เห็นสายตาคาดหวังเจือจาง เยว่อวิ๋นที่พอเข้าใจความคิดคนตรงหน้าพลันใช้นิ้วถูจมูกอย่างเก้อเขิน สหายเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว“ข้าไม่ใช่ชาวหนานเยว่ ไม่รู้วิธีสะกดกู่ที่เจ้าว่ามาหรอก แต่ว่าข้ารู้วิธีหยุดกู่ก็เท่านั้น” นางกล่าวพลางชี้ไปยังชามเลือดที่อยู่ข้างเตียงดวงตาอาเข่อเบิกกว้าง สิ่งที่อยู่ในชามคือแลือดของ
แตกต่างจากด้านนอก คือภายในห้องที่มีเพียงอาเข่อกับหลีจวินอยู่นั้นสงบยิ่ง สถานการณ์ของอามู่ที่อยู่ข้างนอกไร้ผลกระทบกับเขาโดยสิ้นเชิง เพราะนอกจากเสียงหมัดหนักๆ ของโจวหนีแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นที่ดังรบกวนสมาธิชายหนุ่มหลุดรอดไปให้เขาได้ยินแม้แต่คำเดียวนี่จึงทำให้อาเข่อพลาดโอกาสทราบถึงสถานการณ์คับขันของอาม
จากนั้นพออาการป่วยกำเริบหนักก็ให้กินยาสะกดกู่ วิธีนี้เป็นสิ่งที่ท่านราชครูใช้ควบคุมฮ่องเต้ผ่านองค์ชายสี่มาโดยตลอด“ถ้าเป็นแบบนี้ คนผู้นั้นคงไม่ปล่อยเราไว้แน่” อามู่กล่าวกระซิบด้วยน้ำเสียงหมดหวัง ราชครูให้ความสำคัญกับองค์ชายสี่อย่างมาก หากอีกฝ่ายจบชีวิตลงด้วยความผิดพลาด พวกเขาสองคนก็อย่าหวังว่าจะรอดไ
หลังจากสิ้นเสียงของผู้มายามวิกาล ก็มีเงาคนก้าวเข้ามาในห้องอีกสอง หนึ่งในนั้นบ่นอุบอิบด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก“มาแล้วๆ เจ้าจะทำท่าดุดันข่มขวัญคนเพื่ออะไร พวกข้าระมัดระวังหน่อยก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือ”ชายที่ถูกเรียกขานว่าอาเข่อไม่ได้เอ่ยวาจาต่อล้อต่อเถียง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีดำแสดงออกถึงความเฉยชา ไม่ต่
สำหรับซูจิ้นกับฉางเจานั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เจียงซวี่ย่อมไม่อยากผิดใจด้วย แต่เนื่องจากในสถานการณ์นี้สามารถเลือกได้เพียงหนึ่งเท่านั้น และเขาก็เลือกโจวหนีหากยืนกรานทำตามซูจิ้น ปล่อยให้โจวหนีถวายรายงานขึ้นไป เรื่องที่เขารักษาผิดพลาดก็จะถูกกล่าวถึงต่อหน้าพระพักตร์ นี่…ไม่ใช่เรื่องดีตอนนี้องค์ชายสี่ป่วย
“ข้าคิดว่าคนพวกนั้นต้องลงมือในเร็วๆ นี้แน่ ท่านเรียกพวกโจวหนีมาสั่งการเตรียมตัวไว้เถอะ” เยว่อวิ๋นบอกสามีเรียบๆหญิงสาวนึกถึงท่าทีระแวดระวังตัวของผู้มาใหม่ พลางคิดว่าตนสู้อุตส่าห์อดทนเฝ้าตอรอกระต่าย[1]อยู่นานขนาดนี้ จะต้องไม่ให้เกิดความผิดพลาดโดยเด็ดขาดเซี่ยฉงอวิ๋นตอบรับออกมาคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโ