เข้าสู่ระบบเมื่อนักนิติเวชสาวจอมแสบต้องทะลุมิติมาเข้าร่าง 'หรงจื่อเหยา' คุณหนูใหญ่จวนหรงโหว ที่มีชื่อเดียวกับเธอ ที่ร่างนี้ไม่ได้เป็นแค่นางร้ายเจ้าอารมณ์ในนิยายเพียงอย่างเดียว แต่ยังถูกวางยาพิษกดประสาท แถมในโลกใหม่นี้เธอยังได้ของแถมคือสามารถมองเห็นและสื่อสารกับเหล่าดวงวิญญาณได้อีกด้วย! ชีวิตใหม่สุดวายป่วงของจื่อเหยาจึงเริ่มต้นขึ้น! เธอต้องงัดวิชาสารพัดชันสูตรออกมา ไขคดีลับ ๆ ทั้งในจวนและนอกจวน โดยมีพยานปากเอกคือร่างไร้วิญญาณ...เพื่อเปิดโปงความจริงที่ซ่อนอยู่
ดูเพิ่มเติมความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ท้ายทอยคือความรู้สึกสุดท้ายที่จื่อเหยาจำได้...เนื่องจากก่อนหน้านั้น สติสัมปชัญญะทั้งหมดของเธอกำลังจดจ่ออยู่กับวัตถุพยานในมือ
สิ่งนั่นก็คือไดรฟ์ข้อมูลขนาดจิ๋วที่เก็บความลับอันโสมมของนักการเมืองระดับประเทศ คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เธอผู้ซึ่งอยู่ในฐานะแพทย์นิติเวชมือหนึ่งของกรมตำรวจได้ทุ่มเทเวลามากกว่าครึ่งปีเพื่อไขปริศนา
ทว่า...มาบัดนี้ ความจริงทั้งหมดได้อยู่ในกำมือของตัวเองแล้ว...แต่ว่าภาพสุดท้ายที่เธอจำได้ก็คือ...ในตอนนั้นเธอเห็นแสงไฟจากท่าเรือร้างที่กำลังสาดส่องเป็นเงาวูบวาบ คละคลุ้งมากับกลิ่นสนิมเหล็กผสมกับกลิ่นอับชื้นของน้ำทะเลลอยมาแตะจมูก
และเธอกำลังจะก้าวออกจากที่ซ่อนตัวเพื่อส่งสัญญาณให้ทีม แต่แล้ว...ทุกอย่างก็ดับวูบลง พร้อมกับแรงกระแทกที่รุนแรงจนสมองสั่นสะเทือน
(พลาด...จนได้สินะ...) นี่คือความคิดสุดท้ายของนักนิติเวชสาว...
ก่อนที่ความรู้สึกตัวจะกลับมาอีกครั้งอย่างเชื่องช้า แต่มันไม่ใช่ความเจ็บปวดจากบาดแผลเดิม เพราะในตอนนี้กลับเป็นความทรมานจากภายในที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
จื่อเหยารู้สึกว่าท้องของเธอบิดเกร็งอย่างรุนแรงราวกับถูกคว้าน และลำคอแห้งผากจนแทบกลืนน้ำลายไม่ได้ ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะขาดห้วง ร่างกายอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงจนแม้แต่จะขยับปลายนิ้วยังทำไม่ได้
(ภาวะขาดน้ำและขาดสารอาหารขั้นรุนแรง...ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนน่าตกใจ...) สมองของจื่อเหยาประมวลผลตามสัญชาตญาณของแพทย์นิติเวช
และเธอก็กำลังจะพยายามลืมตาขึ้น แต่ว่า....เปลือกตาของเธอมันหนักอึ้งราวกับมีหินมาถ่วง ทว่าด้วยความไม่ยอมแพ้...ในที่สุดเธอก็สามารถเปิดเปลือกตาขึ้นมาได้สำเร็จ ก่อนที่ภาพที่เห็นพร่าเลือนในคราแรก...จะค่อย ๆ ปรับโฟกัสจนชัดเจน
(ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล...แล้วมันคือที่ไหน) จื่อเหยาคิดอย่างสับสน ในเวลาเดียวกันเธอก็มองเพดานไม้เก่าคร่ำคร่ามีหยากไย่เกาะอยู่ประปราย...
รวมถึงผนังดินที่เริ่มผุกร่อน หน้าต่างไม้บานเล็กที่ปิดสนิท แสงแดดเพียงริ้วบาง ๆ ลอดผ่านเข้ามาได้เผยให้เห็นฝุ่นละอองที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศ เตียงที่เธอนอนอยู่ก็เป็นเพียงแคร่ไม้แข็งกระด้างปูด้วยฟูกบาง ๆ ที่ส่งกลิ่นอับชื้น
"นี่ฉันอยู่ที่ไหน?" เธอพึมพำด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
และทันใดนั้นเอง จื่อเหยาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง ซึ่งเป็นเสียงใสแจ๋วแบบไร้อารมณ์ก็ดังขึ้นในหัวของเธออย่างไม่มีที่มา
[ติ๊ง! ตรวจพบการย้ายโฮสต์เสร็จสมบูรณ์ กำลังเชื่อมต่อกับร่างหรงจื่อเหยา...นางร้ายในนิยายข้าเป็นคุณหนูตัวร้ายแล้วอย่างไร] เสียงนี้ยังคงดังอย่างต่อเนื่องออกมาอีก...ซึ่งจื่อเหยายังคงไม่เข้าใจ
[เชื่อมต่อสำเร็จ! เริ่มต้นการทำงานของ "ระบบไขความจริง" ระดับ 1]
"สะ...เสียงอะไร!...ใครเป็นคนพูด...แล้วที่ว่าร่างนางร้ายในนิยายคืออะไร" จื่อเหยาที่ยังคงสับสนเอ่ยเสียงตื่น....ด้วยความตกใจพร้อมกับคิดว่าใครคือโฮสต์...และนี่มันคือเรื่องบ้าอะไรกัน
ในระหว่างที่เธอกำลังหาคำตอบอยู่นั้นเอง ในหัวของเธอก็ได้มีความทรงจำที่ไม่ได้เป็นของตัวเองหลั่งไหลเข้ามาในสมองราวกับสายน้ำหลาก
ไม่ว่าจะเป็นภาพของเด็กสาววัยสิบสามปีในชุดหรูหรา ทว่า...ใบหน้ามักจะบูดบึ้งและเกรี้ยวกราด...ภาพของสตรีผู้มีรอยยิ้มอ่อนหวานแต่แววตาซ่อนมีดที่ถูกเรียกว่าท่านแม่...ภาพของบุรุษผู้เป็นบิดาที่มองมาด้วยสายตาผิดหวังระคนหน่ายใจ...
และภาพสุดท้าย...คือการถูกกล่าวหาว่ามีนิสัยร้ายกาจก้าวร้าว จนถูกส่งตัวมาดัดนิสัยที่เรือนนอกในชนบทที่หมู่บ้านเมฆาคล้อยแห่งนี้ พร้อมกับคำสั่งลงโทษให้สำนึกผิดโดยการอดอาหารสามวัน จากชายาเอกคนใหม่ผู้เป็นแม่เลี้ยง!
ร่างนี้...หรงจือเหยา...เด็กสาวผู้ถูกตราหน้าว่าเป็นตัวร้าย...ได้สิ้นใจไปแล้วเพราะความหิวโหยและการขาดการดูแล
(ให้ตายสิ...จากแพทย์นิติเวชที่กำลังจะปิดคดีใหญ่ กลายมาเป็นคุณหนูตัวร้ายที่ถูกคนวางแผนฆ่าให้ตายทั้งเป็นเนี่ยนะ?) ร่างวิญญาณแท้จริงของจื่อเหยาคิดอย่างไม่ชอบใจนัก ในขณะที่เธอไม่ยินยอมอยู่นั้นเสียงบานประตูไม้เก่าก็ได้เปิดออกเพียงเล็กน้อย
"เฮอะ! ยังไม่ตายอีกรึ?" เสียงแหลมเล็กดังขึ้นจากหน้าประตู "ข้านึกว่าจะสิ้นลมไปแล้วเสียอีก แต่ก็ดีจะได้ประหยัดแรงขุดหลุมฝังของข้า"
"ชู่ว์! เบาหน่อยน่า เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยิน" เสียงที่สองปรามขึ้น "ฮูหยินสั่งให้พวกเราแค่ดูแลคุณหนูใหญ่ตามคำสั่ง ไม่ได้ให้ฆ่านางนะ"
"ก็แล้วมันต่างกันตรงไหนเล่า?" เสียงแรกสวนกลับอย่างไม่ใส่ใจ "ปล่อยให้อดข้าวอดน้ำในห้องอับ ๆ แบบนี้ อีกไม่นานก็คงขาดใจตายไปเอง ถึงตอนนั้นเราก็แค่ไปรายงานว่าคุณหนูใหญ่ร่างกายอ่อนแอ ทนการดัดนิสัยไม่ไหว สิ้นใจไปอย่างน่าเวทนา...ฮูหยินต้องพอใจมากเป็นแน่"
เสียงหัวเราะคิกคักของบ่าวรับใช้สองคนนั้นดังเสียดแทงเข้ามาในโสตประสาของวิญญาณนิติเวชสาว
(คนของแม่เลี้ยงสินะ...) จื่อเหยาคิดในใจ ดวงตาที่เคยอ่อนล้าพลันฉายแววคมปลาบขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยปรากฏในร่างของหรงจื่อเหยาคนเดิม
(น่าเวทนาเหรอ? เหอะ! ช่างน่าสมเพชเสียจริง พวกเจ้าคงเข้าใจผิดแล้วละ...)
