ログインน้าวารีออกจากบ้านไปนานแล้วแต่เมลินญาน์ก็นั่งที่เดิม ด้วยความหดหู่เธอไม่รู้ว่าจากนี้จะชีวิตของตนเองจะเอายังไงต่อ ความฝันที่จะได้เรียนต่อมันหายวับไปในพริบตา ทั้งบ้านที่เคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็กก็กำลังจะถูกธนาคารมายึดและที่สำคัญที่สุดตึกเช่าที่บิดาทิ้งไว้มันก็กำลังจะกลายเป็นของคนอื่นเธอ
ไม่รู้เลยว่าแม่เลี้ยงของเธอเอาตึกไปจำนองเป็นเงินเท่าไหร่แต่เธอจะต้องหาทางเอามันกลับคืนมาให้ได้เพราะรายได้จากการเช่าตึกมันก็มากพอที่จะให้เธอได้ใช้ชีวิตได้อย่างสบาย
ที่ผ่านมาเมลินญาน์ไว้ใจน้าวารีให้ดูแลเรื่องนี้มาตลอดและไม่เคยรู้เลยว่าแม่เลี้ยงของเธอเงินไปใช่จ่ายอะไรจนหมดแถมยังเอาสมบัติของเธอไปจำนองอีกด้วย
สิ่งที่หญิงสาวคิดว่าจะต้องรีบทำก็คือการไปพบกับคุณราตรีตามที่น้าวารีบอก
เมลินญาน์เช็ดคราบน้ำตาออกแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัว เธอแวะทานข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอย ก่อนจะเดินเข้าไปยังอีกซอยตามที่เลี้ยงบอก
เมื่อเห็นบ้านหลังใหญ่ภายในมีต้นไม้ที่ร่มรื่นก็หยุดเดิน เมลินญาน์สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะกดออดที่หน้าประตู รอไม่นานหญิงสาวคนหนึ่งก็วิ่งมาที่ประตูรั้ว
“มาหาใครคะ” คนด้านในถามด้วยภาษาไทยที่ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
“ใช่บ้านของคุณราตรีไหมคะ”
“ใช่ค่ะ”
“พอดีหนูมีธุระจะคุยกับคุณราตรีค่ะ”
“นัดไว้ก่อนหรือเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ หนูไม่รู้ว่าต้องนัดก่อน พี่ชาวยไปถามคุณราตรีให้หนูหน่อยได้ไหมว่าหนูมีเรื่องจะถามท่าน”
“หนูจะถามคุณท่านด้วยเรื่องอะไรล่ะบอกพี่ก่อนได้ไหมพี่จะไปเรียนคุณท่านให้”
“หนูอยากถามเรื่องที่แม่เลี้ยงของหนูเอาตึกมาจำนองไว้กับคุณราตรีค่ะ”
“รออยู่ตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวพี่เข้าไปถามคุณท่านก่อน”
หญิงสาวคนนั้นหายเข้าไปในบ้านไม่นานก็กลับออกมาและเปิดประตูให้เมลินญาน์เดินตามเข้าไปในบ้าน
หญิงสาวเดินตามเข้ามาในห้องรับแขกที่ดูหรูหราไม่ผิดจากที่เธอเห็นในละครเลยสักนิด
“นั่งรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวคุณท่านก็ออกมา”
“ขอบคุณนะคะ” เมลินญาน์มองซ้ายมองขวาก่อนจะนั่งลงบนพื้นเพราะบนโซฟามันดูหรูหราจนเกินไปสำหรับเธอ
นั่งรอไม่นานเมลินญาน์ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาจากด้านหลังเมื่อเห็นหญิงสูงวัยเดินมาหญิงสาวลุกขึ้นและยกมือไหว้ทันที
“สวัสดีค่ะคุณราตรีหนูชื่อเมลินค่ะ หนูจะมาคุยเรื่องตึกห้าคูหาที่น้าของหนูเอามาจำนองไว้ค่ะ”
“น้าของหนูนี่ใครเหรอ” คุณยายราตรีมีคนเขาของพวกนี้มาขาย มาจำนองจนจำไม่ได้ว่าของใครเป็นของใคร
“น้าหนูชื่อวารีค่ะ คุณท่าน”
“ไม่ต้องเรียกคุณท่านหรอก เรียกฉันว่าคุณยายก็ได้”
“หนูไม่กล้าเรียกท่านแบบนั้นหรอกค่ะ”
“แค่เรียกฉันว่ายายมันต้องใช้ความกล้าอะไรกันล่ะ นั่งลงก่อนนะ แล้วค่อยคุยกัน”
“ขอบคุณค่ะ” เมื่อได้รับอนุญาตให้นั่งเมลินญาน์ก็นั่งลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใช่นั่งบนพื้นสิ นั่งบนเก้าอี้ตรงนั้นแหละ ยายฉันไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างอะไรหรอกนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณยาย”
“เอาล่ะทีนี้จะคุยเรื่องตึกนั่นใช่ไหม”
“ค่ะคุณยาย น้าวารีเขาเป็นแม่เลี้ยงของหนูค่ะ ตอนพ่อตายเขาก็เป็นผู้จัดการมรดกแต่ตอนนี้หนูอายุครบ 18 แล้วค่ะ หนูเลยอยากจะมาถามคุณยายว่าหนูต้องหาเงินมาไถ่ตึกนั้นคืนเท่าไหร่” เมลินญาน์อธิยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“หนูเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าลูก”
“เข้าใจอะไรผิดคะคุณยาย”
“วารีเขาไม่ได้เอามาจำนองหรอกนะ แต่เขาเอามาขายขาด”
“ขายขาดเหรอคะ” คำตอบของคุณยายราตรีทำให้หญิงสาวหน้าซีดเพราะนั่นมันเป็นสมบัติที่บิดาทิ้งไว้ให้เธอและไม่คิดว่าแม่เลี้ยงจะเอามาขายก่อนที่เธอจะอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์
“เขาขายคุณยายไปเท่าไหร่คะ หนูจะพยายามหาเงินมาซื้อคืนได้มั๊ยคะ”
“อันที่จริงตึกไหนถ้ายายซื้อแล้วก็ไม่คิดจะขายหรอกนะเพราะมันเป็นเรื่องของธุรกิจนะ แต่ยายเห็นว่าหนูยังเด็กและคงโดนแม่เลี้ยงแอบเอามาขาย ยายจะขายคืนให้หนูเท่าราคาเดิมก็แล้วกันนะ ยายซื้อมาในราคาสิบห้าล้าน” คุณยายราตรีบอกจำนวนเงินที่วารีได้ไป แต่อันที่จริงตึกนั้นราคาประเมินไม่ถึงสิบห้าล้าน แต่ที่ซื้อก็เพราะเห็นทำเลมันดีและคงทำกำไรได้ในอนาคต
“หนูนึกไม่ออกเลยว่าหนูจะหาเงินมากขนาดนั้นมาซื้อจะคืนได้ยังไง”
“น้าของหนูเขาแบ่งให้หนูเท่าไหร่ หนูยังขาดเงินอีกเท่าไหร่ เผื่อว่ายายจะให้หนูผ่อนจ่ายไปก่อน” คุณยายราตรีเสนอด้วยความใจดี
“หนูไม่ได้เลยสักบาท”
“ยายนึกว่าจะแบ่งกันคนละครึ่งเสียอีก”
“ตึกนั้นไม่ใช่ของพ่อค่ะ แต่เป็นตึกของครอบครัวแม่ พ่อบอกว่าจะยกให้หนูคนเดียว แต่หนูไม่คิดเลยว่าน้าวารีจะเอามาขาย”
“ยายรู้สึกผิดนะที่รับซื้อไว้โดยที่สืบดูให้ดีก่อนว่าเจ้าของเป็นใครกันแน่”
“คุณยายคะหนูรู้ว่าเงินจำนวนนั้นมันมากเกินกว่าที่เด็กจบแค่ ปวช. อย่างหนูจะหาเงินมาซื้อคืนได้ แต่หนูขอร้องคุณยายอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ”
“หนูจะขอร้องอะไรยายจ๊ะ”
“หนูอยากให้ยายดูแลรักษาตึกนั้นอย่างดี อย่าทุบทิ้งได้ไหม มันเป็นสมบัติของแม่และแม่หนูเสียไปหลายปีแล้ว ถึงแม้หนูจะไม่ได้เป็นเจ้าของแต่ได้เห็นมันอยู่เหมือนเดิมก็พอแล้วค่ะ” เมลินญาน์รู้ว่าการได้กลับมาเป็นเจ้าของตึกนั้นมันไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง
“ยายไม่ทุบทิ้งหรอกนะเพราะจะทำให้คนเช่าอยู่ต้องเดือดร้อนเมื่อกี้หนูบอกว่าหนูเพิ่งเรียนจบชั้นปวช. ใช่ไหมหนูจบอะไรมาเหรอเมลิน”
“หนูเรียนจบบัญชีค่ะคุณยาย”
“แล้วทำงานที่ไหนล่ะ”
“หนูเพิ่งสอบเสร็จวันสุดท้ายเมื่อวานค่ะ รอผลสอบออกแล้วถ้าไว้วุฒิการศึกษามาหนูก็จะเริ่มหางานทำค่ะ”
“สมัยนี้มันหายากใช่เล่นนะ”
“หนูก็คิดว่าอย่างนั้นค่ะ ตอนแรกหนูคิดว่าจะเรียนต่อแต่แผนทุกอย่างก็พังหมด นอกจากน้าวารีจะเอาตึกมาขายให้คุณยายแล้วเขายังเอาบ้านไปจำนองกับธนาคาร หนูมีเวลาหาเงินอีกหนึ่งเดือนไปเพื่อส่งให้ธนาคารก่อนที่เขาจะยึดค่ะ” เมลินญาน์เล่าให้คุณยายฟังอย่างไม่มีปิดบังเพราะไม่รู้จะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง
“ทำไมถึงได้ลำบากแบบนี้นะ เอาอย่างนี้ไหมมาทำงานกับยายก่อนระหว่างที่ยังหางานทำไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณยายหนูเกรงใจ แค่นี้หนูก็มารบกวนคุณยายมากแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกที่ยายจะให้หนูมาทำงานไม่ใช่เพราะสงสารหรอกนะ แต่คนที่ยายเคยจ้างเขาเพิ่งลาออกไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนตอนนี้ยายก็กำลังหาคนมาทำงานอยู่พอดี”
“งานอะไรคะคุณยาย หนูจบแค่ปวช.เองนะคะ หนูไม่มีประสบการณ์อะไรเลย”
“งานของยายมันจุกจิกนิดหน่อยนะ หนูอยากลองทำดูไหม ถ้าไม่ไหวก็ค่อยไปหางานทำที่อื่น”
“หนูต้องทำอะไรบ้างคะคุณยาย”
“ไปเก็บเงินของแม่ค้าในตลาดให้ยาย หนูเห็นแผงในตลาดสดใช่ไหม หนูมีหน้าที่เก็บเงินจากแม่ค้าและกลับมาทำบัญชีให้ยายหนูคิดว่าทำได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
“ตกลงว่าหนูเมลินจะมาทำงานกับยายนะ ส่วนเรื่องเงินเดือนยายก็จะให้เท่าค่าแรงขั้นต่ำบวกกับโบนัสและค่าเดินทางอีกนิดหน่อยตกลงไหมล่ะ”
“ตกลงค่ะ” เธอตอบรับด้วยรอยยิ้มจางๆ พร้อมกับความหวังที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้จะไม่ใช่ชีวิตที่เธอใฝ่ฝัน แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
“ถ้ามันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ คุณอัลเฟรดก็รีบพูดมาเลยค่ะก่อนที่สมองจะไม่รับรู้อะไรเพราะความง่วง” หญิงสาวพูดแล้วแกล้งหาวทั้งที่ตอนนี้ยังไม่ได้ง่วงเลยสักนิด เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าอัลเฟรโด้จะคุยเรื่องอะไรกับเธออัลเฟรโด้ขยับเข้ามาใกล้ๆ จับมือของเธอไว้เขามองหน้าเธอก่อนจะพูดความรู้สึกของตัวเองออกมา“ก่อนอื่นฉันต้องขอโทษที่เข้าใจผิด ไม่เชื่อใจเธอคิดว่าเธอเป็นคนกล่อมคุณยายให้บังคับฉันแต่งงาน”“เรื่องนี้หนูไม่โกรธคุณแล้ว หนูเข้าใจว่าเป็นใครก็ต้องคิดแบบนั้นเพราะหนูเพิ่งเจอกับคุณยายไม่นานท่านก็บังคับให้คุณแต่งงานกับหนู มีแค่นี้ใช่ไหมที่คุณจะพูด”“ไม่ใช่มันมีอีกเรื่องหนึ่ง”“อะไรคะ”“ที่ผ่านมาฉันยอมรับนะว่าฉันมีความสุขมากที่ได้อยู่กับเธอ รู้สึกดีที่ตื่นมาทุกเช้ามีเธอนอนอยู่ข้างๆ และได้นอนกอดกันทุกคืน ฉันรู้ว่าเธอรักฉันและฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันทำมันก็เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าฉันรู้สึกยังไงกับเธอ”“แล้วคุณรู้สึกยังไงเหรอคะ” หญิงสาวถามออกไปด้วยใจเต้นแรงเธอไม่รู้หรอกว่าตอนนี้อัลเฟรโด้กำลังจะพูดอะไรแต่ในใจก็แอบหวังว่าเธอได้ยินเขาพูดคำว่ารักซึ่งมันสำคัญกับเธอมาก ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเธอบอกรักเข
“พรุ่งนี้ฉันจะบอกทนายให้จัดการเรื่องหย่า” จู่ๆ อัลเฟรโด้ก็พูดขึ้นระหว่างที่ออกมานั่งดื่มกับณัฐกฤษณ์เพื่อนสนิท“จะไม่ง้ออีกหน่อยเหรอ”“ฉันคิดว่าง้อไปมันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เมลินเธอคงตัดใจจากฉันได้แล้วจริงๆ นั่นแหละ”“เฮ้ย!...แต่นี่เพิ่งผ่านมาไม่กี่เดือนเองนะ อดทนหน่อยสิ เด็กวัยรุ่นก็อย่างนี้เอาใจยาก”“นายพูดอย่างกับเคยมีแฟนเป็นเด็ก”“ถึงแฟนฉันกับฉันอายุจะไม่ห่างกันมาก แต่ฉันก็พอเข้าใจนะว่าผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหว โดยเฉพาะเด็กอย่างเมียของนายนะ นายลองคิดดูสิเธออายุแค่ 18 แล้วต้องมาแต่งงาน ชีวิตกำลังลงตัวและมีความสุขจู่ๆ นายก็ไปพูดจาแบบนั้นกับเธอ”“ก็ตอนนั้นฉันยังไม่รู้ความจริงนี่”“คนโตอย่างเราอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ที่ต้องทะเลาะกันบ้างแต่นายอย่าลืมนึกถึงความแตกต่างในเรื่องของอายุด้วยนะ อีกอย่างเมลินเธอก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเลย แล้วมาโดนนายพูดจาแบบนั้นใส่เป็นใครก็ต้องเสียใจน้อยใจได้ นายเคยบอกฉันไม่ใช่เหรอว่าเมลินรักนายมาก พอโดนคนที่ตัวเองรักต่อว่าก็เลยยิ่งคิดมากและน้อยใจมันเป็นเรื่องธรรมดา”“ใช่เมลินรักฉันมาก เธอบอกรักฉันในทุกวันที่อยู่ด้วยกันนายรู้มั้ยฉันมีความสุขแค่ไหนเวลาไ
