นางไม่มีเมล็ดข้าวที่จะใช้ปลูก ป้าหวงจึงได้แบ่งจากที่เรือนของนางมาให้ แต่จิ่วเม่ยก็ไม่กล้าเอาเปล่าๆ ป้าหวงจึงได้คิดเงินนางเพียงสองตำลึงเท่านั้น
นับว่าไม่มาก เมื่อเทียบกับที่นาของจิ่วเม่ยที่เพิ่มมาอีกเกือบสิบหมู่ ตอนนี้นางจึงมีที่ทำนาถึงสิบหกหมู่ หากจะให้นางทำผู้เดียวคงไม่ไหว ชาวบ้านจึงได้มาช่วยนางทำนาในครั้งนี้ด้วย
แต่ต้องรอให้ชาวบ้านจัดการแปลงของตนเองเรียบร้อยเสียก่อน จิ่วเม่ยนางให้ค่าแรงพวกเขาคนละสามสิบอิแปะ เท่ากับราคาค่าจ้างในเมือง เพียงแต่ไม่มีอาหารให้เท่านั้น
“ไม่ต้อง เจ้าเก็บเงินไว้ดูลูกเถิด” ป้าหวงและชาวบ้านต่างตำหนินาง
“ไม่ได้เจ้าค่ะ พวกท่านช่วยเหลือข้าบ่อยครั้ง แต่ข้าไม่มีสิ่งใดที่จะตอบแทนพวกท่านได้เลย” จิ่วเม่ยมองพวกเขาทุกคนอย่างซาบซึ้ง
“เช่นนั้นก็ให้เพียงยี่สิบอิแปะพอ ข้าวกลางวัน พวกข้าจะจัดการกันเอง” เมื่อป้าหวงเอ่ยเช่นนี้ ชาวบ้านที่เหลือต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ในหมู่บ้านหากไม่ใช่พวกเห็นแก่ตัวที่อยู่ไม่กี่เรือน พวกเขาต่างช่วยเหลือกันอยู่แล้ว จึงไม่คิดอยากจะได้เงินจากสองแม่ลูกที่น่าสงสารเช่นนี้ ในเมื่อจิ่วเม่ยนางไม่ยอม ทุกคนจึงได้ทำอย่างที่ป้าหวงว่า
ซูเจินน้อยมองพวกเขาพูดอย่างอบอุ่นหัวใจ ในโลกที่นางจากมามีแต่การแข่งขัน น้อยนักที่จะเห็นผู้คนที่มีน้ำใจเช่นนี้ นางอยากจะรีบโตแล้วช่วยพวกเขาทำมาหากินนัก
จิ่วเม่ยวางบุตรสาวให้นอนที่ใต้ต้นไม้ นางลงไปช่วยชาวบ้านลงนา ซูเจินนางมองฟ้ามองต้นไม้ใบหญ้ารอบตัวอย่างสนใจ
ซูเจินนางไม่ได้ร้องไห้โยเยกวนมารดายามที่นางทำงาน แม้จะหิวจนท้องน้อยๆ เริ่มร้องแล้ว แต่ก็ยังนอนรออย่างเชื่อฟัง
น่าแปลกบริเวณที่ซูเจินนอนรอมารดาของนางอยู่ มีเหล่าผีเสื้อ แมลง ผึ้งบินวนที่ตัวนางอยู่ตลอด แต่เหมือนทั้งหมดมาหยอกล้อกับนางแม้แต่ผึ้งก็ยังไม่มีสักตัวที่จะทำร้ายนาง
“อาเม่ย!!! ไปดูเจินเออร์ เร็วเข้า” ป้าหวงหันมามองซูเจินที่มีแมลง ผึ้ง ผีเสื้อบินตรอมนางอยู่ นางจึงได้ร้องเสียงดังออกมา
จิ่วเม่ยทิ้งของในมือ แล้ววิ่งไปทางบุตรสาวทันที แต่เมื่อเข้าไปไกล แมลงที่เห็นก็ไม่ได้คิดจะผละหนี ทั้งยังบินลงอยู่ด้านข้างอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อสำรวจเนื้อตัวของบุตรสาวเห็นว่าไม่ได้รับบาดเจ็บที่ใด นางก็มองเหล่า แมลงที่อยู่ด้านข้างตัวบุตรสาวอย่างแปลกใจ
ซูเจินนางอยากจะสื่อสารให้มารดาเข้าใจ ใจแทบขาด ว่านิ้วมือของนางมีบางสิ่งที่เกิดขึ้น
นางไม่รู้ว่าแสงสว่างที่เกิดขึ้นเหมือนตอนที่อยู่ในป่าเหอหนาน เกิดขึ้นอีกครั้งได้อย่างไร แม้แต่เสียงแมลงที่อยู่รอบตัวนาง นางยังได้ยิน
เมื่อครู่ก่อนที่มารดาจะเดินมา นางสามารถสื่อสารผ่านทางจิตกับผีเสื้อตัวใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของแมลงที่บินวนรอบตัวนาง
"นายหญิง ท่านมาแล้ว พวกข้ารอท่านมานานเหลือเกิน”
“รอข้า รอทำไม” ซูเจินเอ่ยถาม แต่ดูเหมือนว่านางเป็นเพียงเด็กน้อยที่พ่นน้ำลายออกมาเสียมากกว่าที่จะเป็นการเอ่ยพูดกับผีเสื้อ
“เพราะมือของท่านจะช่วยฟื้นคืนต้นไม้ในมิตินี่ได้”
“ห๊า มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ”
“เมื่อท่านเติบโตขึ้นจะเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ท่านไม่ต้องห่วงตอนนี่ที่ท่านยังช่วยเหลือตนเองไม่ได้ พวกข้าจะคอยอยู่ดูแลท่านเจ้าค่ะ”
“ดีดี ข้าจะเรียกเจ้าว่าอะไร”
ผีเสื้อสีสันสวยงามมีนามว่า เสี่ยวเตี๋ย จะคอยแจ้งเรื่องสื่อสารกับเหล่าสัตว์ปีก หัวหน้าผึ้ง เสี่ยวมี่ นางจะสื่อสารกับสัตว์มีพิษทุกชนิด หัวหน้ามด เสี่ยวอี่ สัตว์ที่อยู่ใต้ดินและในป่าทั้งหมดจะถูกส่งต่อเรื่องราวต่างๆ จากเสี่ยวอี่
เมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างสงสัยของจิ่วเม่ย ซูเจินจึงให้ทุกตัวแยกย้ายกันไปก่อน เหลือเพียงแต่เสี่ยวเตี๋ย เสี่ยวมี่ และเสี่ยวอี่ เท่านั้นที่อยู่ข้างนาง
“หิวแล้วใช่ไหมลูก” จิ่วเม่ยอุ้มตัวบุตรสาวขึ้นมาป้อนนม เมื่อเห็นว่าแมลงต่างๆ ถอยหายไปจากที่ลูกสาวนอนแล้ว
พอจิ่วเม่ยวางซูเจินที่กินอิ่มแล้วและหลับสนิท นางก็กลับไปช่วยชาวบ้านทำงานต่อ ระหว่างที่ซูเจินนางหลับ แมลงทั้งสามก็กลับมาอยู่ที่บนหน้าอกของนางอีกครั้ง
ราวกับกำลังเฝ้าเจ้านายตัวน้อยให้นอนหลับอย่างปลอดภัย
วันเวลาที่สงบสุขของสองแม่ลูกก็อยู่ไม่นาน หลังจากที่แยกออกมาใช้ชีวิตของตนเองได้เพียงสิบวัน นางไห่ซื่อที่อิจฉาที่ทำกินที่เพิ่มขึ้นอีกนับสิบหมู่ และที่ข้างเรือนของจิ่วเม่ยที่เพิ่มอีกห้าหมู่ ก็ทำให้นางเริ่มคิดแผนการ
ยิ่งมีบุตรชายอย่างชุยฟงช่วยวางแผนด้วยแล้ว นางก็เดินทางกลับไปที่บ้านเดิม เพื่อพูดคุยกับน้องชายของนาง
“อากวง ข้ามีงานให้เจ้าทำ” นางไห่ซื่อดึงตัวน้องชายไปคุยที่หลังเรือน แล้วบอกแผนการที่นางให้ไปจัดการ
ไห่กวง ดวงตาเป็นประกายเมื่อฟังแผนการของพี่สาว เขาเลียริมฝีปากอย่างมุ่งร้าย
“หากข้าได้ดี ไม่มีวันเริ่มท่านพี่อย่างแน่นอน”
สองพี่น้องมองและยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ ก่อนที่นางไห่จะแยกกลับไปที่หมู่บ้านก่อน ในตอนกลางคืนไห่กวงจะแอบเข้าไปในหมู่บ้าน
กลางดึกในคืนนั้น สองแม่ลูกนอนอยู่ภายในห้อง โดยไม่รู้เลยว่าด้านนอกเรือนกำลังมีคนคิดที่จะแอบเข้ามา
เป็นไห่กวงที่กำลังเหลียวมองไปรอบๆ เรือน เพื่อหาทางกระโดดเข้ากำแพง ยังดีที่เรือนของจิ่วเม่ย ท่านปู่ท่านย่าของนางพอจะมีเงินจากการค้าขาย จึงได้สร้างกำแพงที่แข็งแรง ทั้งยังสูงกว่าเรือนอื่น ด้วยกลัวว่าสัตว์ป่าจะเข้ามาในหมู่บ้าน
แต่ไห่กวงยังมิได้จะลองกระโดดเข้าเรือนของจิ่วเม่ย เสียงบินของผึ้งที่ไม่น่าจะยังมีอยู่ในตอนกลางคืน ก็บินตรงมาทางเขานับร้อยตัว
ผึ้งในความดูแลของเสี่ยวมี่ ทำรังอยู่ที่ต้นไม้หน้าเรือนของจิ่วเม่ย เมื่อเห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ ของไห่กวง มันก็รีบไปแจ้งเสี่ยวมี่ที่อยู่ด้านในเรือนทันที
พอเสี่ยวมี่ออกมาด้านนอก พร้อมกับเสี่ยวเตี๋ย จึงให้ฝูงผึ้งเข้าจัดการกับไห่กวง จะได้ไม่รบกวนเวลานอนของนายหญิงของตน นางจะได้โตเร็วๆ
“โอ๊ยยย” เสียงร้องของไห่กวงที่หน้าเรือน ทำให้จิ่วเม่ยต้องลุกออกไปดูว่าเป็นเสียงของผู้ใด
แต่เมื่อออกมาชะเง้อคอดู ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครอยู่ที่หน้าเรือนของนาง จิ่วเม่ยเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่นางจะเดินกลับไปนอนข้างบุตรสาวตามเดิม
ไห่กวงวิ่งหนีฝูงผึ้งไปยังเรือนของพี่สาว เมื่อจิ่วเม่ยนางออกมาจึงไม่ได้เห็นเขา ไห่กวงโดนผึ้งต่อยไปที่ใบหน้าและเนื้อตัวไม่น้อยกว่าสิบแห่ง
เสี่ยวมี่ไม่ได้สั่งให้ลูกน้องของตนต่อยเขาเพิ่มแล้ว เพียงแต่ยังไล่ตามไปจนถึงเรือนของนางไห่ซื่อ
เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ
เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม
“เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม
ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่
หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้
เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู