อยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้มีคนต้องการซื้อ” ซูป๋อรีบถามลูกสาวออกมาด้วยความรีบร้อน
“ห๊ะ! พ่อว่ามีคนมาขอซื้ออาหารเช้าของบ้านเราอย่างนั้นเหรอคะ อย่างนี้จะรออะไรล่ะคะ ก็ขายไปเลยสิคะพ่อ” ซูเหยาร้องขึ้นด้วยความตกใจในตอนแรก แต่เมื่อเธอคิดว่ามีคนเอาเงินมาให้ถึงบ้านก็ขายสิคะถูกไหมล่ะ
“พ่อคะ พ่อไปบอกกับคนที่ต้องการซื้อว่าให้รอสักครู่นะคะรับรองหนูมีพอให้กับทุกคนแน่นอน” ซูเหยาพูดออกมา
ดีนะที่เธอมีมิติ เพราะมิติที่ว่าใจร้ายก็ยังใจดีกับเธอบ้าง เธอเพิ่งได้รู้จากเจ้าของเสียงไร้อารมณ์ในมิติว่า ถ้าเป็นของที่เธอลงมือทำเองจะสามารถเพิ่มได้จนถึงหนึ่งร้อยชิ้น
โดยเธอต้องใส่สินค้าในตะกร้ารอขาย แล้วหลังจากนั้นก็กดเพิ่มจำนวนเอา แต่ได้เพียงอย่างละร้อยชิ้นต่อวันเท่านั้น
ซึ่งแค่นี้มันก็ดีมากแล้ว สำหรับการที่เธอจะต้องอยู่ในยุคที่อดอยากแบบตอนนี้ ที่กำลังจะเป็นปีอดอยากของแท้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าของจริง
ดังนั้นการขายอาหารเช้าหน้าบ้านจึงได้เกิดขึ้น โดยเธอได้สั่งให้มู่หานกับพี่ชายอีกสองคนไปช่วยกันยกโต๊ะยาวออกมาหน้าบ้าน
ส่วนเธอกับแม่และพี่สะใภ้ทั้งสอง ก็มาช่วยกันยกลังนึ่งซาลาเปาและขนมจีบ ส่วนหม้อน้ำเต้าหู้ได้พ่อเป็นคนช่วยยกออกมาให้
‘ว่าแต่น้ำเต้าหู้จะใส่อะไรกัน’ ซูเหยานิ่งคิดไปสักพัก เธอไม่แน่ใจว่าในห้างของเธอมีร้านไหนได้ขายสินค้าเกี่ยวกับแก้วไม้หรือเปล่า ลองคิดดูก็ไม่เสียหายนี่นา
“อาเหยาละ..ลูกไปเอาแก้วไม้พวกนี้มาจากไหนกัน” หว่านชิงถามลูกสาวออกมาด้วยความตกใจ
“เจ้าแม่ซีหวังหมู่ท่านให้พรลูกมาค่ะ แต่ท่านให้ลูกต้องพยายามด้วยตัวเองก่อนถ้าขาดเหลือจริงๆ ค่อยขอพรจากท่าน” ซูเหยาตอบแม่ออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ฝ่ามือนั้นชื้นเหงื่อไปหมดแล้ว
‘แถคะ นังเหยางานนี้ต้องแถอย่างเดียว ต้องเอาตัวรอดให้ได้ หวังว่าแม่ของเธอจะไม่คิดว่าเธอเป็นแม่มดแล้วให้คนมาจับเธอไปเผาหรอกนะ’ ซูเหยาคิดอย่างเหงื่อตก
“ขอบคุณเจ้าแม่ ขอบคุณที่กรุณาครอบครัวของลูก” เสียงของหวานชิงที่หันไปทางทิศตะวันตกพูดขึ้นพร้อมกับก้มหัวคำนับเจ้าแม่ซีหวังหมู่ไปด้วย
‘รอดตัวไปแล้วนังเหยา ต่อไปนี้จะต้องระวังให้มากกว่านี้เสียแล้ว’ ซูเหยาอดพูดกับตัวเองออกมาอีกครั้งไม่ได้พร้อมกับปาดเหงื่อบนหน้าผากเนียนของตน