วันนี้เมลินญาน์เลิกเรียนเร็วกว่าปกติหญิงสาวจึงนัดทานข้าวกับศศิภาจากนั้นก็พากันเดินไปซื้อของก่อนจะขับรถมาส่งเธอที่บ้านระหว่างทางศศิภาก็ถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง“แกตัดสินใจดีแล้วหรอเมลิน แกรักเขามากนะแล้วจะหย่ากับเขาทำไม”“ฉันยอมรับว่าฉันรักเขามาก แต่ก็ไม่รู้จะอยู่กันไปทำไม เขาไม่เชื่อใจฉัน เขาคิดว่าฉันเป็นคนวางแผนให้ได้แต่งงานกับเขานะ”“แต่ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าแกไม่ได้แบบ เขาก็ขอโทษแกแล้วแกยังต้องการอะไรอีก”“ไม่รู้สิ ฉันอาจจะต้องการความรักจากเขามั้ง”“แกเคยถามไหมว่าเขารักแกหรือเปล่า”“ไม่เห็นจำเป็นต้องถามเลยขิงฉันบอกรักเขาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแต่ไม่เคยได้ยินกับเขาพูดมันเลย แม้คุณยายจะบอกว่าให้ดูที่การกระทำทำแต่ฉันก็อยากจะได้ยินมันสักครั้ง เขาพูดแต่ว่าเขาโทษอยากให้ฉันกลับไปอยู่ด้วยแค่นั้นเอง”“ถ้าเขาบอกว่ารักแกแล้วแกจะกลับไปคืนดีกับเขาเหรอ”“อือ”“ฉันไม่เข้าใจแกเลยนะเมลิน แกหย่ากับเขาแล้วแกก็ต้องมานั่งเสียใจแบบนี้มันคุ้มกันเหรอ”“ฉันไม่รู้ว่าคุ้มไหม แต่ฉันอยากอยู่กับคนที่รักฉัน แต่ฉันให้เวลาให้โอกาสเขาแล้วนะ ฉันรู้ว่าที่ฉันทำมันงี่เง่าไม่มีเหตุผล แค่คำว่ารักแค่คำเดียวแต่ฉันคิดว่าฉันอยากไ
จากวันที่เมลินญาน์ย้ายกลับไปอยู่บ้านถึงตอนนี้ก็เกือบจะสองเดือนแล้วอัลเฟรโด้ยังคงพยายามตามง้อ แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมใจอ่อน ตอนนี้เธอเปลี่ยนกุญแจรั้วบ้านเปลี่ยนรหัสผ่านทุกอย่างทำให้อัลเฟรโด้ไม่สามารถเข้าไปหาเธอที่บ้านได้อย่างเคยแต่ถ้าวันไหนเขาเลิกงานเร็วก็มักจะขับรถวนมาดูว่าหญิงสาวถึงบ้านหรือยังและจอดรถที่หน้ารั้วจนกระทั่งเห็นว่าว่าเธอปิดไฟเข้านอนจึงขับรถกลับมาที่คอนโดมิเนียม เขาใช้รถของตนเองบ้างรถของบริษัทบ้างหรือบางครั้งก็ใช้รถของผู้ช่วยทำให้เมลินญาน์ไม่ทันสังเกตเห็นแต่วันนี้หญิงสาวไปซื้อของที่ตลาดสด แล้วเจอคุณน้าหนึ่งที่บ้านอยู่ถัดจากบ้านของเธอไปอีกสามหลังเข้ามาชวนคุย“เมลิน หนูสังเกตไหมว่าช่วงนี้แถวบริเวณหน้าบ้านหนูมักจะมีรถยนต์มาจอดอยู่บ่อยๆ”“หนูไม่ได้สังเกตเลยค่ะน้า เขามาจอดรอใครหรือเปล่า”“น้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ หนูลองสังเกตดูหน่อยนะไม่รู้เป็นพวกโจรเป็นขโมยหรือเปล่า หนูอยู่บ้านคนเดียวด้วยมันอันตราย ถ้าเห็นท่าไม่ดียังไงก็โทรเรียกตำรวจให้มาช่วยดูก็ดีนะ”“ขอบคุณนะคะน้า หนูจะไปย้อนดูกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าบ้านดูค่ะ อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครที่มาจอดรถรออยู่แบบนั้น”เมลินญาน์พูดคุยก
เพราะตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาอัลเฟรโด้ทานอาหารไม่ตรงเวลาและมักจะดื่มเหล้าอยู่ตลอด วันนี้ชายหนุ่มก็เลยรู้สึกปวดท้องหลังเลิกงานเขาเลยแวะที่โรงพยาบาลเพื่อให้คุณหมอตรวจอาการหลังจากตรวจและรับยาแล้วอัลเฟรโด้ยาก็เดินมาที่ลานจอดรถและได้เจอกับหมออำนาจที่กำลังจะกลับบ้านพอดี“สวัสดีครับหมออำนาจ”“สวัสดีครับคุณอัลเฟรดไม่สบายเหรอครับ” คุณหมอถามเพราะเห็นถุงยาในมือของเขา“ปวดท้องนิดหน่อยครับคุณหมอก็เลยแวะมาตรวจ คุณหมอละ ครับสบายดีไหม” อัลเฟรโด้เจอกับคุณหมอครั้งสุดท้ายก็ในงานศพของคุณยายราตรีซึ่งมันผ่านมาสองเดือนแล้ว“ผมสบายดีครับ”“คุณหมอพอจะมีเวลาสักนิดไหมครับ” อัลเฟรโด้ถามอย่างเกรงใจ“คุณอัลเฟรดมีอะไรหรือเปล่าผม”“อยากจะถามอะไรหมอหน่อย”“ได้สิครับ เรานั่งคุยตรงมาหินอ่อนตรงนั้นก็ได้”“ครับ” แล้วอัลเฟรโด้ก็เดินตามคุณหมออำนาจมายังม้าหินอ่อนที่อยู่ใกล้กับลานจอดรถ“คุณอัลเฟรดมีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”“ผมอยากจะถามว่าทุกครั้งที่คุณยายมาตรวจกับคุณหมอ คุณยายให้คนอื่นเข้ามาในห้องด้วยหรือเปล่าครับ”“ไม่นะครับ คุณยายมักจะเข้ามาคนเดียวส่วนเมลินภรรยาของคุณก็รออยู่ข้างนอก มีอะไรหรือเปล่า”“ผมขอถามคุณหมอทุ
บทรักดำเนินต่อไปในห้องทำงานอีกพักใหญ่ก่อนที่อัลเฟรโด้จะอุ้มเมลินญาน์กลับมายังห้องนอน คืนนี้ทั้งสองต่างโรมรันพันตูกันอยู่บนเตียงอยู่นานก่อนที่หญิงสาวจะหมดแรงอยู่บนเตียงกว้างอัลเฟรโด้เอาผ้าเช็ดตัวชุบน้ำมาเช็ดคราบเหงื่อออกก่อนจะนอนกอดโดยไม่ได้มีคำพูดอะไรเมลินญาน์ซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขาแล้วหลับตานิ่ง เธออยากจะเก็บความรู้สึกคืนนี้ไว้เป็นคนสุดท้ายและพรุ่งนี้เธอกับเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกันอีกอัลเฟรโด้เองก็กอดกระชับเธอไว้แน่นเขากำลังสับสนว่าจากนี้จะเอายังไงต่อจะใช้ชีวิตกับเธอไปเรื่อยๆ หรือจะหย่าอย่างที่เธอพูด เขายังคงตัดสินใจไม่ได้ชายหนุ่มนอนใช้ความคิดจนกระทั่งเผลอหลับแล้วตื่นมาอีกครั้งในตอนเช้าเขารู้สึกใจหายเมื่อเช้านี้มันต่างจากทุกเช้าที่ผ่านมาเมื่อข้างกายของเขาไม่มีเมลินญาน์นอนอยู่ข้างๆอัลเฟรโด้รีบลุกขึ้นนุ่งผ้าเช็ดตัวแล้วเดินมายังห้องครัวเขาเห็นแค่ความว่างเปล่า ชายหนุ่มมองนาฬิกาเห็นว่ามันสายมากแล้วและคิดว่าวันนี้ที่เธอไม่ทำอาหารเช้าให้อาจจะเป็นเพราะเธอรีบไปเรียนและถ้าหากเย็นนี้เธอกลับมาที่คอนโดเขาจะลองเปิดใจคุยกับเธออีกครั้งอยากจะฟังเหตุผลจากเธออีกครั้งโดยไม่ใช้อารมณ์ตลอด