สายลมพาดผ่านแนวหลังคากระเบื้องเก่า ๆ เหนือหมู่บ้านที่ซุกตัวอยู่บนเนินลาดริมฝั่งทะเล ฝั่งหนึ่งคือท้องน้ำสีครามลึก ฝั่งหนึ่งคือภูผาแน่นขนัดด้วยพรรณไม้พุ่มเขียว พัดไหวรับลมเค็มกรุ่นมาจากชายฝั่ง
บ้านแต่ละหลังในหมู่บ้านทำจากปูนผสมหินและกระเบื้องหลังคาสีหม่น รั้วรอบขอบชิดล้อมบ้านเป็นแนวยาว บางบ้านยังมีกระเบื้องแผ่นเก่า ๆ ปะติดเสริมรั้วปูน เพิ่มความมั่นคงดั่งจิตใจคนทะเล
ทางเดินระหว่างบ้านเป็นซีเมนต์เก่าแตกร้าวเล็กน้อย บ้างปูด้วยหินเรียงแน่น ลัดเลาะลงไปยังแนวฝั่งที่เป็นชะง่อนหินสูงชัน ทะเลลึกโถมกระทบผาหินดังโครม ๆ อยู่ทุกคราวที่คลื่นซัดใส่
หมู่บ้านไม่ใหญ่ หากแต่เต็มไปด้วยวิถีเรียบง่าย บ้านเรือนปลูกไต่ระดับความสูงขึ้นไปตามไหล่เนิน ทว่าบ้านใดก็ไม่ห่างกันจนเกินน้ำเสียงเรียก บางบ้านยังส่งกลิ่นปลาย่างแห้ง ลอยมากับลมทะเลจาง ๆ
ตรงท้ายหมู่บ้าน คือ "บ้านโจว"
บ้านปูนหลังใหญ่ชั้นเดียว มีถึงสี่ห้อง ล้อมรั้วปูนสูงสะอาดเรียบร้อย ประตูไม้สีเข้มถูกขัดเคลือบเงาอย่างดี สวนข้างบ้านมีต้นส้มทะเล ผลเหลืองเล็ก ๆ ห้อยระย้าสวยสะดุดตา
โจวสือซานกลับมาถึงบ้านก็พบว่าพ่อแม่และลูกสาวของเขานั่งรออยู่ลานหน้าบ้าน
"พ่อ! พ่อหายไปไหนมาทั้งคืน แอบไปหาสาวมารึเปล่าน๊า.."
หนูน้อยหน่วนหน่วนวิ่งมากอดขาผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่น ก่อนจะเงยหน้ามองอย่างออดอ้อน สือซานอุ้มลูกขึ้นแนบอก กอดแน่น ๆ จนไหล่เล็กสั่นสะท้าน เขาก้มหน้าจูบหน้าผากลูกเบา ๆ แล้วพูดว่า...
"แก่แดดขึ้นทุกวันแล้วนะตัวแสบ"
"แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น? ลูกหายไปทั้งคืน มีคนเขาว่ากันว่ามีเรื่องกับบ้านหานจริงไหม?"
แม่โจวเดินเข้ามาใกล้ ถามด้วยสีหน้าหนักใจ ตอนนี้นางเหลือเพียงลูกชายกับหลานสาวเท่านั้น เรื่องไหนที่เป็นความเสี่ยงนางล้วนไม่อยากให้เกิดขึ้น
"สือซาน...ลูกไปมีเรื่องกับพวกนั้นใช่ไหม? หรือว่าถูกพวกมันทำอะไร?"
พ่อโจววางพัด หรี่ตามองลูกชายอย่างคนกำลังชั่งใจไม่ให้โมโห สือซานจึงวางลูกลง ลูบศีรษะหนูน้อยก่อนหันไปสบตาพ่อแม่ตรง ๆ
"แม่ พ่อ...เมื่อคืนผมถูกหานเวยวางยาแล้วถูกขังไว้ในบ้านหาน กับเสี่ยวหนานสองคนตลอดทั้งคืน ถึงผมไม่ได้ล่วงเกินเสี่ยวหนาน แต่น้องก็เสียหายเพราะผม...เพราะแบบนั้นผมเลยอยากให้พ่อแม่ไปสู่ขอเสี่ยวหนานให้ผมหน่อย ได้ไหมครับ?"
พ่อแม่ทั้งสองหันมาสบตากันโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าที่ตึงเครียดแปรเปลี่ยนเป็นเบาบางลง
"อย่างน้อยลูกก็ไม่คิดจะหนีปัญหา... แม่ได้ยินชาวบ้านมาเล่าให้ฟังแล้ว บ้านหานก็ช่างทำกับเสี่ยวหนานได้ลงคอ พอหมดผลประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งไม่สำนึกบุญคุณ ใช้ไม่ได้จริง ๆ"
"เสี่ยวหนานไม่ใช่คนไม่ดี หากลูกคิดจะรับผิดชอบจริง ๆ ก็ไม่มีใครว่าอะไร พ่อกับแม่จะไปสู่ขอให้" พ่อโจวพยักหน้า
ไม่ทันที่สือซานจะได้เอ่ยอะไรต่อ แม่โจวก็จูงมือหลานสาวเดินออกจากบ้าน หันหน้าไปทางบ้านของตระกูลซูด้วยท่าทีมุ่งมั่น ขณะที่พ่อโจวเดินตามพร้อมถือถุงผ้าใบหนึ่งซึ่งมีเงินสินสอดใส่ไว้ และถุงปลาแห้ง ปลาหมึกแห้งอีกหลายกิโล
"สือซาน ลูกยกถุงข้าวมา"
ผู้เป็นพ่อพยักพเยิดใบหน้าไปทางถุงข้าวสาร 20 กิโลที่เตรียมไว้ตอนรู้เรื่องจากชาวบ้าน ให้ลูกชายยกแล้วตามไปที่บ้านซู
"ครับพ่อ"
คนบ้านโจวใช้เวลาเดินเพียงไม่นานก็มาถึงบ้านซู พ่อซูที่เห็นผู้มาเยือนก็รีบต้อนรับขับสู้
"อ้าว...พี่ไห่ถัง พี่อี้เหมย มา มา เข้ามานั่งก่อน จื่ออันไปเอาเก้าอี้มาเพิ่มเร็วลูก เสี่ยวหนานเอาน้ำออกมารับแขกด้วย"
"ครับพ่อ/ค่ะพ่อ"
โต๊ะไม้กลมกลางบ้านถูกเช็ดจนเงา ขนมเปี๊ยะถูกจัดวางไว้เรียบร้อย ใบหน้าของแม่โจวดูตื่น ๆ แต่แฝงความตั้งใจจริง ส่วนพ่อโจวยกถุงอาหารแห้งขึ้นตั้งบนโต๊ะ โดยมีลูกชายยกถุงข้าวสารขึ้นวางไว้ข้างกัน
"ขอบใจมากเด็ก ๆ คืออย่างนี้นะจื่อหยาง(พ่อ นอ.) ฮุ่ยหลาน(แม่ นอ.)เรื่องวันนี้มันเร่งรีบไปหน่อย ฉันกับพ่อของสือซานคิดว่าถ้าช้ากว่านี้เดี๋ยวจะไม่ทันการ"
แม่โจวยิ้มหน้าบานแล้วล้วงซองสีแดงออกมา
"..."
"เงินค่าสินสอด… มีแปดร้อยแปดสิบแปดหยวน เป็นเลขมงคลนะ กับอาหารแห้งอีกแปดกิโล ข้าวสารยี่สิบกิโล แล้วก็นี่… ขนมเปี๊ยะร้านดังในเมือง"
"สินสอดไม่มากแต่มาจากความจริงใจของพวกเรา ฉันกับแม่ของสือซานเลยคิดว่า… จะจัดงานแต่งเลยพรุ่งนี้จะดีไหม?"
พ่อโจวเสนอความคิดเห็นท่ามกลางความมึนงงของทุกคนในบ้านซู พวกเขายังดึงสติคืนมาไม่ได้ตั้งแต่เห็นเงินค่าสินสอดมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะ
"หนูไม่อยากจัดงานค่ะพ่อ..แม่..มันเปลืองโดยใช่เหตุ หนูอยากอยู่เงียบ ๆ ไม่เอิกเกริก ไม่ต้องแห่ ไม่ต้องพิธี ขอแค่เราเข้าใจกันก็พอ…"
เสี่ยวหนานโผล่มาจากข้างหลังม่าน บิดผ้าในมือแน่นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวลแต่ชัดเจน
"เสี่ยวหนานพูดแบบนี้… ฉันก็ว่าตามลูกแล้วกันนะพี่ไห่ถัง พี่อวี้เหมย แค่รับรู้กันสองบ้านก็พอแล้ว ไม่ต้องให้ใครมานั่งวิจารณ์ให้ลูกเราเหนื่อยใจ"
แม่ซูชำเลืองตามองลูกสาวแล้วยิ้มบาง ๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะหันไปทางแม่โจว
"ผมฝากเสี่ยวหนานด้วยนะพี่ไห่ถัง พี่สะใภ้ ลูกสาวของผมถูกหักหลังเหยียบย่ำศักดิ์ศรี ขอบคุณที่พี่ไม่รังเกียจ วันข้างหน้าถ้ามีอะไรที่เสี่ยวหนานทำไม่ถูกไม่ควร ฝากพี่ทั้งสองช่วยสั่งสอนบอกกล่าว ลูกสาวของผมไม่ใช่คนดื้อดึงจนสอนไม่ได้ ช่วยเมตตาเสี่ยวหนานของพวกเราด้วย"
นัยน์ตาของผู้เป็นพ่ออัดแน่นด้วยความเป็นห่วงที่มีต่อลูกสาว ซูจื่อหยางกลัวเหลือเกินว่าอดีตของลูกสาวจะทำให้บ้านโจวรังเกียจและข่มเหง
"จื่อหยางนายไม่ต้องห่วง เสี่ยวหนานแต่งเข้าบ้านเรา เราก็จะดูแลอย่างดี วางใจเถอะ" พ่อโจวกล่าว
"ใช่ ๆ ถึงจะไม่จัดงาน แต่พิธียกน้ำชาที่ควรมีก็ยังต้องมีอยู่"
พอได้ยินแม่โจวพูดแบบนั้นจื่ออันก็รีบวิ่งไปเอากระป๋องใบชาที่มีอยู่เพียงน้อยนิดกับชุดชงชาออกมาจัดการ โดยมีพี่ชายคนโตอย่างจื่อเหิงคอยช่วยอยู่ไม่ห่าง
พอน้ำชาถูกชงแล้วรินใสถ้วยชาพร้อมแล้ว สือซานกับเสี่ยวหนานคุกเข่าลงพร้อมกันบนเสื่อผ้าทอ พื้นเย็นนิด ๆ ทว่าอบอุ่นจากแววตาผู้ใหญ่ที่มองมา
เสี่ยวหนานค่อย ๆ ยกถ้วยชาคู่แรกไปวางหน้าพ่อแม่ของตน มือเธอไม่สั่น แต่ริมฝีปากคล้ายสั่นระริกจากความตื้นตัน
"น้ำชานี้... ลูกสาวยกให้พ่อกับแม่ ขอบคุณที่เลี้ยงดูหนูมาจนเติบใหญ่ ให้โอกาสหนูได้เลือกทางเดินของตัวเอง แม้หนูดื้อพ่อกับแม่ก็ไม่เคยต่อว่า ไม่เคยถอดใจจากลูกสาวคนนี้ ถึงลูกไม่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ แต่ลูกสาวคนนี้จะไม่ทิ้งห่าง คอยส่งข้าวส่งน้ำทดแทนบุญคุณ"
แม่ซูยกถ้วยขึ้นดื่มอย่างสงบ แต่ดวงตาที่จ้องมองลูกสาวกลับแดงระเรื่อ นางรู้สึกว่าลูกสาวเติบโตขึ้นหลังจากผ่านเรื่องร้าย ๆ มา แล้วก็หวังว่าลูกจะได้เจอที่พึ่งพิงที่ดี
"น้ำชาอุ่น… แต่ใจของแม่อุ่นยิ่งกว่า แม่ขอเพียงให้ลูกมีความสุขก็พอแล้ว ฝากน้องด้วยนะสือซาน"
"ครับ ผมจะดูแลหนานหนานให้ดี"
พ่อซูรับถ้วยชาจากมือเสี่ยวหนานอย่างมั่นคง แล้วเอ่ยเสียงทุ้ม
"จากนี้ไปลูกมีพ่อแม่สองบ้าน ต้องปรนนิบัติดูแลพ่อแม่สามีให้ดีนะลูก ไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่ ฝากน้องด้วยนะสือซาน"
"ค่ะพ่อ/ครับพ่อ"
"น้ำชานี้ ผมกับหนานหนานยกให้พ่อกับแม่… ขอบคุณที่เลี้ยงดูผมมา ถึงข้าจะเป็นลูกไม่เอาไหนนัก แต่ผมจะพยายามเป็นสามีที่ดี เป็นลูกเขยที่นอบน้อม ไม่ให้ใครดูแคลนได้…"
แม่โจวรับถ้วยชาไปก่อนน้ำตาซึม มือเธอสั่นเล็กน้อยเมื่อตั้งถ้วยลงอีกครั้ง
"แม่ไม่ได้ต้องการลูกชายที่ร่ำรวยหรือเก่งกล้า… ขอแค่ลูกเป็นคนดี รักลูกเมียรักครอบครัวก็พอแล้ว"
พ่อโจวยกถ้วยชาขึ้นช้า ๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงใจ
"ตั้งแต่วันนี้ เสี่ยวหนานคือลูกสาวของบ้านโจว… พ่อแม่จะคอยดูแลเสมอ ไม่ว่าเมื่อไรก็จะรักเอ็นดูเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ของพวกเรา"
สือซานและเสี่ยวหนานก้มคำนับพร้อมกัน หลังจากเสร็จพิธีคนในบ้านโจวก็พาเสี่ยวหนานกลับไปพร้อมกันทันที
บ้านโจว
เสี่ยวหนานนั่งเล่นอยู่ใต้ร่มไม้หน้าบ้านโจว ในมือกำถ้วยน้ำชาแน่น แก้มใสร้อนผ่าวเมื่อถูกลมทะเลปะทะหน้าเบา ๆ เด็กหญิงตัวน้อยปีนขึ้นมานั่งข้าง ๆ จ้องเธอด้วยตาโตกลมใส แล้วกระซิบเบา ๆ
"พี่เสี่ยวหนาน...หนูขออะไรได้ไหม?"
"ได้สิ ว่ามาสิจ๊ะหน่วนหน่วนอยากขออะไร"
"หนูอยากให้พี่เสี่ยวหนานเป็นแม่ให้หนู...หนูคิดถึงแม่"
ถ้อยคำใสซื่อแต่น่าเอ็นดูทำให้หัวใจของหญิงสาวสะท้าน ใจที่เคยแข็งดั่งหินกลับอ่อนยวบในพริบตา
"ได้สิจ๊ะ ต่อไปนี้หน่วนหน่วนก็เรียกพี่เสี่ยวหนานว่าแม่ได้เลย"
"แม่...แม่จ๋า หน่วนหน่วนมีแม่จ๋าแล้ว เย้ ๆ"
โจวสือซานที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลได้ยินถ้อยคำของลูกสาวอย่างชัดเจน เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างลูกสาวและเสี่ยวหนาน
"ขอบคุณนะหนานหนาน"
"ขอบคุณอะไร เป็นเรื่องที่ฉันควรทำอยู่แล้ว ว่าแต่ห้องนอน..."
"จัดเสร็จแล้วครับ ป่ะ ไปดูห้องของเรากัน"
ตั้งแต่มาถึงบ้านโจว สือซานก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้เก็บห้อง เขาจึงให้เธอนั่งรออยู่ข้างนอกก่อนในระหว่างที่เขารีบเข้าไปจัดการความเรียบร้อยด้านใน
ห้าปีต่อมาห้าปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันคือปี ค.ศ. 1988 ซูจื่ออัน เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชิงหัวมาได้สักพักใหญ่แล้ว ด้วยความรู้และความสามารถที่ร่ำเรียนมา เขาได้เข้ามาช่วยงานในโรงงานของพี่สาวอย่างเต็มตัว โรงงานแห่งใหม่ ของ ซูเสี่ยวหนาน กำลังเริ่มก่อสร้างบนที่ดินที่เธอซื้อสะสมไว้ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและมีพื้นที่กว้างขวางจื่ออันใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมที่ร่ำเรียนมา วางแผนงานเกี่ยวกับเครื่องจักรในโรงงานแห่งใหม่ด้วยตัวเองอย่างละเอียด แม้โรงงานจะยังคงเน้นการใช้แรงงานคนเป็นหลัก แต่จื่ออันก็เลือกที่จะนำเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตบางส่วน เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและเพิ่มปริมาณการผลิตเที่ยงวัน ที่ร้านข้าวแกงสะใภ้ไต้ก๋งวันนี้เป็นวันเสาร์ ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาที่ ร้านข้าวแกงสะใภ้ไต้ก๋ง เพื่อกินมื้อเที่ยงกันอย่างคับคั่ง แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ร้านแห่งนี้ก็ยังคงเป็นที่นิยมของผู้คน หรือจะเรียกว่าเป็น "ขวัญใจแรงงาน" ก็ว่าได้ เพราะอาหารอร่อย ราคาถูก และบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเองเสี่ยวหนาน พาลูก ๆ และหลานชายมาช่วยงานที่ร้านข้าวแกง หน่วนหน่วนตอนนี้อายุ 13 ปี ดูแลการจัดโต๊ะช่วยคน
วันต่อมาเสี่ยวหนาน ก็พาพ่อแม่และทุกคนออกไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญในปักกิ่ง การเดินทางในครั้งนี้ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับทุกคน โดยเฉพาะพ่อซู แม่ซู พ่อโจว และ แม่โจว ที่ไม่เคยได้มาเยือนเมืองหลวงแห่งนี้มาก่อนสถานที่แรกที่พวกเขาไปคือ โรงละครอุปรากรปักกิ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่วัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิมกำลังถูกฟื้นฟู หลังยุคปฏิวัติวัฒนธรรม บรรยากาศภายในโรงละครไม้เก่าแก่เต็มไปด้วยความขลังและมนต์เสน่ห์ เสียงดนตรีพื้นเมืองบรรเลงคลอเคล้ากับการแสดงงิ้วที่วิจิตรตระการตา นักแสดงแต่งหน้าแต่งกายสวยงาม ท่าทางอ่อนช้อยงดงาม สร้างความประทับใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก雪落寒亭魂未散Xuě luò hán tíng hún wèi sànเสวี่ย ลั่ว หาน ถิง หุน เว่ย ซ่านหิมะโปรยลงบนศาลาเยือกเย็น วิญญาณยังมิยอมลาจาก天公莫笑女孤单Tiān gōng mò xiào nǚ gū dānเทียน กง ม่อ เสี้ยว หนฺ หวี่ กู ตันโอ้สวรรค์ อย่าหัวเราะหญิงผู้โดดเดี่ยว泪洒心灯照旧愿Lèi sǎ xīn dēng zhào jiù yuànเล่ย ส่า ซิน เติง เจ้า จิ้ว เยฺวียนหยาดน้ำตาหลั่งลง กลางแสงตะเกียงใจ ส่องให้คำอธิษฐานเก่าแจ่มชัดอีกครา冤枉三声唤地寒Yuān wǎng sān shēng huàn dì hánเยวียน หว่าง ซาน เซิง ฮ่วน ตี้ หาน
"ครับพี่เขย" เจ้าเด็กแฝดถูกส่งต่อให้น้าชายกับพี่ ๆ ดูแลต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกกันพักผ่อนอาบน้ำอยู่ในห้องของตัวเองแท้จริงแล้วเสี่ยวหนานแอบเก็บอาหารทะเลสด ๆ เหล่านั้นไว้ในมิติส่วนตัวของเธอ และแกล้งทำเป็นเติมน้ำแข็งตามจุดแวะพักต่าง ๆ ตลอดทาง เพื่อไม่ให้ใครสงสัยว่าทำไมอาหารทะเลถึงยังสดใหม่ราวกับเพิ่งขึ้นจากทะเลมาวันนี้เสี่ยวหนานตั้งใจทำเมนูโปรดหลายอย่างให้น้องชายได้กิน มีทั้งกุ้งอบวุ้นเส้น โจ๊กปู ซุปหอยนางรม ปลาหมึกผัดผงกะหรี่ หอยเชลล์ผัดเนย ปลานึ่งบ๊วย และที่ขาดไม่ได้คือ เป่าฮื้อนึ่งซีอิ๊ว ที่พ่อกับแม่ชอบเป็นพิเศษ โชคดีที่เธอได้บอกให้จื่ออันซื้อเครื่องปรุงและของใช้ในครัวไว้ให้ครบถ้วน ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง ทำให้การทำอาหารเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อย เสี่ยวหนานก็เตรียมอาหารส่วนหนึ่งใส่ปิ่นโตอย่างสวยงาม เพื่อนำไปมอบให้ อาจารย์เกา และครอบครัว นอกจากนี้เธอยังเตรียมอาหารทะเลสด ๆ ไม่ว่าจะเป็นปู ปลา กุ้ง และปลาหมึก หอยนางรมใส่ถังใบใหญ่แยกต่างหาก เพื่อเป็นของขวัญสำหรับครอบครัวเกาเป็นการตอบแทนน้ำใจที่ช่วยดูแลจื่ออันมาตลอด"จื่ออัน" เสี่ยวหนานเรียกน้องชาย "มาช่วยพี่ถือข
3 เดือนแล้วตั้งแต่เด็กแฝดเกิดมาในขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมและเล่นกับเด็กแฝดตัวน้อย เสี่ยวหนานสังเกตเห็นว่าหน่วนหน่วนกำลังยืนมองน้องชายด้วยแววตาที่ฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อย แม้จะดูดีใจ แต่ก็มีความกังวลบางอย่างแฝงอยู่"หน่วนหน่วนมาหาแม่เร็วเข้า ไหนดูซิว่าวันนี้ลูกสาวของแม่จ๋าอยากได้ผมทรงไหน? เอาเปียสองข้างดีไหม? หรือจะให้แม่มัดแบบหางม้า"เช้าวันเสาร์ที่เด็ก ๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน สือซานเองก็ยังไม่ยอมให้เสี่ยวหนานไปทำงาน เธอจึงพาเด็ก ๆ มานั่งเล่นอยู่ห้องรับแขก ส่วนเจ้าเด็กแฝดทั้งสองก็มีปู่ย่าคอยดูแลอาหารการกินอี้หลันก็จะให้คนงานเอามาส่งให้ ไม่ต้องให้เสี่ยวหนานเข้าครัวให้ลำบาก มีเพียงช่วงค่ำของวันที่สือซานจะพาเสี่ยวหนาขับรถเข้าไปที่ร้านเพื่อเติมของ และเข้าโรงงานบ้างสัปดาห์ละครั้งส่วนงานที่โรงงานก็มีพนักงานในสำนักงานคอยดูแลครบทุกตำแหน่งแล้ว เสี่ยวหนานจึงรอตรวจบัญชีโดยรวมที่สือซานเอากลับไปให้ที่บ้านเท่านั้น ส่วนงานอย่างอื่นก็มีจื่อเหิงและพ่อแม่คอยเป็นหูเป็นตาให้ทางด้านบ้านโจว พ่แโจวกับสือซานก็ยังรับหน้าที่ออกเรือหาอาหารทะเลเช่นเดิม ถึงจะมีเรือหลายลำที่นำของมาขายให้โรงงาน แต่พ่อโจวก็มันจะเดินเรืออ
แสงจันทร์สีนวลสาดส่องเข้ามาในห้องนอนของเสี่ยวหนานและสือซาน ส่องกระทบผ้าม่านบางเบาที่พลิ้วไหวตามแรงลม เสี่ยวหนานนั่งอยู่ริมหน้าต่าง พลางเหม่อมองออกไปยังดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า ดวงตาของเธอฉายแววครุ่นคิด ความสำเร็จทางธุรกิจในวันนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกสุขใจได้อย่างเต็มที่ ในใจของเธอเต็มไปด้วยคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับชะตาชีวิตของตัวเอง"นี่ฉันแย่งชะตาชีวิตคนอื่นมารึเปล่า?" เสี่ยวหนานพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เสียงของเธอแทบจะกลืนหายไปในความเงียบของราตรีเธอหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด เธอจำได้ว่าเดิมทีเธอเป็นเพียงผู้อ่านนิยายที่ยังอ่านไม่จบเรื่องหนึ่ง แต่จู่ ๆ เธอก็ถูกดึงเข้ามาอยู่ในโลกของนิยายเรื่องนี้ และสวมรอยเป็นตัวละครที่มีชื่อว่า ซูเสี่ยวหนาน ซึ่งตามบทบาทเดิมแล้วเป็นเพียงตัวละครรองที่จะถูกสลัดทิ้งหลังจากที่ตัวร้ายอย่าง หานเจา ได้สมหวัง และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ นางเอกของเรื่องคือ ไป๋ลี่เหยา คนที่จะต้องได้แต่งงานกับ โจวสือซาน พระเอกของเรื่องและเป็นสามีของเธอในตอนนี้เสี่ยวหนานถอนหายใจยาว ในฉบับนิยายเดิม ซูเสี่ยวหนาน ตัวจริงจะต้องฆ่าตัวตายเพราะทนรับความจริงไม่ได้ ครอบครัวข
ที่โรงพยาบาล ทันทีที่รถของสือซานจอดสนิทที่ทางเข้าห้องฉุกเฉิน บุรุษพยาบาลก็รีบเอารถเข็นมารับร่างของคนป่วย แล้วพาเสี่ยวหนานเข้าไปยังห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ทีมแพทย์และพยาบาลเข้ามารับช่วงต่อทันที พวกเขาพยุงร่างของเสี่ยวหนานขึ้นนอนบนเตียงเข็น และพาเธอเข้าไปในห้องตรวจ หลังจากเก็บรถเสร็จสือซานก็รีบมายืนรออยู่หน้าห้องอย่างกระวนกระวายใจ หัวใจของเขาบีบรัดแน่นด้วยความกลัวว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นเสี่ยวหนานไม่นานนัก แพทย์หญิงท่านหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องตรวจด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน สือซานรีบปรี่เข้าไปหาทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล "คุณหมอครับ ภรรยาผมเป็นยังไงบ้างครับ เสี่ยวหนานเป็นอะไรมากหรือเปล่า" น้ำเสียงของเขาสั่นเครือคุณหมอยิ้มให้สือซานอย่างใจเย็น "ไม่ต้องห่วงค่ะคุณโจว ภรรยาคุณแค่เหนื่อยล้ามากเกินไป พักผ่อนน้อยไปหน่อยค่ะ"สือซานถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยอะไร คุณหมอก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นเล็กน้อย "...""แต่ต่อจากนี้ไปคุณต้องระวังให้มากนะคะ ดูแลเธอให้ดี อย่าให้เธอทำงานหนักเด็ดขาดเลย เพราะยังมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในท้องค่ะ"คำพูดของคุณหมอทำให้สือซานอ้าปากค้