“แม่ พวกเรารีบกันเถอะค่ะ หนูได้ยินเสียงคนเริ่มดังขึ้นอีกครั้งแล้ว” ซูเหยารีบพูดกับแม่ของตนที่กำลังยืนสงบนิ่งด้วยความศรัทธาต่อเจ้าแม่อยู่อย่างนั้น
“ช่วยเข้าแถวกันด้วยนะครับ/คะ แบ่งเป็นสองแถวเลยค่ะ/ครับ” เสียงเด็กหญิงและเด็กชายตัวน้อยช่วยกันบอกผู้คนที่ต้องการซื้ออาหารเช้าแสนอร่อยของแม่เลี้ยงกันอย่างแข็งขัน
“โอ้เด็กน้อยช่างขยันและน่ารักเสียจริง” ชายร่างอ้วนที่ยืนด้านหน้าเป็นคนแรก พูดชมเจ้าเด็กน้อยแสนน่ารักที่ตนเห็น
“มาแล้วค่ะ อาหารเช้าแสนอร่อยของบ้านซู ที่ทุกท่านอยากลิ้มลอง วันนี้มีน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ซึ่งเหมาะกับช่วงเวลาที่อากาศเริ่มเย็นแบบนี้
และหากท่านได้กินกับซาลาเปาขาวอวบนุ่มเข้าไปด้วยกัน หลังจากนั้นตบท้ายด้วยขนมจีบลูกโตสูตรลับเฉพาะของบ้านเรา
รับรองว่ามื้อเช้าของท่านจะเป็นมื้อที่พิเศษอย่างแน่นอน” ซูเหยาพูดชวนเชื่อออกมา พร้อมกับเปิดหม้อของน้ำเต้าหู้และฝาลังนึ่งซาลาเปาออก
“โอ้หอมมาก” ชายอ้วนที่อยู่ด้านหน้ารีบสูดเอากลิ่นหอมของซาลาเปาเข้าปอดของตนทันที
“แม่ค้าอาหารพวกนี้ขายยังไง” ชายอ้วนถามกับซูเหยาด้วยความสุภาพ แม้เขาจะอยากกินมากแค่ไหน เขาก็ต้องเก็บอาการเอาไว้ก่อนเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาว
“ซาลาเปาไส้หมูสับเห็ดหอมลูกโตขายสองลูกหนึ่งเหมาค่ะ ขนมจีบสามลูกสองเหมา ส่วนน้ำเต้าหูขายแก้วละห้าเฟิน ถ้าครั้งต่อไปนำแก้วมาด้วย ก็เหลือสามเฟินค่ะ จะรับอะไรดีคะคุณลูกค้า” ซูเหยาถามกับลูกค้าด้วยน้ำเสียงสุภาพไพเราะ
“ราคาพอสมเหตุสมผลอยู่ เพราะแรงงานขั้นต่ำทุกวันนี้ในเมืองตกวันละห้าเหมาต่อวันเพียงเท่านั้น ยกเว้นพวกคนทำงานประจำ จะอยู่ที่ยี่สิบหยวนต่อเดือน
ผมเอาซาลาเปาหกลูก ขนมจีบหกลูก น้ำเต้าหู้หนึ่งแก้วเอามาลองกินดูก่อนครับ” ชายอ้วนสั่งกับแม่ค้าคนงาม ที่ตอนนี้ก็เริ่มหยิบของที่ลูกค้าส่งให้ทันที
ชายอ้วนรีบรับเอาของที่ถูกห่อกระดาษมาถือไว้พร้อมกับส่งเงินให้กับแม่ค้าคนงามตามราคาสินค้าที่ตนซื้อ
“รับเงินมาพอดีนะคะ ขอให้กินให้อร่อยค่ะ ลูกค้าท่านต่อไปเชิญค่ะ” เสียงหวานๆ ของซูเหยากล่าวขอบคุณลูกค้าพร้อมกับถามลูกค้าคนต่อไปทันที
ชายอ้วนเขาไม่ได้ไปไหนไกลจากแถวที่ยืนอยู่เลยสักนิดเพราะตอนนี้เขาได้หาที่วางห่อของกินในมือ พร้อมกับหยิบซาลาเปาขึ้นมากัดเป็นคำแรก
“อร่อย นี่มันอร่อยเกินไปแล้ว” ชายอ้วนพูดขึ้นมาอย่างเสียงดังหลังจากที่เขาได้กัดซาลาเปาคำแรกลงไป โดยที่มุมปากของเขายังมีความมันจากการกัดไส้ซาลาเปาที่อัดแน่นอยู่เลย
