แชร์

พาลูกและสามีกลับบ้านแม่(2)

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-06 20:30:12

“แม่ครับผมกับพ่อกลับมาแล้ว” เสียงพี่ชายของซูเหยาร้องตะโกนอยู่หน้าบ้าน

ทางซูเหยาและครอบครัวยังไม่ได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นจากหน้าบ้าน ซูเหยาจำได้ว่าเป็นเสียงของหนึ่งในพี่ชายทั้งสาม

“เดี๋ยวผมไปเปิดเองครับ” มู่หานพูด แล้วเขาก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไป

“สวัสดีครับทุกคน” มู่หานกล่าวทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงสุภาพ

สมาชิกในบ้านซูรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาเห็นว่าคนมาเปิดประตูคือมู่หาน เขาจึงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าหรือว่าเสี่ยวเหยาของพวกเขาก่อเรื่องอีก

“อาเหยามาด้วยหรือเปล่า” ซูป๋อถามลูกเขย พร้อมกับที่เขาได้เดินนำทุกคนเข้าบ้านไป โดยไม่คิดจะฟังคำตอบของลูกเขยที่เขาเคยคัดค้านเรื่องการแต่งงาน

“มาครับ อยู่ด้านใน” มู่หานที่เดินคู่กับพ่อตาตอบ พ่อและพี่ชายที่ได้ยินว่าน้องสาวของตนกลับมาด้วยก็ดีใจ

ยกเว้นสะใภ้ทั้งสองของบ้าน สีหน้าดูไม่ดีนักที่รู้ว่าน้องสาวจอมแสบของสามีกลับมา แต่พวกเธอจะทำอะไรได้กันล่ะ ทั้งสองจึงได้หันหน้าเข้าหากันอย่างคนเข้าใจกันเพียงเท่านั้น

ซูเหยากับเด็กสองคนที่กำลังรอมู่หานอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ก็ได้เห็นพ่อของร่างนี้เดินนำหน้าบรรดาพี่ชายของเธอเข้ามา  แล้วจึงตามมาด้วยมู่หาน

“ให้ลูกและหลานกินข้าวกันก่อนค่อยคุยกันทีเดียว” หว่านชิงพูดออกมา ก่อนที่สามีและลูกชายทั้งสามจะถามอะไรออกมาเสียก่อน

เมื่อเธอเห็นสีหน้าที่ไม่เก็บอาการของคนทั้งสี่ ซูเหยาเองก็เห็นใบหน้าที่แสดงถึงความรัก ความห่วงใยของพ่อและพี่ชายทั้งสามที่ฉายชัดออกมาได้อย่างชัดเจน

“ได้ถ้าอย่างนั้นลูกก็กินข้าวก่อนเถอะ พ่อกับพี่ๆ จะไปรอที่ห้องโถง” ซูป๋อเป็นคนกล่าว ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินนำลูกชายทั้งสามออกไปรอลูกสาวตามที่บอกไว้

และหลังจากที่สมาชิกสี่คนของซูเหยากินข้าวเสร็จแล้ว เธอจึงได้พามู่หานออกไปกับเธอ โดยได้รบกวนผู้เป็นแม่ให้ช่วยดูแลลูกชายหญิงทั้งสอง

“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นลูก/น้องเล่าออกมาให้หมด” พ่อและพี่ชายสามคนถามลูก/น้องสาวคนเล็กของบ้านอย่างสงสัย เมื่อซูเหยากับมู่หานเดินเข้ามานั่งอยู่กับพวกเขา ซูเหยาจึงได้เล่าเรื่องทุกอย่างออกมา

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ลูกกับมู่หานก็ตัดขาดจากบ้านหลังนั้นเรียบร้อยแล้ว” ซูป๋อถามออกมาอีกครั้งเมื่อฟังเรื่องทั้งหมดจบลง

“เรื่องสร้างบ้านไม่ต้องห่วงหรอก ลูกจะเอาใหญ่แค่ไหนก็ได้พ่อกับพี่ๆ จะจัดการให้” ซูป๋อบอกกับลูกสาวอีกครั้ง เพราะทุกวันนี้เขากับลูกชายทำอาชีพเป็นช่างสร้างบ้านกันอยู่แล้ว

แต่ซูเหยาก็ยังคงไม่พูดอะไร เนื่องจากเธออยากจะบอกเรื่องการปฏิวัติให้กับครอบครัวรับรู้ด้วย แต่ตอนนี้เธอคิดว่าควรจะต้องปรับความเข้าใจกับพี่สะใภ้ทั้งสองของตนเสียก่อนเพราะการปรองดองอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคีคือดีที่สุด

“พี่สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองฉันต้องขอโทษที่ในอดีตฉันทำตัวไม่ดีกับพี่เอาไว้ ต่อไปนี้ฉันจะเป็นคนใหม่ หวังว่าพี่ทั้งสองจะไม่โกรธเคืองและยกโทษให้กับฉัน” ซูเหยาหันไปพูดกับพี่สะใภ้ทั้งสองพร้อมกับโค้งตัวคำนับ 

เมื่อเธอตัดสินใจดีแล้ว เพราะพี่สะใภ้ทั้งสองของร่างนี้ก็เป็นคนดี และได้ตัดขาดจากครอบครัวบ้านเดิมอย่างเด็ดขาดแล้ว สะใภ้ใหญ่ฟางหรงกับสะใภ้รองลี่มี่ถึงกับตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกับการเปลี่ยนแปลงของน้องสามีในยามนี้

เพราะตั้งแต่ที่เธอสองคนแต่งเข้ามาในครอบครัวซู ก็มีแต่    ซูเหยาคนเดียวที่ดูถูกพวกเธอสารพัดว่าไม่มีการศึกษาบ้าง ผู้หญิงบ้านนอกบ้าง

บ้านเดิมของพวกเธอสองคนห่างไกลจากที่นี่ไปไกลมาก และก็เป็นหมู่บ้านในหุบเขาที่มีสภาพความเป็นอยู่ยากจนเธอกับลี่มี่ได้หนีออกจากบ้าน เพราะจะโดนขายโดยพ่อแม่แท้ๆ

เธอสองคนได้หนีมาจนถึงเมืองนี้ และรับจ้างทำงานหลายอย่าง จนได้มาเจอกับสามี ตอนที่ซูเหยาเห็นเธอสองคนหล่อนก็มองพวกเธอด้วยความรังเกียจ

สามีก็ได้แต่ปลอบใจ บอกว่าเพราะน้องยังเด็กและถูกตามใจจนเคยตัว อย่าถือสาน้องเล็กเลย พวกเธอสามคนมักจะปะทะกันเป็นประจำ แต่มาวันนี้พวกเธอกลับได้รับคำขอโทษ

“พี่ฟางหรงคะพี่ยินดียกโทษให้ฉันไหม เพราะพี่สะใภ้รองได้กล่าวยกโทษให้เธอแล้ว” ซูเหยาถามกับพี่สะใภ้คนโตออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“ดะ..ได้สิ พี่เองก็ผิดเหมือนกัน” ฟางหรงที่กำลังคิดเรื่องอดีตก็พูดออกมาอย่างยินดี เพราะเธอและลี่มี่ก็ไม่มีที่ไหนให้ไปนอกจากอยู่บ้านหลังนี้

ถ้าทุกคนในบ้านอยู่ด้วยความสามัคคีกันได้ ย่อมที่จะดีกับทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน ส่วนบ้านเดิมที่เลวร้ายแบบนั้นชาตินี้ทั้งชาติเธอก็ไม่คิดจะกลับไป

“พี่ชายใหญ่ไปตามแม่ออกมาฟังด้วยเถอะค่ะ ฉันจะได้พูดทีเดียว” ซูเหยากล่าวออกมาหลังจากเมื่อเธอได้ปรับความเข้าใจกับพี่สะใภ้ทั้งสองแล้ว ซูเฉินหลงหายไปไม่นานก็มีหว่านชิงกับเด็กน้อยเดินตามมาด้วย

“หนูมีเรื่องสำคัญมากๆ จะบอก ดังนั้นทุกคนต้องไปปิดประตูหน้าต่างให้หมดทุกบาน แล้วอย่าเพิ่งแย้งอะไรออกมาโดยเด็ดขาด” ซูเหยากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงจังไม่มีวี่แววล้อเล่นใดๆ ทั้งสิ้น

“สำคัญมากเลยเหรอลูก” หลินหว่านชิงถามออกมาด้วยความกังวล

“แม่คะตอนนี้ตายายและลุงอยู่ต่างประเทศกันใช่ไหมค่ะ”    ซูเหยาถามแม่ เนื่องจากในนิยายได้บรรยายเรื่องครอบครัวของซูเหยาไว้สั้นๆ ว่าคนในครอบครัวได้พากันอพยพไปอยู่ต่างประเทศช่วงก่อนเกิดการปฏิวัติ แล้วเกิดเรือล่มทำให้ทุกคนสูญหายไปกับทะเล

“ใช่ลูก ตากับยายแก่แล้วคงไม่กลับมาแล้วล่ะ” หว่านชิงตอบกลับลูกสาวด้วยความสงสัย

“เรื่องที่หนูบอกมันสำคัญมากถึงกับตายได้เลย หากมีคนแพร่งพรายเรื่องในวันนี้ออกไป” ซูเหยาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

“มู่หาน คุณพาเด็กๆ ออกไปก่อนนะคะ แล้วคืนนี้ฉันค่อยบอกกับคุณ” ซูเหยาบอกกับสามีในนาม

“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิง หนูออกไปกินขนมกับพ่อก่อนนะ เดี๋ยวน้าจะออกไปหาทีหลัง” ซูเหยาหันมาพูดกับเด็กทั้งสองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซึ่งผิดกับที่พูดกับคนเป็นพ่อลิบลับ

“ครับ/ค่ะ” เด็กน้อยตอบรับอย่างเชื่อฟัง

“หนูจะบอกกับทุกคนว่าปีหน้าจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้น        โดยทางรัฐจะล้มล้างวัฒนธรรมเก่าๆ ในอดีตทั้งหมดเครื่องประดับต่างๆ จะไม่มีค่า

อาหารจะขาดแคลน ไม่ให้มีการทำอาชีพอิสระ ค้าขายไม่ได้ ทุกอย่างจะถูกควบคุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และห้ามนับถือเทพรวมทั้งโชคลางต่างๆ ทั้งหมดด้วย

ดังนั้นหนูอยากให้ครอบครัวของเราเก็บของเก่าหรือของมีค่าทั้งหมดทุกอย่างเอาไว้ในห้องลับของบ้าน และถ้าเป็นไปได้ให้ปิดบ้านหลังนี้ไปก่อน

แล้วย้ายไปอยู่ยังชนบทเป็นระยะเวลาสิบเอ็ดปี” ซูเหยากลั้นใจพูดออกมา พร้อมกับมองหน้าคนในครอบครัวตอนนี้

“พ่อว่าแล้วเห็นเพื่อนพ่อบางคนเริ่มซื้อที่ในชนบทเพื่อไปปลูกบ้านหลังคามุงหญ้ากัน พ่อเองนึกสงสัย เมื่อลองถามก็ได้คำตอบว่าเปลี่ยนบรรยากาศ”

ซูป๋อแม้จะตกใจที่ได้ยินจากปากลูกสาว แต่เขาคิดว่าเรื่องที่ลูกพูดมีความเป็นไปได้มากทีเดียว

“ว่าแต่หนูรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน มีใครมาบอกกับลูกหรือเปล่า” ซูป๋อแม้เขาจะมีความระแคะระคายมาก่อน แต่เขาก็อยากถามกับลูกออกมาให้แน่ใจ เผื่อคนที่มาบอกคิดไม่ดีจะได้หาทางป้องกันเอาไว้

“หากหนูจะบอกว่าเจ้าแม่หวังหมู่มาเข้าฝันบอกหนู ทุกคนจะเชื่อหนูไหมคะ” ซูเหยาพูดออกมาเพราะเธอรู้ว่าครอบครัวนี้นับถือเทพเจ้า

“เชื่อ” ทุกคนตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง

“แต่เมื่อไรที่เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติ ทุกคนห้ามลืมว่าจะต้องไม่ทำตัวนับถือเทพเจ้านะคะ ไม่อย่างนั้นเราจะโดนทหารแดงจับ” ซูเหยากล่าวย้ำออกมาให้คนในครอบครัวฟังอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้แม่ว่าให้พ่อและพี่ๆ ของลูกไปซื้อที่ดินในหมู่บ้านของลูกไว้ก่อนดีกว่า แล้วเราก็ค่อยๆ ทยอยไปสร้างบ้าน หากมีใครถามก็บอกว่าแม่อยากจะมาอยู่กับลูกและหลานๆ” หวานชิงพูดความคิดของตน

“ก็ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพ่อไปกับมู่หานนะ ลูกก็เอาเด็กๆ มาอยู่กับแม่ที่นี่เลยแล้วกัน และเราค่อยกลับไปหมู่บ้านนั้นพร้อมกัน จะได้ไม่มีใครมารังแกลูกกับหลานอีก” ซูป๋อสั่งความกับลูกสาว

“ถ้าอย่างนั้นแม่กับหนูก็ช่วยกันเก็บของเถอะค่ะ แต่ถ้าแม่ไว้ใจหนู หนูจะเป็นคนเก็บเอาไว้ให้ พอหลังจากสิบเอ็ดปีหนูจะเอาของทั้งหมดที่เก็บไปออกมาคืน” ซูเหยาพูดกับแม่ตามตรง

ของมีค่าจะเก็บไว้ที่ไหนปลอดภัยที่สุด ก็เก็บเอาไว้ในมิตินะสิ แต่เธอไม่คิดจะบอกเรื่องมิติเด็ดขาด ขอเก็บไว้เป็นความลับกับตัวเองนะดีแล้ว

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่หก สามหนุ่มหล่อแห่งเมืองหลวงผู้แตกต่าง

    หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่ห้า สองพี่น้องผู้โดดเดี่ยว2

    ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่ห้า สองพี่น้องผู้โดดเดี่ยว1

    หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สี่ กลิ่นคาวเลือดก่อเกิดรัก 2

    ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สี่ กลิ่นคาวเลือดก่อเกิดรัก 1

    ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สาม แม่คุณจะรับฉันได้จริง ๆ เหรอ 2

    มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status