หนึ่งปีต่อมา...
ตลอดระยะเวลาที่ไว้ทุกข์ให้ลี่เหยาถิง เหอหย่งหมิงไม่อาจบอกได้ว่า ตัวเขารู้สึกเช่นไร
ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ว่าความอึดอัดในโพรงอกคืออะไร
ชายหนุ่มมีบุคลิกที่เงียบขรึมอยู่แล้วเป็นทุนเดิม กลับเคร่งขรึมเย็นชามากกว่าเดิมมากโข จนคนรอบข้างรู้สึกได้ หากแต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกอันใด
เขายังคงไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นอะไรไป
ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย...
เมื่อพ้นช่วงที่เหอหย่งหมิงต้องไว้ทุกข์ให้ลี่เหยาถิงครบหนึ่งปีแล้ว
เขาจึงตบแต่งเพ่ยจีเข้าจวนมา
เนื่องจากเจี้ยนหยางฉีฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้แต่งๆ กันไปเสีย คล้ายประชดประชันแทนหลานสาวที่ตายจาก โดยมิได้ออกราชโองการแต่อย่างใด พระองค์เพียงตรัสด้วยสุรเสียงเย็นชาว่า ‘ถิงเอ๋อร์อุตส่าห์ฆ่าตัวตายเพื่อเปิดทางให้ถึงเพียงนี้ หากพวกเจ้าไม่แต่ง เห็นทีการตายของนางคงเสียเปล่า’
เหอหย่งหมิงได้ฟัง หัวคิ้วก็กระตุกไม่หยุด แม้เขาจะบอกว่าตัดสัมพันธ์กับเพ่ยจีไปแล้ว ก็หาได้เป็นผลไม่
อีกทั้งเพ่ยจีเองก็นัดพบเขาเพื่อรบเร้าออดอ้อนและทวงสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อครั้งก่อนที่เขาจะแต่งลี่เหยาถิง
เมื่อมีรับสั่งทางอ้อมจากองค์เหนือหัวและคำมั่นกับนางที่ต้องรักษา เหอหย่งหมิงจึงแต่งเพ่ยจีเข้าจวนมาด้วยเหตุนี้
การแต่งงานจึงเกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายและเงียบเชียบ
ทั้งสองได้อยู่กินกันเป็นสามีภรรยาอย่างมีความสุขแบบผัวเดียวเมียเดียว
ทว่าการอยู่ร่วมกันเจอหน้ากันนับได้ว่าน้อยนัก
เพราะฮ่องเต้มักจะมีรับสั่งให้เหอหย่งหมิงไปปฏิบัติภารกิจอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าบ้านเมืองจะสงบสุขดี ไร้ศึกรุกรานจากต่างแคว้น แต่แม่ทัพเหอกลับมีภารกิจรัดตัว แทบมิได้กลับจวน
เรื่องนี้ฮ่องเต้ทรงมีเวลาว่างจากงานราชกิจมากลั่นแกล้งอดีตหลานเขยได้รื่นรมย์นัก
เพราะการที่คนรักกันมิได้แต่งงานนั้น นับได้ว่าทรมานมากแล้ว หากแต่สามีภรรยาที่ได้แต่งงานกันแล้วแต่มิได้อยู่ด้วยกันเล่า จักทรมานเพียงใด!
เรื่องนี้เหอหย่งหมิงนั้น พอจะรู้พระทัยองค์เหนือหัวอยู่บ้างก็ได้แต่ทำใจ หาได้ร้อนรนกระวนกระวายอันใดไม่
แต่กระนั้น ชายหนุ่มก็พึงใจในตัวภรรยาสาวอยู่ไม่น้อย เพราะนางคอยดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี ด้วยกิริยาอ่อนหวานและท่าทางอ่อนโยนอยู่เสมอ
ทุกครั้งที่เขาเสร็จสิ้นภารกิจตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายและเดินทางกลับจวน เขาจะให้คนมาแจ้งแก่เพ่ยจีว่าจะกลับจวนเมื่อใด นางก็จะมายืนรอรับเขาอยู่หน้าประตูทุกครั้งไป
เมื่อเข้าห้องมายังมีผ้าปัก ภาพวาด กาพย์ กลอนหวานซึ้งคอยเอาใจ ทำให้เขารื่นรมย์อยู่ไม่น้อย
ทั้งผ้าปัก ภาพวาด และกาพย์กลอนล้วนตรึงใจเขายิ่งนัก สิ่งของเหล่านี้ คล้ายกับผูกมัดใจเขาโดยไม่รู้ตัว
กระทั่งวันหนึ่งเมื่อเขากำราบชนเผ่านอกรีตได้เป็นผลสำเร็จ ฮ่องเต้ก็ทรงมอบรางวัลเป็นสาวงามให้เขาถึงสองนาง ด้วยเหตุผลที่ว่า จวนแม่ทัพเหอ ยังไม่มีข่าวดีเรื่องทายาทเสียที
เหอหย่งหมิงตอบรับพระเมตตาเป็นอย่างดี ทั้งยังดูแลสาวงามทั้งสองอย่างดีเช่นกัน
โดยการถามความสมัครใจกับสาวงามว่าจะอยู่อย่างไร้ความหมายที่หลังเรือนไปจนตายหรือจะออกไปใช้ชีวิตอิสรเสรีข้างนอก
เรื่องนี้ไม่บอกก็รู้ว่าเหล่าสาวงามจะตอบเช่นไร ด้วยเห็นเต็มสองตาว่าท่านแม่ทัพรักภรรยามากเพียงใด
ถึงแม้สตรีทั้งสองจะนึกขัดใจอยู่บ้าง เพราะแอบพึงใจในความหล่อเหลากร้าวแกร่งของแม่ทัพเหอไม่น้อย
แต่เมื่อรูปการเป็นเช่นนี้ การเลือกบุรุษคงมิใช่เรื่องดี เลือกอิสรเสรีพร้อมเงินก้อนใหญ่จึงนับว่าฉลาดกว่ามาก
เมื่อการเจรจาสำเร็จ เหอหย่งหมิงจึงซื้อบ้านพร้อมกิจการค้าขายเล็กๆ ให้พวกนางอยู่นอกจวน
เมื่อฮ่องเต้ทรงรับรู้ก็เรียกไปถามไถ่ เขาก็เพียงทูลว่า
“ฝ่าบาททรงมอบพวกนางให้กระหม่อม เป็นสมบัติของกระหม่อมแล้วอย่างเต็มตัว กระหม่อมย่อมต้องจัดการดูแลสมบัติของกระหม่อมให้อยู่ในที่ในทางเป็นอย่างดี”
“อีกอย่างก็คือ พวกนางประสงค์ให้กระหม่อมทำเช่นนี้ กระหม่อมย่อมเอาใจสาวงามพ่ะย่ะค่ะ”
นั่นคือการแสดงความรักต่อภรรยาหนึ่งเดียวของเขา
ซึ่งไม่ว่าผู้ใดได้เป็นภรรยาของเขาก็ตาม ก็จักได้รับการดูแลเช่นนี้นั่นล่ะ! หากแต่ใครบางคนกลับใจร้อนบุ่มบ่ามไร้ความคิด ปลิดชีพตนอย่างโง่เง่า!
เมื่อฮ่องเต้ได้รับฟังก็ทรงเคืองพระทัยไม่น้อย ถึงแม้พระองค์จะไม่อาจยุ่งเรื่องหลังเรือนของจวนผู้ใดได้ ก็ขอให้ได้แกล้งหลังเรือนของเหอหย่งหมิงสักหน่อย
แต่ดูเถิด...
พระองค์ต้องยอมรับในตัวของแม่ทัพผู้นี้จริงๆ
เจี้ยนหยางฉีฮ่องเต้จึงไร้คำใดจะตรัสต่อความให้วุ่นวาย เพราะเห็นจริงด้วยทุกประการ
หากสลับตัวภรรยาของเหอหย่งหมิงยามนี้ เป็นลี่เหยาถิง หลานสาวของพระองค์ก็คงจะดีไม่น้อย
เฮ่อ! ช่างน่าเสียดาย น่าเสียดายเหลือเกิน…
ยิ่งคิดยิ่งนึกถึงหลานสาวผู้กำพร้าขึ้นมาจับใจ นางช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
ฮ่องเต้เจี้ยนหยางฉีจึงทรงต้องการกลั่นแกล้งคู่รักอันเป็นต้นเหตุให้หลานสาวเสียใจ ด้วยรับสั่งแยกสองสามีภรรยาออกจากกัน
โดยการให้เหอหย่งหมิงไปประจำการยังชายแดนอันไกลโพ้นเสียเลย
หึ! หมั่นไส้นัก!
พลบค่ำผ่านพ้นช่วงอาหารค่ำไปแล้วราวสองเค่อเหอหย่งหมิงมิได้ถามหาเหตุผลแห่งการกระทำของภรรยาในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่แม้ครึ่งคำ แต่เขาเพียงนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องเพื่อรอเวลาให้เพ่ยจีนำสิ่งของมามอบให้เขาเหมือนเช่นทุกครั้งที่เขากลับเข้าจวนมาก็เท่านั้น“ท่านพี่...” เสียงแว่วหวานอันคุ้นเคยดังมาจากทางห้องนอนด้านใน พร้อมร่างระหงเดินนวยนาดออกมาโดยมีสิ่งของในมือน้อยๆ เต็มไปหมดซึ่งเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้“น้องปักผ้า เย็บรองเท้าให้ท่านพี่เจ้าค่ะ” นางแย้มยิ้มพริ้มเพราพร้อมยื่นทุกสิ่งให้เขาตรงหน้า ท่าทางของนางอ่อนโยนเอาใจใส่เขาอย่างนุ่มนวลตลอดเวลา“ขอบใจเจ้ามาก ที่ใส่ใจข้า” ชายหนุ่มตอบรับเสียงทุ้มนุ่มเหมือนที่เคยเป็นมา พร้อมกับรับทุกอย่างมาไว้ในมือแล้วคลี่ออกดูอย่างพิจารณา สายตาคมเข้มทอประกายชื่นชมเหมือนเช่นทุกครั้งที่ภรรยามอบสิ่งของเหล่านี้ให้เขา“ยังมีภาพวาดพร้อมกลอนด้วยนะเจ้าคะ” เพ่ยจีกรีดยิ้มเอาอกเอาใจแล้วคลี่ภาพวาดให้เหอหย่งหมิงได้พินิจมอง“ท่านชอบหรือไม่?” นางส่งสายตาออดอ้อนน่าเอ็นดูชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอื้อมนิ้วแกร่งเชยคางมนแล้วเปรยคำหวานใส่หน้าหญิงสาว“ข้าชอบมาก ภาพง
ย่างเข้าเดือนที่แปดให้หลังจากนั้น...เหอหย่งหมิงก็เดินทางกลับจวนของตน หลังจากไปประจำยังชายแดนอันทุรกันดารห่างไกลนานถึงครึ่งปี โดยครั้งนี้มิได้ให้ใครแจ้งเพ่ยจีล่วงหน้า ด้วยเพราะระยะทางช่างห่างไกลเหลือเกิน เดินทางแต่ละคราทั้งขาไปและขามา กินเวลาเกือบสองเดือน เขาจึงมิรู้ได้ว่าจะกลับถึงจวนวันใดเมื่อกลับเข้าจวนมาก็ต้องแปลกใจ เมื่อเพ่ยจีมิได้อยู่ภายในจวนอันที่จริงนางมิได้มารอรับหน้าประตูเหมือนเช่นทุกครั้งก็พอเข้าใจได้ เพราะเขามิได้ส่งคนมาแจ้งล่วงหน้าว่าจะกลับวันใด หากแต่ในเรือนส่วนตัวก็ไม่อยู่ ส่วนใดของจวนก็ไม่เห็นแม้เงา ถามบ่าวไพร่จึงรู้ว่านางมิได้กลับจวนมาหลายวันแล้วแม่ทัพหนุ่มนึกแปลกใจไม่เบา กับการที่สตรีออกเรือนแล้วแต่ยังกล้าไปนอนค้างแรมที่อื่น นับได้ว่าไม่เหมาะอย่างยิ่งชายหนุ่มจึงออกตามหาหญิงสาวผู้เป็นภรรยาด้วยตนเอง นึกกลัวเกรงว่าจะเป็นเหมือนลี่เหยาถิง ที่ทิ้งเขาไปไม่ไยดี ทั้งๆ ที่นางบอกว่ารักเขาเหอหย่งหมิงคิดถึงภรรยาคนแรกโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด ขณะที่ออกตามหาภรรยาคนปัจจุบันและแล้วเขาก็ได้ล่วงรู้ความจริงบางประการที่ทำให้เขาประหลาดใจมากโข ซึ่งไม่คาดฝันว่าสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานจักคิดกร
หนึ่งปีต่อมา...ตลอดระยะเวลาที่ไว้ทุกข์ให้ลี่เหยาถิง เหอหย่งหมิงไม่อาจบอกได้ว่า ตัวเขารู้สึกเช่นไรไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ว่าความอึดอัดในโพรงอกคืออะไรชายหนุ่มมีบุคลิกที่เงียบขรึมอยู่แล้วเป็นทุนเดิม กลับเคร่งขรึมเย็นชามากกว่าเดิมมากโข จนคนรอบข้างรู้สึกได้ หากแต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกอันใดเขายังคงไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นอะไรไปไม่เข้าใจแม้แต่น้อย...เมื่อพ้นช่วงที่เหอหย่งหมิงต้องไว้ทุกข์ให้ลี่เหยาถิงครบหนึ่งปีแล้ว เขาจึงตบแต่งเพ่ยจีเข้าจวนมาเนื่องจากเจี้ยนหยางฉีฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้แต่งๆ กันไปเสีย คล้ายประชดประชันแทนหลานสาวที่ตายจาก โดยมิได้ออกราชโองการแต่อย่างใด พระองค์เพียงตรัสด้วยสุรเสียงเย็นชาว่า ‘ถิงเอ๋อร์อุตส่าห์ฆ่าตัวตายเพื่อเปิดทางให้ถึงเพียงนี้ หากพวกเจ้าไม่แต่ง เห็นทีการตายของนางคงเสียเปล่า’เหอหย่งหมิงได้ฟัง หัวคิ้วก็กระตุกไม่หยุด แม้เขาจะบอกว่าตัดสัมพันธ์กับเพ่ยจีไปแล้ว ก็หาได้เป็นผลไม่อีกทั้งเพ่ยจีเองก็นัดพบเขาเพื่อรบเร้าออดอ้อนและทวงสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อครั้งก่อนที่เขาจะแต่งลี่เหยาถิงเมื่อมีรับสั่งทางอ้อมจากองค์เหนือหัวและคำมั่นกับนางที่ต้องรักษา เหอหย่งหมิงจึงแต
ดวงตาคมเข้มทอประกายเย็นเยียบวูบไหว ร่างแกร่งเพียงยืนตระหง่านนิ่งนานไม่ไหวติงใดๆ สมองพลันขาวโพลน สายตาพลันว่างเปล่า ทุกสรรพสิ่งคล้ายหยุดเคลื่อนขับไปชั่วขณะกระทั่งมีรับสั่งจากฮ่องเต้ให้เข้าเฝ้า ซึ่งคาดว่าพระองค์น่าจะทรงกลับจากแปรพระราชฐานยังทิศตะวันออกแล้ว และก็คงจะทรงรู้เรื่องลี่เหยาถิงแล้วเช่นกันชายหนุ่มจึงดึงสติของตนให้กลับมา แล้วสั่งให้บ่าวรับใช้ดูแลนำศพของลี่เหยาถิงกลับจวน กำชับให้ดูแลอย่างดี ก่อนจะเดินทางเข้าเฝ้าองค์เหนือหัวในทันทีเมื่อเดินมาถึงต่อหน้าพระพักตร์ จึงได้เห็นสายพระเนตรตำหนิชัดแจ้งจากเจี้ยนหยางฉีฮ่องเต้เจ้าแห่งแผ่นดินต้าเจี้ยนเพียงทอดพระเนตรเหอหย่งหมิงเงียบงัน ยังไม่อาจตรัสสิ่งใดทั้งสิ้น ด้วยพระองค์ทรงรู้ดี ว่าเรื่องนี้นับเป็นเรื่องหลังเรือนของผู้อื่นเมื่อสตรีแต่งงานออกไปแล้วก็คือคนของสามี และการฆ่าตัวตายก็คือการตายโดยสมัครใจ ไม่สามารถเอาผิดผู้ใดได้ทั้งนั้นต่อให้เป็นถึงโอรสสวรรค์ พระองค์ไม่อาจยุ่งย่ามได้ เพราะว่ามันอยู่นอกเหนือจากกฎมณเฑียรบาลโดยสิ้นเชิงทั้งนี้วังหลังของพระองค์เองก็ดุเดือดเลือดพล่านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เกิดการปองร้ายบ้าง ฆ่ากันตายบ้าง ปลิดชีพ
ค่ายทหารหน้าด่านห่างออกมาจากประตูเมืองหลวงสิบลี้ราตรีผันผ่านจากรัตติกาลเป็นทิวากาล จวบจนค่ำคืนนี้ก็นับได้ว่าผ่านมาหลายราตรีแล้วที่เหอหย่งหมิงได้ตัดสัมพันธ์กับเพ่ยจี และกลับมาประจำที่ค่ายทหารโดยมิได้กลับเข้าจวน ปล่อยให้ภรรยาพระราชทานอยู่ไปตามใจนาง โดยที่เขาแยกออกมาเพื่อความสบายใจของตนเองกลางลานกว้างที่เหล่าทหารนั่งล้อมวงนั่งร่ำสุราหลังจากฝึกหนักในแต่ละวัน ตรงกลางของทุกคนมีเพียงกองไฟที่ใช้ไม้สุมคล้ายกระโจมเพื่อให้เพลิงโหมกระพือขึ้นที่สูง สร้างความอบอุ่นให้แก่พี่น้องที่นั่งเป็นวงกลมรอบทิศทางท่ามกลางความมืดสลัวเลือนราง มีเสียงพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติดังลั่น“เดิมทีข้าก็โปรดปรานฮูหยินเอกคนแรกไม่น้อย หากแต่เมื่อรับฮูหยินรองเข้ามา ความแปลกใหม่ก็บังเกิด ได้รู้ถึงความสำราญอย่างแท้จริง”เสียงหนึ่งดังขึ้นต่อจากปลายประโยคของนายทหารก่อนหน้าที่ขึ้นหัวข้อสนทนาเอาไว้ว่าเขาต้องรับภรรยาเพิ่มเพื่อทายาทที่ยังไม่ถือกำเนิดเสียที ทำให้บรรพชนต้องเป็นห่วงแล้ว แต่ติดตรงที่เกรงใจภรรยาเอกอีกเสียงหนึ่งจากรองแม่ทัพเอ่ยเสริม “ข้ามีอนุมากกว่าสามคน แต่ละคนข้าล้วนโปรดปราน เรื่องทายาทก็หายห่วง เต็มบ้านไปหมด”ชาย
“ออกไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับข้า”เสียงตวาดไล่สาวใช้ของลี่เหยาถิง ทำเอาไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นายสาวที่กำลังอาละวาดผู้นี้เลยสักคนสาวใช้ทั้งสองที่ติดตามมาจากจวนแม่ทัพจึงได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าแม้แต่ขยับเท้าไปทางใด ทำได้เพียงมองเจ้านายทั้งสองฝ่ายอย่างงงงัน โดยฝ่ายสามีก็เดินประคองหญิงผู้หนึ่งจากไปจนไกลลิบ ส่วนฝ่ายภรรยาก็วิ่งหนีไปไม่เหลียวหลัง“ทำเช่นไรดี” สาวใช้คนแรกเอ่ยถามเสียงเบา“คงต้องปล่อยไปก่อนนั่นล่ะ เราผู้น้อยจักทำอันใดได้เล่า”“...”สาวใช้ทั้งสองเพียงนิ่งเงียบไป ปล่อยให้สายลมพัดผ่านอยู่ที่เดิมเนิ่นนาน ก่อนจะพากันเดินออกไปไกลๆ ให้นายสาวได้อยู่กับตนเองไปดั่งใจต้องการนั่นล่ะพวกนางเป็นสินเดิมเจ้าสาวมากับลี่เหยาถิงก็จริงอยู่ หากแต่ความสนิทสนมหาได้เทียบเท่ากับสาวใช้คนเก่าที่ตายไปด้วยโรคประจำตัวเมื่อหลายเดือนก่อนของลี่เหยาถิงไม่เห็นได้ชัดว่าลี่เหยาถิงเป็นสตรีอันตราย ที่ใครอยู่ใกล้เป็นต้องตาย ทั้งบิดามารดา ไทเฮา สาวใช้คนสนิทเรื่องราวเหล่านี้สาวใช้ทั้งสองได้ยินเป็นข่าวลือมาเข้าหูจากที่ใดมิอาจทราบได้ แต่พวกนางก็ปักใจเชื่อเช่นนั้นไปเสียแล้วความจริงที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ก็คือ ทุกข่าวลือย่ำแย่ที่ท