“โอ้ไส้แน่นมาก มีเห็ดหอมและต้อนหอมด้วย อืมราคานี้คุ้มแสนคุ้ม” ชายอ้วนพูดชมในสิ่งที่ตนกินเข้าไปออกมา หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่เจ้าขนมจีบตรงหน้าว่ามันควรกินยังไง
“คุณลุงครับ ลุงต้องจิ้มกับซอสเปรี้ยวสีดำแบบนี้รับรองมันอร่อยมาก” เสี่ยวเฟยตัวน้อยเมื่อเห็นคุณลุงที่พูดชมเขากำลังมองขนมจีบอยู่ เขาก็เลยเดินเข้ามาบอกกับลุงด้วยความหวังดี
ชายอ้วนเมื่อได้ยินที่เด็กน้อยหน้าตาน่าเอ็นดูพูดแบบนี้ เขาก็เลยลองทำตาม หลังจากจิ้มซอสที่ว่าแล้ว เขาก็เอาสิ่งนี้เข้าปากคำโต และหลังจากที่ฟันของเขากัดกระทบเข้ากับขนมจีบ
เขาก็ได้รับรู้ถึงความชุ่มฉ่ำของน้ำที่หมักอยู่กับเนื้อที่ถูกแป้งบางได้ห่อหุ้มเอาไว้ เขาหลับตาค่อยๆ เคี้ยวสิ่งที่อยู่ในปากอย่างช้าๆ
“อร่อยมาก พ่อค้าน้อยไว้ลุงจะมาอุดหนุนหนูทุกวันเลยนะ” ชายอ้วนพูดกับเสี่ยวเฟย พร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความชอบใจ และหลังจากที่เขากินซาลาเปากับขนมจีบเข้าไปอย่างละลูก ตอนนี้น้ำเต้าหูก็เริ่มอุ่นๆ ทำให้เขาดื่มมันได้ง่ายขึ้น
“โอ้ยเจ้าน้ำขาวนี่ก็อร่อยเหมือนกัน คนบ้านนี้ช่างน่าอิจฉาเสียจริง เอาล่ะพรุ่งนี้ผมจะมาอุดหนุนใหม่นะครับ ลุงไปก่อนนะ” ชายอ้วนเมื่อเขาได้กินสิ่งที่พอใจครบแล้ว เขาก็บอกลากับคนบ้านซูและเจ้าตัวน้อยเสี่ยวเฟย
ผู้คนที่ตอนแรกต่างลังเลในราคา ตอนนี้ก็ได้เลิกลังเลกันแล้วและก็หันมาสั่งอาหารเช้าตามชายอ้วนนั้นกันทุกคน
สมาชิกครอบครัวซูต่างก็ช่วยกันหยิบสินค้าที่ลูกค้าต้องการทันที จนลูกค้าคนสุดท้ายจากไป
ซูหลงก็เดินไปปิดประตู้หน้าบ้าน หลังจากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันคนละไม้ละมือล้างของเก็บของให้เรียบร้อย
ตอนนี้เหล่าสมาชิกทุกคนภายในบ้านได้มานั่งมองกองเงินที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาในวันนี้กันแล้ว ด้วยความทึ่งกับการขายของที่ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง
“วันนี้แค่ช่วงเวลาเช้า ยังไม่ถึงชั่วโมงเราขายได้เงินยี่สิบเอ็ดหยวนค่ะ” ซูเหยาเมื่อเธอนับเงินแล้วจึงพูดออกมาให้กับทุกคนได้ฟัง
คนในบ้านเมื่อได้ยินสิ่งที่ซูเหยาพูดเขาก็ตกใจออกมา ‘นี่มันเป็นรายได้ที่ได้มากกว่าแรงงานขั้นต่ำในเมืองตอนนี้เสียอีกลูก/น้องสาว/ภรรยา ของพวกเขาช่างเก่งกาจเสียจริง’ พวกเขาต่างก็คิดเหมือนๆ กัน
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว