พระชายาเสวียนแทบไม่อยากเชื่อสายตา เมื่อเห็นภาพของสองพี่น้องที่คีบอาหารส่งให้กัน
“เสด็จแม่” หลินเฟยหลันเอ่ยทักทายมารดา
พลางจัดแจงเก้าอี้ให้อย่างรู้งานด้วยความคล่องแคล่ว ปากน้อยๆ ก็เอ่ยไปด้วย “เชิญเสด็จแม่ประทับนั่งตรงนี้เพคะ”
ตรงนี้ที่ว่า คือตรงกลางระหว่างบุตรทั้งสอง
เสวียนเยี่ยนฟางยิ้มให้กับบุตรสาวตัวน้อย
จะดีแค่ไหน หากบุตรสาวของนางเป็นเช่นนี้ตลอดไป
“เสด็จแม่ลองชิมปลานึ่งเพคะ ลูกทำเองกับมือเลยนะเพคะ” ว่าพลางคีบเนื้อปลาวางที่ถ้วยข้าวของมารดา
“หืมมมม หลันเอ๋อร์ของแม่เข้าครัวเป็นด้วยหรือนี่ เก่งจริง” ผู้เป็นมารดาเอ่ยชมอย่างให้กำลังใจ
หลินเฟยหลันถอนหายใจห้วน “ก็ที่ครัวใหญ่อาหารไม่อร่อยนี่เพคะ แถมชุนลี่ก็ไม่สนใจลูกด้วย ลูกจึงต้องแอบไปทำกินเอง ตอนเช้าลูกเห็นคนเอาปลามาส่ง ท่านป้าหนิงบอกว่าเสด็จแม่โปรดเสวยปลานึ่ง ลูกจึงอาสาทำเองเพคะ อ๊ะ..ลูกทำเองจริงๆ นะเพคะ แม่ครัวเพียงแค่บอกวิธีทำ”
เสียงเจื้อยแจ้วของบุตรสาวตัวน้อยเล่าเรื่องราวไปเรื่อย ด้วยน้ำเสียงสบาย แต่มารดากลับรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ
ชุนลี่อยู่กับตระกูลเสวียนมานาน แม้ไม่ได้ขายตัวเป็นบ่าว หากแต่ก็รับเงินจากนางโดยตรง
เมื่อบุตรสาวแยกเรือน นางจึงไว้ใจให้ชุนลี่เป็นพี่เลี้ยง
เป็นเวลาห้าปีมาแล้วที่นางมอบหมายหน้าที่ให้ชุนลี่ดูแลบุตรสาว เพราะนางต้องดูแลบุตรชายที่ป่วยตั้งแต่เกิด จึงไม่มีเวลาดูแล ทำให้นางดื้อรั้นอยู่ไม่น้อย เพราะไม่เข้าใจการกระทำของมารดา
หลายต่อหลายครั้งที่บุตรสาวถูกนางลงโทษ แต่แทนที่จะคิดปรับปรุงตัวเอง นางกลับยิ่งรั้น ทำให้ความสัมพันธ์เริ่มห่างเหิน
สวามีไม่ใส่ใจ นางยังไม่รู้สึกน้อยใจเท่ากับบุตรสาวทำตัวเหมือนคนอื่น
ยิ่งสองปีมานี้ หลินเฟยหลันมาที่เรือนนี้แทบนับครั้งได้
บุตรสาวนางอายุเพียงสิบสองขวบ กลับต้องแอบเข้าครัวเพื่อทำอาหารเอง เพราะหิว
ตำหนักตงหยางยากจนถึงเพียงนั้นเชียว ฮึ!
เห็นทีว่า บ่าวผู้นี้จะเลี้ยงไม่เชื่องเสียแล้ว
“เสด็จแม่ อร่อยหรือไม่เพคะ” น้ำเสียงร้อนรนของบุตรสาวดึงสติของเสวียนเยี่ยนฟางกลับมาที่อาหารตรงหน้า
เห็นใบหน้าที่เฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ผู้เป็นมารดาจึงรีบตอบกลับ “อร่อยมาก เนื้อนุ่ม ไม่คาว หอมด้วย”
นางไม่ได้ตอบเพื่อเอาใจบุตรสาว แต่มันคือความจริง
หากคิดในแง่ดี หรือบุตรสาวนางจะมีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารกันนะ
ส่วนในแง่ร้าย งูพิษย่อมไม่สามารถเก็บไว้ได้เช่นกัน
แล้วผู้เป็นน้องชายจึงช่วยยืนยัน “อร่อยพ่ะย่ะค่ะ พี่ใหญ่ทำอาหารอร่อย ข้าชอบ”
ได้ยินเช่นนั้น ท่านหญิงใหญ่ก็ยิ้มแก้มปริ “อร่อยก็กินเยอะๆ ต่อไปพี่ใหญ่จะมาทำให้ฉีเอ๋อร์กินทุกวันดีหรือไม่ แต่ว่า คงต้องให้ท่านป้าหนิงสอนหลันเอ๋อร์ทำก่อนนะเจ้าคะ”
หนิงอ้ายยิ้มรับ “บ่าวยินดีเพคะ”
หลินเฟยหลันหัวเราะก็ไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก เมื่อน้องชายของนางกินเยอะเกินไปจนรู้สึกไม่สบายท้อง
หลังจากที่ดื่มยาของหมอหลวง พระชายาเสวียนจึงสั่งงดมื้อเที่ยงของสองพี่น้อง ให้รับเพียงแค่ของว่างแทน
หลังจากที่หลินเฟยฉีหลับกลางวัน ท่านหญิงใหญ่ก็ส่งสายตาให้หนิงอ้ายนำถ้วยน้ำชาเข้ามา
หลินเฟยหลันคุกเข่าลงตรงหน้ามารดา เสวียนเยี่ยนฟางตกใจจะเข้าไปประคอง หากแต่เมื่อเห็นแววตาที่แน่วแน่ของบุตรสาว ทำให้นางชะงัก
มือเล็กทั้งสองวางประสานเสมอหน้าผาก แล้วนางก็ก้มตัวลงแนบพื้น
จากนั้นก็รับจอกน้ำชาที่ตนเองตั้งใจทำเพื่อการนี้โดยเฉพาะจากหนิงอ้าย
“เสด็จแม่ ที่ผ่านมาเป็นลูกที่ดื้อรั้นไม่รู้ความ ทำให้เสด็จแม่ทุกข์ใจ ตอนนี้ลูกเข้าใจแล้ว นอกจากที่เสด็จแม่ต้องดูแลน้องชาย ยังทรงเหน็ดเหนื่อยมาดูแลลูกอีก ตอนนี้ลูกโตแล้ว ต่อไปนี้ ลูกจะเชื่อฟังเสด็จแม่ ช่วยเสด็จแม่ดูแลน้องชาย ชาถ้วยนี้ ลูกตั้งใจทำเพื่อขอขมาเสด็จแม่ ขอเสด็จแม่ทรงอภัยให้ลูกด้วยเพคะ อึก”
พระชายาเสวียนรับจอกน้ำชาจากบุตรสาว แล้วรั้งร่างเล็กเข้ามากอดด้วยความรู้สึกปิติล้นอก
นี่นางได้บุตรสาวที่น่ารักคืนมาแล้วใช่หรือไม่
เสียงร่ำไห้ของท่านหญิงตัวน้อย ทำให้บ่าวหลายคนในเรือนล้วนสะท้านในอก หลายปีมานี้ ความสัมพันธ์ของมารดาและบุตรสาวระหองระแหง ทำให้พระชายาทุกข์ใจยิ่งนัก
พวกนางเป็นบ่าวเก่าแก่ เป็นสินเดิมของพระชายา เมื่อเห็นแม่ลูกเข้าใจกัน ย่อมร่วมยินดี
แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่รู้สึกกังวลใจ
ชุนลี่เดินวนไปมาที่หน้าเรือนของพระชายา ตั้งแต่ท่านหญิงใหญ่ฟื้นและวิ่งมาที่เรือนแห่งนี้ นางก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามเข้าไป
เดิมทีที่นางขอติดตามพระชายามาอยู่ที่นี่ เพราะหวังว่าหลังจากที่นางอายุถึงวัยออกเรือน พระชายาจะส่งเสริมนางให้เป็นอนุของท่านอ๋อง หากแต่ว่า ไม่ว่าตำหนักตงหยางจะรับอนุมาสักกี่คน ก็ไม่เคยมีนางเป็นหนึ่งในนั้นเลยสักครั้ง
แล้วชายารองก็เสนอสิ่งที่นางปรารถนามาตลอดมาให้ นางจะไม่คว้าโอกาสไว้ได้อย่างไร
หลังจากที่มารดาและบุตรสาวตัวน้อยปรับความเข้าใจกัน หลินเฟยหลันก็ล้มตัวนอนข้างน้องชายอย่างมีความสุข
เสวียนเยี่ยนฟางส่งสายตาให้หนิงอ้ายไปสืบความจริงที่บุตรสาวเล่าให้ฟัง
หลังมื้อเย็น นางก็ได้รู้ความจริงที่เคยถูกคนไว้ใจปิดบังเอาไว้ตลอดห้าปี
“ข้าดีกับนาง กับครอบครัวนาง คิดไม่ถึงว่าจะแว้งกัดข้าเช่นนี้” เสวียนเยี่ยนฟางถอนหายใจยาว
หนิงอ้ายจึงตอบ “ชายารองใช้ตำแหน่งอนุท่านอ๋องมาหลอกล่อเจ้าค่ะ บ่าวเองก็นึกไม่ถึงว่านางจะใฝ่สูงถึงเพียงนี้”
เสวียนเยี่ยนฟางพยักหน้า
ใช่ว่านางจะมองสายตาของชุนลี่ไม่ออก แต่ในเมื่อชินอ๋องไม่ได้สนใจ นางจึงไม่คิดยัดเยียดสตรีให้เขา เพราะแค่นี้ นางและเขาก็แทบไม่มองหน้ากันอยู่แล้ว จึงไม่อยากก่อไฟให้เรือนหลังอีก
“ดีที่ท่านหญิงใหญ่รู้ความ” หนิงอ้ายเอ่ยสำทับด้วยความรู้สึกยินดีร่วมกับผู้เป็นนาย
“หลันเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด ตอนแรกคิดว่าเพราะอิจฉาน้องชาย เลยพาลน้อยใจข้าไป แต่ก็ไม่นึกว่าจะเป็นเพราะถูกเสี้ยมมาอย่างผิดๆ ข้าเองก็มีส่วนผิด ที่ละเลยนาง” เสวียนเยี่ยนฟางกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกละอายแก่ใจ
หากนางใส่ใจบุตรสาวมากกว่านี้ หลันเอ๋อร์ของนางก็คงไม่ต้องกลายเป็นคนเอาแต่ใจจนคนในตำหนักต่างหันหน้าหนีเช่นนี้
นี่นับเป็นความผิดของมารดาที่ไม่ได้เรื่องอย่างนาง
มิน่าละ ชินอ๋องถึงหาว่านางไม่รู้จักอบรมสั่งสอนบุตรสาว
ใช่ เป็นความผิดของนางเอง
“พระชายาอย่าได้กล่าวเช่นนั้น ท่านหญิงใหญ่ย่อมรู้แล้วว่าใครที่รักและหวังดีต่อนาง เอ่อ....แล้ว พระชายา จะให้ทำอย่างไรดีกับชุนลี่เพคะ” หนิงอ้ายอยากให้นายของตนเอาจริงเสียบ้าง หลายปีมานี้ นายของตนถูกชายารองล่วงเกินมาหลายครั้งแล้ว
“ให้คนจับตามองนางเอาไว้ก่อน หากเรื่องนี้ชายารองเกี่ยวข้องจริง คงต้องตักเตือนนางเสียหน่อย การที่ข้าอยู่แบบเงียบๆ คงทำให้นางคิดว่านางเป็นนายใหญ่ของที่นี่ คิดจะข้ามหัวใครก็ได้”
บุตรอนุรังแกบุตรภรรยาเอก แม้แต่ฮ่องเต้ยังให้สิทธิ์ภรรยาเอกควบคุมจวน นางก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า ชินอ๋องจะปกป้องคนของเขาได้สักเพียงใด
ในเมื่อพวกเจ้าคิดทำร้ายลูกข้า เช่นนั้น หากดาบนั้นคืนสนองบ้างก็คงไม่ว่ากันนะ ล้างคอพวกเจ้ารอได้เลย!
เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับ คุณหนูหลายคนก็ยังไม่อยากจะกลับ เพราะอยากจะอยู่คุยกับพี่สาวหลิน จนหลินเฟยหลันต้องรับปากว่า อีกครึ่งเดือนจะเชิญมาที่จวนอีก ดรุณีน้อยจึงยินยอมอย่างว่าง่ายเสวียนเยี่ยนฟางรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ครั้งนี้ชื่อเสียงของบุตรสาวเป็นไปในทางที่ดี ทั้งสิบตระกูลมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา แม้ไม่สามารถเกี่ยวดองกันได้ แต่หากสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี บุตรสาวของนางย่อมไม่เสียเปรียบ ส่วนบุตรชายก็พลอยได้รับประโยชน์ไปด้วยเมื่อส่งทุกคนกลับไปหมดแล้ว นางจึงเอ่ยกับบุตรสาว “ดึกแล้วไปพักผ่อนเถอะ วันนี้ลูกคงเหนื่อยมาก”หลินเฟยหลันจึงกอดเอวมารดาอยา่งออดอ้อน “เพคะ เชื่อฟังเสด็จแม่ รักเสด็จแม่ที่สุดเลย”หลินเฟยฉีก็ไม่ยอมหน่อยหน้าพี่สาว “ฉีเอ๋อร์ ก็รักเสด็จแม่ เชื่อฟังเสด็จแม่เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”“แม่ก็รักลูกทั้งสองคนเช่นกัน” เสวียนเยี่ยนฟางไม่หวงที่จะบอกรักบุตรทั้งสองนางได้รับคำแนะนำจากพี่สะใภ้ไม่น้อย เมื่อทำตามก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกนั้นดีขึ้นมากหลังจากที่ส่งน้องชายเข้าเรือน หลินเฟยหลันก็กลับไปยังเรือนของตัวเองที่อยู่อีกฝั่ง โดยมีจูฉีเดินตามหลังแต่เมื่อเดินผ่านตรงบริเวณสระน้ำ
แล้วฮ่องเต้อนุญาตให้พระชายาเสวียนย้ายไปพำนักที่จวนแถวชานเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ชาวเมืองที่เห็นขบวนอันยาวเหยียด จึงสอบถามจากคนเฝ้าประตูก็ได้ความว่า ท่านหญิงหลินได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัว พระชายาเสวียนเกรงว่า ท่านหญิงหลินจะเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้อง จึงย้ายที่ประทับไปที่จวนชานเมืองเป็นการชั่วคราวแม้ว่าฮ่องเต้จะออกคำสั่งห้ามแพร่งพราย แต่ปากคนหรือจะห้ามได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่องค์ชายสี่ดูแคลนท่านหญิงหลิน หรือเรื่องที่ท่านหญิงหลินและท่านชายหลินถูกองค์หญิงเก้าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก ต่างแพร่สะพัดในเขตราชวังขุนนางที่มาร่วมประชุมในช่วงเช้าต่างก็พลอยได้ยินข่าวลือไปด้วยกำแพงล้วนมีหู ประตูย่อมมีช่องไม่นาน เรื่องราวก็กระจายไปทั่วเมืองหลวงฮองเฮาต้องปิดตำหนัก เว้นการให้สนมเข้าคารวะเป็นเวลาหนึ่งเดือนส่วนพระสนมชุนต้องปิดตำหนักเงียบเช่นกันองค์ชายสี่และองค์หญิงเก้า ถูกลงโทษเพียงแค่กักบริเวณในตำหนักเท่านั้นทำให้ขุนนางหลายฝ่ายเคลื่อนไหว เพราะท่านหญิงหลินถือเป็นคนในราชวงศ์เช่นกัน การที่ถูกดูแคลนจากคนของราชวงศ์ ขุนนางฝ่ายของเสนาบดีเสวียนย่อมไม่พอใจ ส่วนขุนนางฝ่ายตรงข้ามกับฮองเฮาและพระสนมช
“เสด็จแม่ น้องเป็นอย่างไรบ้าง” หลินเฟยหลันเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงหลินเฟยฉีกุมมือพี่สาวเอาไว้ “พี่หญิง ฉีเอ๋อร์ปลอดภัย ฮึก”เสวียนเยี่ยนฟางลูบศีรษะของบุตรสาว พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พักผ่อนเสียก่อน อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”แต่หลินเฟยหลันกลับร้องไห้สะอื้น นางเอ่ยกับมารดาด้วยน้ำเสียงสั่น “เสด็จแม่ ลูกเจ็บ ที่นี่น่ากลัวเหลือเกินเพคะ มีแต่คนเกลียดพวกเรา ฮึก...องค์ชายสี่ บอกว่าลูกร้ายกาจ บอกลูกว่าไม่คู่ควรเป็นเชื้อพระวงศ์ ลู่ฟางซินต่างหากที่สมควรอยู่ในตำแหน่งท่านหญิงแห่งชินอ๋อง ฮึก..หากเปลี่ยนเป็นลู่ฟางซินกับลู่เฟยเทียน คงจะมีแต่คนรัก ฮืออออ...เสด็จแม่ ลูกไม่เป็นแล้วท่านหญิง ไม่เป็นแล้ว..ลูกจะไปอยู่กับท่านตา ไปเป็นคุณหนูเสวียน พาลูกกลับ ลูกกลัว พาลูกไปอยู่กับท่านตานะเพคะ ฮือออออออ”เห็นน้ำตาที่ไหลออกมาราวกับสายน้ำ ทำเอาเสวียนเยี่ยนฟางสะท้านในใจ จึงตอบ “ได้ๆ พวกเรา จะไปอยู่กับท่านตา”นางมิได้ล้อเล่น คนพวกนี้ทำร้ายร่างกายบุตรสาวนางยังไม่พอ ยังมาพูดจาทำร้ายจิตใจบุตรสาวของนางอีกคิดว่าข้าอยากเป็นเชื้อพระวงศ์นักรึ!องค์ชายสี่องค์หญิงเก้าอย่าหาว่าข้ารังแกเด็กก็แล้วกัน!หมอหลวงหญิงและ
“พี่หญิงเขาไปแล้ว แล้วเราจะไปดูปลาที่ไหน” หลินเฟยฉีสะกิดพี่สาว เขาไม่ได้สนใจการมากันไปของผู้ใดทั้งสิ้น เขามีเพียงพี่สาวเท่านั้น ในเมื่อองค์ชายสี่ไม่ใยดีต่อพี่สาว เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ความเคารพแก่องค์ชายผู้นี้เช่นกันหลินเฟนหลันมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นนางกำนัลสองคนกำลังเดินมา นางจึงเอ่ยกับน้องชาย “เช่นนั้นเราลองถามนางกำนัลเถอะว่าสระที่มีปลาอยู่แถวไหน”ไม่ช้าสองพี่น้องก็ได้คำตอบนางกำนัลสองคนของตำหนักฮองเฮา รู้ว่าทั้งสองเป็นบุตรของพระชายาเสวียน จึงนำทางสองพี่น้องมายังบ่อปลาของฮ่องเต้ทั่วพระราชวังย่อมรับรู้ว่า พระชายาเสวียนและบุตร ต่างได้รับป้ายทองพระราชทาน พวกนางที่พาท่านหญิงและท่านชายมาที่นี่ ย่อมไร้ความผิดเห็นปลาตัวโตสีขาว แต่มีลวดลายหลากสี ไม่ว่าจะเป็นสีส้ม สีแดง หรือบางตัวก็มีสีเหลืองแซม แหวกว่ายไปมา หลินเฟยฉีที่เพิ่งมีโอกาสได้เห็นจึงรู้สึกตื่นเต้น เขาวิ่งทางที่ปลาแหวกว่ายไปอย่างร่าเริงในอุทยานหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้ที่งดงาม ผีเสื้อหลากสีสันก็ต่างเข้ามาดอมดม หลินเฟยหลันเองก็รู้สึกว่าอยากจะวิ่งเล่นแบบนั้นบ้าง หลังจากที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องเพราะต้องพิษมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มารด
เมื่อจับร่างอันบอบบางขอบบุตรสาวหันซ้ายหันขวาขวาอยู่หลายครั้งจนพอใจ เสวียนเยี่ยนฟางก็พยักหน้า ทำให้หลินเฟยหลันต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกฮองเฮามีประสงค์ให้ทั้งสามเข้าเฝ้า นางก็ถูกมารดาจับแต่งตัวมาเกือบหนึ่งชั่วยาม เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกก็ยังไม่ถูกใจมารดาของนางเสียที หลินเฟยฉีที่นั่งกินขนมรอจนอิ่ม เขาแทบจะหลับไปอีกรอบรถม้าของพระชายาเสวียนมาถึงประตูพระราชวัง หลังจากได้รับการตรวจตราพอเป็นพิธี ทหารองครักษ์ก็นำทางทั้งสามไปยังทางเข้าพระราชวังฝ่ายในเส้นทางที่แคบ กำแพงสูงที่ขนาบตลอดทางเดินสร้างความกดดันให้หลินเฟยฉีไม่น้อย คิ้วของเขาขมวดยุ่งราวกับปมเชือกพอมาถึงประตูทางเข้าพระราชวังฝ่ายใน ทหารองครักษ์ที่นำทางก็ขอตัวกลับ พวกเขาไม่สามาถเข้าไปภายในเขตของฝ่ายในได้สามแม่ลูกเดินต่อไปจนถึงตำหนักของมารดาแผ่นดิน โดยที่ไม่มีแม้แต่นางกำนัลจะนำทางสีหน้าของพระชายาเสวียนยังคงเรียบเฉย นางไม่รู้สึกยินดียินร้ายที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ หากแต่ทดความโมโหนี้ไว้ในใจ โดยเฉพาะเจ้าของตำหนัก ที่ทำให้บุตรทั้งสองคนของนางต้องพลอยลำบากไปด้วยสองพี่น้องเหงื่อผุดเต็มใบหน้า พระชายาเสวียนมองภาพผู้เป็นพี่สาวใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเห
หลังจากที่รับสำรับมื้อเที่ยง ผู้ใหญ่จึงปล่อยให้เด็กๆ ได้เล่น ได้พูดคุยกัน เพื่อให้สนิทสนมกันมากขึ้น ส่วนพวกเขาก็นั่งอยู่ที่ศาลาแปดเหลี่ยมไม่ไกลจากสวนที่เด็กๆ เล่นอยู่เสวียนไห่จึงเอ่ย “เรื่องราวร้ายๆ ก็ผ่านไปแล้ว พี่ใหญ่ น้องเล็ก อย่าได้โทษตัวเองอีกเลย ท่านพ่อเองก็ไม่สบายใจที่ทั้งสองยังโทษตัวเองอยู่จนถึงทุกวันนี้”เสวียนเกาจึงหันไปสบตากับเสวียนเยี่ยนฟาง แล้วทั้งสองก็พยักหน้าเป็นเชิงรับปากเสียนหมิ่นจึงถามขึ้น “เอาล่ะเรื่องร้ายก็ผ่านไปแล้ว ต่อไปเจ้าจะทำอย่างไรน้องเล็ก ในเมื่อไม่สามารถหย่าขาดจากหลินเฉิงจวินได้”เสวียนเยี่ยนฟางถอนหายใจ “ข้ามาลองคิดดูแล้ว ตอนนี้อาจจะยังเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมที่จะหย่าขาดกับหลินเฉิงจวิน เพราะอย่างไรเสีย ข้าก็อยากให้หลันเอ๋อร์ได้ออกเรือนในฐานะบุตรสาวของชินอ๋อง”เสวียนเกาพยักหน้าเห็นด้วย พลางเอ่ยเสริม “พี่เห็นด้วย อย่างน้อยหากพี่และท่านพ่อถอนตัวจากราชสำนัก ฐานะบุตรีของชินอ๋องยังสามารถทำให้หลันเอ๋อร์ได้แต่งเข้าในตระกูลที่ดีได้”“แต่สิ่งที่ต้องระวังคือสมรสพระราชทานกับองค์ชาย”แค่เพียงเห็นใบหน้าของหลานสาว อีกไม่กี่ปีก็จะกลายเป็นโฉมสะคราญเช่นเดียวกับมารดา ก็ทำให้ท