หรงจื่อเหยาคิดก่อนจะรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เธอกัดฟันแน่นจนกรามสั่น พลิกตัวลงจากแคร่ไม้เสียงดังโครม!
เสียงนั้นทำให้บ่าวไพร่ที่กำลังนินทาอยู่หน้าห้องถึงกับสะดุ้งสุดตัวและรีบเปิดประตูเข้ามา
"คะ...คุณหนูใหญ่!" เมื่อพวกนางเปิดประตูเข้ามาก็ได้เห็นภาพของผู้ที่เรียกว่าคุณหนูกำลังใช้แขนยันพื้นพยุงร่างที่สั่นเทาของตัวเองลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล...ซึ่งภาพนี้ทำให้คนทั้งคู่ราวกับเห็นภูตผีโผล่มาจากขุมนรกก็ไม่ปาน
ร่างของหรงจื่อเหยาที่ผมยาวรกรุงรังปิดหน้าลงมาครึ่งหนึ่ง ประกอบกับร่างกายผอมบางของเธอยิ่งทำให้บ่าวรับใช้ถึงกับผงะและในวินาทีต่อมา...เมื่อพวกนางได้เห็นดวงตาของหรงจื่อเหยามองสบมา...นางสองคนก็รู้สึกตื่นตระหนกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะมันช่างดูเย็นเยียบจับขั้วหัวใจเป็นอย่างมาก
"น้ำ..." หรงจื่อเหยาเปล่งเสียงแหบพร่าออกมาคำหนึ่ง "ไปเอาน้ำมาให้ข้า...เดี๋ยวนี้!" น้ำเสียงนั้นไม่ใช่การอ้อนวอน แต่เป็นคำสั่งที่เด็ดขาดและถืออำนาจของผู้เป็นนายอย่างชัดเจน
บ่าวรับใช้ทั้งสองคนถึงกับสะดุ้ง พลางก้าวถอยหลังไปด้านหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว พวกนางมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ราวกับไม่เชื่อว่าคุณหนูใหญ่ที่เคยเอาแต่กรีดร้องอาละวาด จะมีสายตาและน้ำเสียงที่น่าเกรงขามได้มากถึงเพียงนี้
หลายเดือนผ่านไปนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ที่เมืองเหยียนสุ่ย...ผ่านพ้น ในตอนนี้ฤดูร้อนที่ร้อนระอุได้ผ่านไปนานแล้วและถูกแทนที่ด้วยสายลมเย็นสบายแห่งต้นฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้รอบเรือนเมฆาคล้อยเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวชอุ่มเป็นสีเหลืองทองอร่าม บรรยากาศที่เคยเต็มไปด้วยความตึงเครียด บัดนี้กลับสงบสุขและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา จื่อเหยาได้ใช้ช่วงเวลาหลายเดือนนี้ในการฟื้นฟูร่างกายและสร้างฐานอำนาจเล็ก ๆ ของนางขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ โดยอาศัยชื่อเสียงของคุณชายหลี่เหยาที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นตำนานที่เล่าขานกันไปทั่วทั้งอำเภอ แต่กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาเลยแม้แต่คนเดียว บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่จื่อเหยากำลังนั่งอ่านตำราแพทย์ที่พ่อบ้านสวีอุตส่าห์ไปหามาให้อย่างใจเย็น โดยมีเหลิ่งเยว่ยืนเฝ้าอารักขาอยู่ไม่ห่างนั้นเองที่ตัวตนของนางถูกจื่อเหยารู้แล้วจากอาการบาดเจ็บในครั้งก่อน...เสียงฝีเท้าที่รีบร้อนของพ่อบ้านสวีก็ดังขึ้นจากทางเดินหน้าห้องพัก&nb
เหลิ่งเยว่เตรียมจะรับคำ ทว่าได้มีเสียงของเสี่ยวชุนดังแทรกขึ้นมาอย่างสั่นกลัว "คะ...คุณหนูเราต้องฆ่าพวกเขาเลยหรือเจ้าคะ" คำถามที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและหวาดกลัวของเสี่ยวชุน ทำให้หรงจื่อเหยาที่กำลังจะออกคำสั่งต่อไปถึงกับชะงักงันพร้อมกับคิดว่าโชคดีที่นางได้ให้นางจางกับอาเฉียงหลอกล่อเสี่ยวเฉินออกไป ก่อนที่นางจะหันไปมองบ่าวรับใช้คนสนิทที่อยู่กับนางมาตั้งแต่ต้น...ใบหน้าของเสี่ยวชุนซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำใส ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม...ที่ไม่ใช่เกิดจากการแสดงอีกต่อไปแล้ว จื่อเหยารู้สึกราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจของตน...นางเกือบลืมไปแล้ว...ว่าเด็กสาวตรงหน้า...ก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น นางเดินเข้าไปหาเสี่ยวชุนช้า ๆ แววตาที่เคยเย็นเยียบพลันอ่อนแสงลงเล็กน้อย "
ช่วงเย็นจนถึงช่วงหัวค่ำภายในโรงเตี๊ยมจิ่นซิ่วของเมืองอันคังผ่านไปอย่างเงียบสงัด...แต่สำหรับหรงจื่อเหยาแล้ว นางรู้ดีว่านี่เป็นเพียงความเงียบที่ซ่อนเร้นไว้ซึ่งกระแสคลื่นใต้น้ำอันรุนแรง ทั้งนี้เป็นเพราะนางรู้เรื่องแผนการบางอย่างมาจากสายลับพิเศษนั่นเอง หากจะเป็นเรื่องอันใดนั้น คงต้องย้อนกลับไปก่อนหน้าในตอนที่นางสั่งให้วิญญาณของนางจางไปตามติดอยู่กับจ้าวมามา 'นายหญิงเจ้าคะ...' เสียงกระซิบที่เย็นเยียบของวิญญาณป้าจางดังขึ้นในหัวของนางตั้งแต่ตอนที่ขบวนรถม้าเพิ่งผ่านเข้าประตูเมืองอันคังมาได้ไม่นานนัก 'เมื่อครู่...ข้าน้อยได้ยินนางพูดคุยกับบ่าวรับใช้ที่ชื่อเสี่ยวถัง...นางกำชับนังเด็กนั่นว่าเมื่อไปถึงเมืองอันคัง ให้รีบไปติดต่อญาติห่าง ๆ ของนางที่ชื่อจิ่วกุ่ยหวัง ฉายาหวังขี้เมา...ดูเหมือนว่าพวกมันจะวางแผนใช้ชายผู้นี้ให้มาสร้างเรื่องอื้อฉาวเพื่อทำลายชื่อเสียงของนายหญิงในคืนนี้เจ้าค่ะ!'
เมื่อขึ้นมานั่งภายในรถม้า...จื่อเหยาก็รู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของนางได้กลับคืนมาอีกครั้ง นางจึงเอนกายพิงผนังรถม้าอย่างสบายใจ...ส่วนแววตาที่แสร้งทำเป็นเลื่อนลอยนั้นมาบัดนี้กลับทอประกายแห่งความเย็นชาและมุ่งมั่นมากขึ้นกว่าเดิม (ได้เวลาทวงคืนทุกสิ่งที่เป็นของเจ้าของร่างนี้...พร้อมกับดอกเบี้ยแล้ว...เหมยลี่) ทันใดนั้นเอง...นางก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในรถม้า...ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นวิญญาณของนางจาง อาเฉียง และเสี่ยวเฉิน ที่ลอยเข้ามานั่งอย่างเบียดเสียดอยู่ตรงข้ามกับนางด้วยท่าทีตื่นเต้น 'นายหญิง/พี่สาว...ท่านจะให้พวกเราติดตามกลับไปเมืองหลวงด้วยจริง ๆ หรือขอรับ/เจ้าคะ?' เสียงของทั้งสามดังขึ้นพร้อมกันในหัวของจื่อเหยา แววตาโปร่งแสงของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างปิดไม่มิด จื่อเ











