกรูดไปจนชิดมุมห้อง แววตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและบ้าคลั่งอย่างสมจริง! ไม่เพียงแค่นั้น นางยังคว้าแจกันดินเผาที่ร้าวบิ่นใบหนึ่งขึ้นมาถือไว้ในมือเพื่อเป็นอาวุธอีกด้วย ซึ่งท่าทางของนางในยามนี้ทำให้จ้าวมามาถึงตกตะลึง&
เมื่อนางกลับมานั่งลงที่มุมเดิม เจ้าตัวก็รีบหักขนมเปี๊ยะชิ้นโตส่งให้วิญญาณของเสี่ยวเฉินที่กำลังลอยอยู่ไม่ห่างด้วยแววตาที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ 'เอาไปสิ' 'ขอบพระคุณพี่สาว!' เสี่ยวเฉินรับของเซ่นไหว้นั้นมาด้วยความดีใจเช่นเดิม จากนั้นเขาก็รีบกินมันเข้าไปด้วยความเอร็ดอร่อยทันที เมื่อเห็นท่าทางของเด็กชายเช่นนี้จื่อเหยาก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ แล้วในระหว่างนี้นางก็ได้อาศัยการตรวจสอบเรื่องกับดักซ้ำกับระบบอีกครั้งแม้ว่านางจะไว้ใจต่อคำรายงานของเสี่ยวเฉินก็ตาม...ถึงกระนั้นนางคิดว่าอย่างไรเสียก็ไม่ควรจะประมาท [ระบบ ช่วยตรวจสอบเส้นทางในอุโมงค์ให้ที ว่าปลอดภัยตามคำรายงานของเสี่ยวเฉินหรือไม่] ติ๊ง!&n







