ณ ลานกว้างในป่า
หลังจากที่ช่วงเช้ามีการแข่งประชันยิงธนู ช่วงบ่าย เหล่าบุรุษกล้าทั้งหลายก็ต่างควบม้าเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์กันเสียส่วนใหญ่ และมีสตรีที่สนใจเข้าร่วมอยู่ไม่น้อย
ส่วนคนที่เหลือก็เลือกที่จะออกไปชมนกชมไม้ หรือไม่ก็พักผ่อนตามอัธยาศัย ซึ่งส่วนใหญ่เลือกที่จะจับกลุ่มพูดคุยกันเสียมากกว่า
“ชายารองลู่ มิคิดว่าท่านจะกล้าเข้าร่วมงานนี้ด้วย” พระสนมหวางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหมิ่นเหยียด
ชินอ๋องผู้นี้ ช่างลำเอียงจนไม่แยกแยะว่าอะไรควรไม่ควร ให้ชายารองออกงานแทนพระชายาเอก
เป็นที่ขบขันยิ่งนัก
ดีแล้วที่ข้าไม่แต่งเข้าตำหนักตงหยาง
นางเคยหมายตาตำแหน่งชายาเอกของชินอ๋อง หากแต่เมื่อตกเป็นของเสวียนเยี่ยนฟางก็แล้วไปเถอะ เพราะพื้นเพตระกูลเสวียนต่อให้อยากอยู่ในตำแหน่งฮองเฮา ใต้หล้าก็ไม่รังเกียจ
หากแต่ว่าตำแหน่งชายารองที่คิดว่าจะเป็นของนาง กลับมีลูกอนุของหมอหลวงมาโฉบไปแทน
ใจนางล้วนไม่ยอมรับ
เมื่อไม่อาจทำใจไปอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับดอกบัวขาวเปื้อนโคลนตรงหน้า นางจึงเลือกที่จะมาอยู่ในตำแหน่งที่สตรีคนนี้ต้องก้มหัวให้นางแทน จะดีกว่า
“ท่านชายเล็กร่างกายไม่แข็งแรง พระชายาจึงต้องอยู่ดูแล ท่านอ๋องจึงให้หม่อมฉันมาแทนเพคะ” ลู่หว่านเหลียนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ
ต่อให้คนพวกนี้จะคิดเช่นไร แต่หากเป็นความประสงค์ของชินอ๋อง ใครจะกล้าขัด
ขนาดฮ่องเต้ยังไม่ตำหนิสักคำ
เป็นเพียงแค่สนมคิดต่อกรกับชินอ๋อง ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย
“แต่ข้าได้ข่าวว่า ท่านหญิงใหญ่จมน้ำ อาการเป็นเช่นไรบ้าง ตำหนักตงหยางขนกันมามากมายถึงเพียงนี้ ใครดูแลท่านหญิงใหญ่กัน” พระชายาอ๋องเก้าจึงเอ่ยถามบ้าง
พวกเจ้าแม่ลูกก็มาทุกปี ยังคิดหาเหตุผลอื่นอีก
ชายารองลู่จึงหันไปตอบ “ท่านหญิงใหญ่เพียงอ่อนเพลียเล็กน้อย ท่านอ๋องให้หมอหลวงมาตรวจอาการทุกวัน ขอบคุณพระชายาที่เป็นห่วงเพคะ”
ฮูหยินเซี่ยจึงแสร้งทำสีหน้ากังวล “เฮ้อ...ข้าก็ได้ข่าวว่าชายารองลู่รักท่านหญิงใหญ่ราวกับลูกในไส้ นึกว่าท่านจะอยู่ดูแลท่านหญิงมากกว่า เห็นทีว่าคงเป็นเพียงข่าวลือ”
ลู่หว่านเหลียนพยายามข่มอารมณ์ไว้แล้วตอบอีกครั้ง “หลันเอ๋อร์เป็นเด็กรู้ความ ว่านอนสอนง่าย ช่างเจรจา ใครเห็นก็ล้วนต้องรักนางเพคะ ข้าเองก็รักและเอ็นดูหลันเอ๋อร์ไม่น้อย”
“ใช่แล้ว ท่านหญิงใหญ่น่ะ ใครเห็นก็ย่อมรัก เพราะนางน่าเอ็นดู”
“เอ้า เมื่อครู่ยังเรียกท่านหญิงใหญ่ ตอนนี้กลับเรียกหลันเอ๋อร์ได้คล่องปาก ฟังดูสนิทสนมกันดี ว่าหรือไม่”
“คนอย่างท่านหญิงใหญ่นะรึ อยากจะสนิทกับอนุ”
“ช่างไม่เจียม”
พระชายาและสนมหลายคนป้องปากหัวเราะ เหล่าฮูหยินของขุนนางชั้นสูงต่างก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย
การได้เยาะเย้ยถากถางบุตรอนุ คือ ความสุขของพวกนาง
และยิ่งเป็นบุตรอนุที่ไม่เจียมเนื้อเจียมตนแล้วละก็ พวกนางยิ่งชอบ
ลูหว่านเหลียนกำมือใต้ชายเสื้อแน่น นางถูกคนที่เรียกตัวเองว่าชนชั้นสูงพูดจาดูหมิ่น ประชดประชันทั้งทางตรงและทางอ้อมตั้งแต่วันแรกที่มาถึง
นางเป็นบุตรอนุแล้วอย่างไร
อย่างน้อยนางก็ปีนป่ายจนได้มาเป็นชายารองของบุรุษที่สตรีในใต้หล้าล้วนใฝ่หา และยังเป็นสตรีที่บุรุษผู้นี้รักอีกด้วย
สิ่งที่พวกเจ้าไม่สามารถคว้ามาได้ อยู่ในกำมือข้านี่แหละ
แค่เพียงตำแหน่งพระชายาเท่านั้นที่นางรอคอย
ตอนนี้ ในเมื่อสมรสพระราชทานหย่าขาดไม่ได้หากราชวงศ์ไม่เห็นชอบ ดังนั้น จึงต้องดึงอำนาจมาไว้กับนางให้ได้มากที่สุดก่อน เชื่อว่าวันข้างหน้าย่อมเป็นวันของนาง
“เสด็จแม่/เสด็จแม่” สองพี่น้องหลินตะโกนเรียกมารดาต่อหน้าทุกคน ซึ่งดูไร้มารยาทเป็นที่สุดสำหรับสตรีที่มีตำแหน่งหลายคน
พวกนางที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับแสดงสีหน้าราวกับได้พบสิ่งแปลกประหลาด
คำว่า เสด็จแม่ สามารถใช้เรียกได้เฉพาะพระชายา แต่ลู่หว่านเหลียนเป็นเพียงชายารองกลับกล้าสั่งสอนบุตรให้เรียกเสด็จแม่โดยไม่รู้สึกอาย
ทำให้พวกนางรู้สึกสมเพชครอบครัวของชินอ๋องยิ่งนัก
และก็เป็นพระชายาของอ๋องเก้าที่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดูแคลน “เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าถึงกับเรียกนางว่าเสด็จแม่?”
หลินฟางซินจึงตอบ “อืม”
เพราะถือดีว่าตนเองเป็นบุตรสาวคนโปรดของบิดา หลินฟางซินจึงไม่ใคร่เห็นหัวใคร เวลาออกงานต่างๆ ล้วนมีแต่คนที่มีศักดิ์ต่ำกว่าบิดาของนาง นางจึงรู้สึกลำพองตนพอสมควร
“หึหึ ชายารองลู่ช่างสอนลูกได้ดียิ่งนัก แต่สำหรับตัวข้า คงไม่กล้า” พระชายาอ๋องเก้าปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่าพอใจ ขณะที่คนอื่นใช้มือป้องปากเอาไว้
แล้วเสียงของชินอ๋องก็เอ่ยแทรก “เรื่องในครอบครัวของข้า คงไม่รบกวนน้องสะใภ้หรอก”
สตรีเรือนหลังต่างย่อกายเพื่อทำความเคารพผู้เป็นชินอ๋อง
แล้วพระชายาอ๋องเก้าก็เอ่ยต่อ “น้องสะใภ้ไม่ยังอาจยุ่งเรื่องครอบครัวผู้ใดหรอกเพคะ แต่ว่าชินอ๋อง พระองค์ก็เป็นคนในราชวงศ์ เหตุใดถึงได้บกพร่องธรรมเนียมปฏิบัติ ให้ชายารองออกหน้าออกตาก็แล้วไปเถอะ แต่ถึงขนาดให้ท้าย เรียกชายารองว่า เสด็จแม่ เต็มปากเต็มคำ รู้ถึงไหน ข้าที่เป็นคนในราชวงศ์ก็อับอายถึงที่นั่น
บุตรของท่านทั้งที่เป็นแค่บุตรชายารอง ถ้าจะพูดให้ถูกก็เพียงบุตรอนุ แต่กลับถือดีว่าบิดามีตำแหน่งสูงส่ง เห็นพระสนมไม่เคารพ เห็นข้าพระชายาไม่อ่อนน้อม พูดจาไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้ว่าสั่งสอนกันมาแบบไหนอ้อ..ข้าลืมไป คนสอนก็คงไม่รู้จักธรรมเนียมของคนชั้นสูง ส่วนชินอ๋องก็ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาอยู่แล้ว”
ถ้อยคำติหนิถากถางของนางถือเป็นการไม่ไว้หน้าชินอ๋องอย่างมาก
แต่นางรึจะกลัว
ตระกูลอันของนางไม่ด้อยไปกว่าตระกูลเสวียน และมากกว่าตระกูลมารดาของชินอ๋องด้วยซ้ำไป
ใครบ้างไม่รู้ว่า แต่เดิม เสวียนเยี่ยนฟางมีใจปฏิพัทธ์กับอ๋องห้าหาใช่บุรุษโง่เง่าผู้นี้ แต่เพื่ออำนาจที่มั่นคงของฮ่องเต้ ไทเฮากลับแยกคู่ยวนยาง ประทานสมรสให้กับองค์ชายปลายแถวที่เกิดจากสนมไร้สกุล ที่พระนางรับมาเลี้ยงดู แล้วแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง
ซึ่งตำแหน่งชินอ๋องนั่นก็ควรจะเป็นของสวามีนาง กลับเป็นของบุรุษตรงหน้าได้ไป แม้จะเก่งกาจในด้านรบทัพจับศึก หากแต่โง่เขลา ยกก้อนกรวดเหยียบก้อนเพชร
นางและเสวียนเยี่ยนฟางเป็นคู่แข่งกันมานาน สวามีก็ย่อมไม่ต่างกัน ดังนั้น นางจึงเกลียดครอบครัวของชินอ๋องเป็นที่สุด
เหยียบได้ ข้าเหยียบ
ข้ามได้ ข้าข้าม
เมื่อพระชายาอ๋องเก้าสะบัดตัวเดินออกไปอย่างเสียมารยาท คนอื่นก็ทยอยออกไปเช่นกัน พร้อมกับทิ้งสายตาสมเพชให้กับพ่อแม่ลูกทั้งสี่คน
“เกิดอะไรขึ้น ใยหน้าตาจึงบูดบึ้งเช่นนี้” อ๋องเก้าเอ่ยถามชายาของตน เมื่อเดินออกมาพ้นจากกลุ่มคนแล้ว
นางจึงถอนหายใจพลางตอบ “ไม่มีอะไรเพคะ แค่เรื่องเล็กน้อย”
ผู้เป็นสามีมีหรือจะไม่รู้ว่าชายาของตนไปมีเรื่องกับคนของชินอ๋อง จึงปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อน “เฮ้อ....อย่างไรก็เรื่องเรือนหลังของผู้อื่น อย่าได้ยื่นปากไปยุ่งเลย ปวดหัวเสียเปล่า ชินอ๋องไร้มารดาเลี้ยงดู ถูกโยนเข้ากองทัพตั้งห้าขวบ เป็นคนหยาบคาย กระด้างกระเดื่องมาแต่ไหนแต่ไร”
“เสด็จพี่ แล้วเหตุใด ลู่หว่านเหลียนจึงจับพลัดจับผลูแต่งเข้าเป็นชายารองได้เล่าเพคะ” ชายาอันจึงถามสวามี เพราะเรื่องนี้นางไม่รู้ สอบถามใครก็ต่างพากันปิดปากเงียบ
ท่านอ๋องเก้าอธิบาย “ก็ตอนนั้น มีโรคท้องร่วงระบาดที่เมืองตงหยาง ตอนนั้นชินอ๋องตั้งทัพรบอยู่ที่นั่น เสด็จพ่อส่งหมอหลวงไปหลายสิบคน ลู่หว่านเหลียนแอบติดตามหมอหลวงลู่ไปด้วย และนางก็เป็นคนที่คิดค้นวิธีการรักษาโรค ชินอ๋องจึงเกิดความประทับใจ ทูลขอพระราชทานสมรสกับนาง ตอนนั้นฮองเฮาไม่เห็นด้วย กลับราชทานเหลียนเยี่ยนฟางให้แทน พร้อมกับแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง”
ชายาอันจึงพยักหน้า “ที่แท้ เพราะเกี่ยวพันกับชื่อเสียงของนางจิ้งจอกนี่เอง ฮึ! มองดูจากยอดเขายังรู้เลยว่า สองพ่อลูกวางแผนกัน”
นางรู้มาว่า มารดาของลู่หว่านเหลียนเป็นคนที่หมอหลวงลู่รักและลุ่มหลงยิ่งนัก แม้เป็นอนุแต่ความเป็นอยู่กลับดีกว่าภรรยาเอกเสียอีก
ผู้เป็นสามีจึงปราม “อย่าไปคิดเรื่องของผู้อื่นเช่นนั้นเลยน่า ปวดหัวเสียเปล่า”
เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับ คุณหนูหลายคนก็ยังไม่อยากจะกลับ เพราะอยากจะอยู่คุยกับพี่สาวหลิน จนหลินเฟยหลันต้องรับปากว่า อีกครึ่งเดือนจะเชิญมาที่จวนอีก ดรุณีน้อยจึงยินยอมอย่างว่าง่ายเสวียนเยี่ยนฟางรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ครั้งนี้ชื่อเสียงของบุตรสาวเป็นไปในทางที่ดี ทั้งสิบตระกูลมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา แม้ไม่สามารถเกี่ยวดองกันได้ แต่หากสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี บุตรสาวของนางย่อมไม่เสียเปรียบ ส่วนบุตรชายก็พลอยได้รับประโยชน์ไปด้วยเมื่อส่งทุกคนกลับไปหมดแล้ว นางจึงเอ่ยกับบุตรสาว “ดึกแล้วไปพักผ่อนเถอะ วันนี้ลูกคงเหนื่อยมาก”หลินเฟยหลันจึงกอดเอวมารดาอยา่งออดอ้อน “เพคะ เชื่อฟังเสด็จแม่ รักเสด็จแม่ที่สุดเลย”หลินเฟยฉีก็ไม่ยอมหน่อยหน้าพี่สาว “ฉีเอ๋อร์ ก็รักเสด็จแม่ เชื่อฟังเสด็จแม่เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”“แม่ก็รักลูกทั้งสองคนเช่นกัน” เสวียนเยี่ยนฟางไม่หวงที่จะบอกรักบุตรทั้งสองนางได้รับคำแนะนำจากพี่สะใภ้ไม่น้อย เมื่อทำตามก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกนั้นดีขึ้นมากหลังจากที่ส่งน้องชายเข้าเรือน หลินเฟยหลันก็กลับไปยังเรือนของตัวเองที่อยู่อีกฝั่ง โดยมีจูฉีเดินตามหลังแต่เมื่อเดินผ่านตรงบริเวณสระน้ำ
แล้วฮ่องเต้อนุญาตให้พระชายาเสวียนย้ายไปพำนักที่จวนแถวชานเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ชาวเมืองที่เห็นขบวนอันยาวเหยียด จึงสอบถามจากคนเฝ้าประตูก็ได้ความว่า ท่านหญิงหลินได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัว พระชายาเสวียนเกรงว่า ท่านหญิงหลินจะเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้อง จึงย้ายที่ประทับไปที่จวนชานเมืองเป็นการชั่วคราวแม้ว่าฮ่องเต้จะออกคำสั่งห้ามแพร่งพราย แต่ปากคนหรือจะห้ามได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่องค์ชายสี่ดูแคลนท่านหญิงหลิน หรือเรื่องที่ท่านหญิงหลินและท่านชายหลินถูกองค์หญิงเก้าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก ต่างแพร่สะพัดในเขตราชวังขุนนางที่มาร่วมประชุมในช่วงเช้าต่างก็พลอยได้ยินข่าวลือไปด้วยกำแพงล้วนมีหู ประตูย่อมมีช่องไม่นาน เรื่องราวก็กระจายไปทั่วเมืองหลวงฮองเฮาต้องปิดตำหนัก เว้นการให้สนมเข้าคารวะเป็นเวลาหนึ่งเดือนส่วนพระสนมชุนต้องปิดตำหนักเงียบเช่นกันองค์ชายสี่และองค์หญิงเก้า ถูกลงโทษเพียงแค่กักบริเวณในตำหนักเท่านั้นทำให้ขุนนางหลายฝ่ายเคลื่อนไหว เพราะท่านหญิงหลินถือเป็นคนในราชวงศ์เช่นกัน การที่ถูกดูแคลนจากคนของราชวงศ์ ขุนนางฝ่ายของเสนาบดีเสวียนย่อมไม่พอใจ ส่วนขุนนางฝ่ายตรงข้ามกับฮองเฮาและพระสนมช
“เสด็จแม่ น้องเป็นอย่างไรบ้าง” หลินเฟยหลันเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงหลินเฟยฉีกุมมือพี่สาวเอาไว้ “พี่หญิง ฉีเอ๋อร์ปลอดภัย ฮึก”เสวียนเยี่ยนฟางลูบศีรษะของบุตรสาว พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พักผ่อนเสียก่อน อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”แต่หลินเฟยหลันกลับร้องไห้สะอื้น นางเอ่ยกับมารดาด้วยน้ำเสียงสั่น “เสด็จแม่ ลูกเจ็บ ที่นี่น่ากลัวเหลือเกินเพคะ มีแต่คนเกลียดพวกเรา ฮึก...องค์ชายสี่ บอกว่าลูกร้ายกาจ บอกลูกว่าไม่คู่ควรเป็นเชื้อพระวงศ์ ลู่ฟางซินต่างหากที่สมควรอยู่ในตำแหน่งท่านหญิงแห่งชินอ๋อง ฮึก..หากเปลี่ยนเป็นลู่ฟางซินกับลู่เฟยเทียน คงจะมีแต่คนรัก ฮืออออ...เสด็จแม่ ลูกไม่เป็นแล้วท่านหญิง ไม่เป็นแล้ว..ลูกจะไปอยู่กับท่านตา ไปเป็นคุณหนูเสวียน พาลูกกลับ ลูกกลัว พาลูกไปอยู่กับท่านตานะเพคะ ฮือออออออ”เห็นน้ำตาที่ไหลออกมาราวกับสายน้ำ ทำเอาเสวียนเยี่ยนฟางสะท้านในใจ จึงตอบ “ได้ๆ พวกเรา จะไปอยู่กับท่านตา”นางมิได้ล้อเล่น คนพวกนี้ทำร้ายร่างกายบุตรสาวนางยังไม่พอ ยังมาพูดจาทำร้ายจิตใจบุตรสาวของนางอีกคิดว่าข้าอยากเป็นเชื้อพระวงศ์นักรึ!องค์ชายสี่องค์หญิงเก้าอย่าหาว่าข้ารังแกเด็กก็แล้วกัน!หมอหลวงหญิงและ
“พี่หญิงเขาไปแล้ว แล้วเราจะไปดูปลาที่ไหน” หลินเฟยฉีสะกิดพี่สาว เขาไม่ได้สนใจการมากันไปของผู้ใดทั้งสิ้น เขามีเพียงพี่สาวเท่านั้น ในเมื่อองค์ชายสี่ไม่ใยดีต่อพี่สาว เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ความเคารพแก่องค์ชายผู้นี้เช่นกันหลินเฟนหลันมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นนางกำนัลสองคนกำลังเดินมา นางจึงเอ่ยกับน้องชาย “เช่นนั้นเราลองถามนางกำนัลเถอะว่าสระที่มีปลาอยู่แถวไหน”ไม่ช้าสองพี่น้องก็ได้คำตอบนางกำนัลสองคนของตำหนักฮองเฮา รู้ว่าทั้งสองเป็นบุตรของพระชายาเสวียน จึงนำทางสองพี่น้องมายังบ่อปลาของฮ่องเต้ทั่วพระราชวังย่อมรับรู้ว่า พระชายาเสวียนและบุตร ต่างได้รับป้ายทองพระราชทาน พวกนางที่พาท่านหญิงและท่านชายมาที่นี่ ย่อมไร้ความผิดเห็นปลาตัวโตสีขาว แต่มีลวดลายหลากสี ไม่ว่าจะเป็นสีส้ม สีแดง หรือบางตัวก็มีสีเหลืองแซม แหวกว่ายไปมา หลินเฟยฉีที่เพิ่งมีโอกาสได้เห็นจึงรู้สึกตื่นเต้น เขาวิ่งทางที่ปลาแหวกว่ายไปอย่างร่าเริงในอุทยานหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้ที่งดงาม ผีเสื้อหลากสีสันก็ต่างเข้ามาดอมดม หลินเฟยหลันเองก็รู้สึกว่าอยากจะวิ่งเล่นแบบนั้นบ้าง หลังจากที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องเพราะต้องพิษมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มารด
เมื่อจับร่างอันบอบบางขอบบุตรสาวหันซ้ายหันขวาขวาอยู่หลายครั้งจนพอใจ เสวียนเยี่ยนฟางก็พยักหน้า ทำให้หลินเฟยหลันต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกฮองเฮามีประสงค์ให้ทั้งสามเข้าเฝ้า นางก็ถูกมารดาจับแต่งตัวมาเกือบหนึ่งชั่วยาม เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกก็ยังไม่ถูกใจมารดาของนางเสียที หลินเฟยฉีที่นั่งกินขนมรอจนอิ่ม เขาแทบจะหลับไปอีกรอบรถม้าของพระชายาเสวียนมาถึงประตูพระราชวัง หลังจากได้รับการตรวจตราพอเป็นพิธี ทหารองครักษ์ก็นำทางทั้งสามไปยังทางเข้าพระราชวังฝ่ายในเส้นทางที่แคบ กำแพงสูงที่ขนาบตลอดทางเดินสร้างความกดดันให้หลินเฟยฉีไม่น้อย คิ้วของเขาขมวดยุ่งราวกับปมเชือกพอมาถึงประตูทางเข้าพระราชวังฝ่ายใน ทหารองครักษ์ที่นำทางก็ขอตัวกลับ พวกเขาไม่สามาถเข้าไปภายในเขตของฝ่ายในได้สามแม่ลูกเดินต่อไปจนถึงตำหนักของมารดาแผ่นดิน โดยที่ไม่มีแม้แต่นางกำนัลจะนำทางสีหน้าของพระชายาเสวียนยังคงเรียบเฉย นางไม่รู้สึกยินดียินร้ายที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ หากแต่ทดความโมโหนี้ไว้ในใจ โดยเฉพาะเจ้าของตำหนัก ที่ทำให้บุตรทั้งสองคนของนางต้องพลอยลำบากไปด้วยสองพี่น้องเหงื่อผุดเต็มใบหน้า พระชายาเสวียนมองภาพผู้เป็นพี่สาวใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเห
หลังจากที่รับสำรับมื้อเที่ยง ผู้ใหญ่จึงปล่อยให้เด็กๆ ได้เล่น ได้พูดคุยกัน เพื่อให้สนิทสนมกันมากขึ้น ส่วนพวกเขาก็นั่งอยู่ที่ศาลาแปดเหลี่ยมไม่ไกลจากสวนที่เด็กๆ เล่นอยู่เสวียนไห่จึงเอ่ย “เรื่องราวร้ายๆ ก็ผ่านไปแล้ว พี่ใหญ่ น้องเล็ก อย่าได้โทษตัวเองอีกเลย ท่านพ่อเองก็ไม่สบายใจที่ทั้งสองยังโทษตัวเองอยู่จนถึงทุกวันนี้”เสวียนเกาจึงหันไปสบตากับเสวียนเยี่ยนฟาง แล้วทั้งสองก็พยักหน้าเป็นเชิงรับปากเสียนหมิ่นจึงถามขึ้น “เอาล่ะเรื่องร้ายก็ผ่านไปแล้ว ต่อไปเจ้าจะทำอย่างไรน้องเล็ก ในเมื่อไม่สามารถหย่าขาดจากหลินเฉิงจวินได้”เสวียนเยี่ยนฟางถอนหายใจ “ข้ามาลองคิดดูแล้ว ตอนนี้อาจจะยังเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมที่จะหย่าขาดกับหลินเฉิงจวิน เพราะอย่างไรเสีย ข้าก็อยากให้หลันเอ๋อร์ได้ออกเรือนในฐานะบุตรสาวของชินอ๋อง”เสวียนเกาพยักหน้าเห็นด้วย พลางเอ่ยเสริม “พี่เห็นด้วย อย่างน้อยหากพี่และท่านพ่อถอนตัวจากราชสำนัก ฐานะบุตรีของชินอ๋องยังสามารถทำให้หลันเอ๋อร์ได้แต่งเข้าในตระกูลที่ดีได้”“แต่สิ่งที่ต้องระวังคือสมรสพระราชทานกับองค์ชาย”แค่เพียงเห็นใบหน้าของหลานสาว อีกไม่กี่ปีก็จะกลายเป็นโฉมสะคราญเช่นเดียวกับมารดา ก็ทำให้ท