“ มิก นี่เรียนแพทย์จบหกปี อยากตรวจโรคทางด้านไหน ”
ฐาปกรณ์ที่อยู่ในชุดกาวน์สีขาว ถามรณภพที่อยู่ในชุดโรงพบาบาลสีเขียว มีหมวกคลุมผมในขณะที่อยู่ในห้องทดลองของโรงพยาบาลเขามีเรื่องต้องคุยเลยให้รณภพเข้ามาหา
“ ผมคิดไว้ว่าพอจบแพทยศาสตร์หกปีแล้วจะไปต่อเฉพาะด้าน ”
“ เฉพาะด้านก็ดีนะ ช่วงนี้ศัลยแพทย์ก็กำลังเป็นที่นิยม ”
“ ครับ ผมอยากเป็นหมอศัลยแพทย์ ”
“ พี่ว่าดีนะ ตอนนี้เขากำลังต้องการหมอจำนวนมาก เพื่อมาช่วยเหลือประชาชน ”
“ ครับ ”
“ แล้วนี่อยากทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องอะไร ” ฐาปกรณ์สนทนาพร้อมกับหยิบหลอดแก้วสีใสหลอดหนึ่งขึ้นมา ในหลอดแก้วนั้นมีส่วนผสมที่เขากำลังศึกษาเกี่ยวกับตัวยาที่จะนำมารักษาโรค
“ ผมอยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องโรคหัวใจครับ ”
“ อืม ดีเลยอย่างน้อย ๆ พอเรียนจบ พี่จะได้มีคนช่วย ” ฐาปกรณ์เห็นดีด้วยทั้งสองยิ้มบาง ๆ เล็กน้อยก่อนจะทำการทดลองกันต่อไป
ในหัวของรณภพครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ตอนที่เขาแอบเข้าห้องใยคุณหนู เขารู้สึกเห็นเงาคล้ายรูปร่างของคนเพียงแวบเดียวเท่านั้นแล้วไหนจะตอนที่เดินผ่านเซนเซอร์ระบบไฟอัตโนมัตินั่นอีก
ข้างกำแพง! เขารู้สึกถึงความเย็นที่กระทบผิวระหว่างที่เดินผ่านจนต้องหันไปมองและมันก็แปลกที่เหมือนกับว่ามีคนกำลังจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน ความรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ได้มีแค่เขากับภัสสรเท่านั้นที่อยู่ในห้อง เขาสลัดความคิดออกจากหัวและสนใจกับการทดลองตรงหน้า หลังจากทำการทดลองเสร็จ รณภพก็ขอตัวไปยังห้องจักษุตา คือแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับดวงตา วันนี้เขานัดกับเพื่อนไว้ เพื่อนเขาจะมาตรวจวันนี้
“ ไงวะ โม หมอว่าไงบ้าง ” รณภพเรียกชื่อเพื่อน นะโม คือเพื่อนรุ่นพี่สมัยมัธยมของรณภพ ทั้งสองสนิทกันมากและเพราะชอบรถเหมือนกันเลยทำให้เขาทั้งสองคนมาพบกัน
“ ก็ดีขึ้นว่ะ ไม่นานก็หายมันก็แค่มองไม่เห็นชั่วคราว ดีนะที่ไม่บอดสนิทแค่ต้องใช้เวลาหน่อย ”
“ แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง? ”
“ ก็ตอนนั้นฉันแข่งรถในสนาม แล้วเกิดล้มดีนะแค่แขนหัก แต่ไม่ดีตรงที่หัวกระแทกพื้นวะเลยส่งผลกระทบต่อการมองเห็น ”
“ แขนหัก มองไม่เห็น ดีตรงไหน? ”
“ ก็ดีตรงที่ว่ากระดูกสันหลังไม่ได้หัก และตาก็ไม่ได้บอดสนิทไงวะ แกก็รู้นี่ ถ้ากระดูกสันหลังหักนั่นหมายถึงฉันต้องเป็นอัมพาต และไม่สามารถไปแข่งรถได้อีก นี่ตาก็แค่มองไม่เห็นชั่วคราว ก็ถือว่าพักผ่อนแค่นั้น ”
“ มันก็จริงนะ แล้วต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะมองเห็นได้ ”
“ ก็คงประมาณอีกสักเดือนสองเดือน จะว่าไปฉันก็อยากไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะอีกว่ะ ถ้านายว่างก็พาฉันไปอีกหน่อยนะ ”
“ จะไปก็ไปดิ ฉันพาไป ”
“ ว่าแต่ไปหาไรกินกันเหอะ หิวละ ” นะโมเอามือลูบท้อง ตั้งแต่เช้าเขาก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนี่ก็บ่ายกว่าแล้ว ท้องส่งเสียงร้องจนน่ารำคาญ
“ อืม ” รณภพลุกขึ้นเดินข้าง ๆ เพื่อนที่มีไม้เท้าเป็นตัวช่วยในการนำทาง
“ ถามหน่อยดิ นายใช้ชีวิตยังไงในความมืด ”
“ ก็แค่ใช้ชีวิตให้เหมือนปกตินั่นแหละ แต่ว่าแค่ทำอะไรไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อน แต่ตอนนี้ก็โอเคเริ่มคุ้นชิน ทำอะไรก็คล่องตัวกว่าช่วงแรก ๆ ”
“ ดีที่นายยังยอมรับความจริงได้ ”
“ หึ กว่าจะยอมรับได้ก็ใช้เวลาเหมือนกัน แต่เพราะเมื่อก่อนฉันก็แย่พอตัว ไม่ใช่แค่สถานะภาพทางกายนะ แต่รวมไปถึงจิตใจด้วยที่แย่ แต่เพราะมีครอบครัวที่คอยให้กำลังใจ และฉันก็รู้ว่าฉันมีทางที่จะหาย ฉันถึงยอมรับที่จะใช้ชีวิตในความมืดต่อไป คนที่มองไม่เห็นทางข้างหน้าก็เหมือนคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเองไปแล้วครึ่งนึง”
“ แต่ก็ไม่ทุกคนนี่วะ ฉันก็เห็นคนที่ร่างกายพิการประสบความสำเร็จก็มีเยอะแยะ เก่งก็เยอะ แถมบางคนทำได้ดีกว่าคนที่มีร่างกายสมบูรณ์แบบอีก ”
“ มันก็จริง แต่แกต้องเข้าใจด้วยว่า คนที่พิการตั้งแต่กำเนิด กับคนที่เพิ่งจะพิการ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ความรู้สึกไม่เหมือนกัน คนที่พิการมาแต่กำเนิด เขาไม่ได้มีเรื่องราวในอดีต เขาไม่ได้มองเห็นหรือสัมผัสอย่างที่คนที่เพิ่งสูญเสียต้องเจอ เขาเหล่านั้นสร้างภูมิคุ้มกันจนแข็งแกร่งแล้วเดินหน้าต่อไปได้ แต่กับคนที่เพิ่งสูญเสียไป เขาจะมีเรื่องราวในอดีตที่จะเปรียบเทียบกับปัจจุบัน อย่างเช่น เมื่อก่อนเคยทำได้กว่านี้ เคยมั่นใจได้กว่านี้ แต่ตอนนี้ กลับทำได้ไม่ดีเท่าตอนนั้น เหมือนกับนักฟุตบอลที่ต้องเสียขาไป ก็ไม่สามารถกลับไปเตะบอลได้อีก อาจจะเตะได้ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปทีมชาติ เห็นไหมว่าโอกาสก็ต่างกัน ” นะโม อธิบายให้รณภพเข้าใจ เพราะเขาเคยผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมา เขาโชคดีที่ยังมีโอกาสที่จะหายแล้วเขาจะท้อแท้ทำไม แต่กับคนบางคนไม่มีโอกาสที่จะหายเลยด้วยซ้ำ ทั้งสองเดินไปที่โรงอาหารของโรงพยาบาล ก่อนจะนั่งกินข้าวระหว่างที่นั่งกินข้าวรณภพก็คิดหาทางที่จะช่วยให้ภัสสรอยู่กับความเป็นจริงและยอมรับให้ได้
ในบริษัทเกี่ยวกับขนส่งสินค้า ตึกสูงสง่ามีร่างของภวัตต์ที่ยืนอ่านเอกสารอยู่ภายในห้อง ช่วงนี้เขายุ่ง ๆ กับการจัดการการขนส่งสินค้าทางเรือ หรือขนส่งน้ำมันไปยังต่างประเทศ
“ ก๊อก ๆ ”
“ เชิญครับ ”
“ วัตต์คะ ดื่มชาหน่อยสิคะ รฏาฝากเพื่อนซื้อมาจากเมืองจีนเห็นว่าดีต่อสุขภาพ ”
“ ผมอยากดื่มกาแฟ รฏาให้เลขาไปชงให้ผมทีสิครับ ”
“ ไม่เอาค่ะ ไม่ต้องดื่มกาแฟแล้ว คุณดื่มทุกวัน แล้วช่วงนี้ก็แทบไม่ได้พักผ่อนมันไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ รฏาว่าคุณมาดื่มชาที่รฏาชงให้ดีกว่าค่ะ ” หญิงสาวเรือนร่างระหง นำชารสเยี่ยมไปวางตรงโต๊ะรับแขกที่อยู่ข้าง ๆ ติดกับกระจกบานใหญ่ที่มองเห็นวิวของเมือง รฏายืนหันหลัง สายตามองไปยังเบื้องหน้าที่เห็นตึกต่าง ๆ รายล้อม เมืองท่องเที่ยวของภูเก็ต ภวัตต์เดินเข้าไปโอบเอวบอบบางของผู้หญิงที่เขารู้สึกหลงรัก
“ รฏาครับ ผมไม่อยากดื่มชา ” เสียงกระซิบของภวัตต์ ไกล่เกลี่ยที่ข้างหูของรฏาจนร่างบางขนลุกซู่
“ ถ้าไม่อยากดื่มชา งั้นคุณอยากดื่มอะไรคะ รฏาจะให้คนไปซื้อมาให้ ”
“ ผมอยากดื่ม...นม ” เขาเว้นระยะในการพูดสักพัก ก่อนจะบอกสิ่งที่เขาต้องการดื่มพร้อมกับงับเบา ๆ ที่หูร่างบาง จนรฏาแทบล้มทั้งยืน
“ บ้า วัตต์นี่มันที่ทำงานนะคะ คุณนี่ทะลึ่งจริง ๆ ”
“ น้า ผมอยากดื่ม นม ขอนมสด ๆ ยิ่งดี ”
“ ทะลึ่งจริง ๆ ” ภวัตต์ยิ้ม จนเห็นลักยิ้มนิด ๆที่แก้มซ้าย ลักยิ้มมักจะผุดขึ้นบนใบหน้าเวลาที่เขายิ้มแบบเจ้าเล่ห์
“ ผมอยากดื่มนมจริง ๆ ขอนมสดนะครับ ไม่เอาหวานขอรสชาติธรรมดา ” รฏาที่กำลังขวยเขินเริ่มรู้สึกชะงักเมื่อเธอรู้แล้วว่าสิ่งที่เขาพูดสองแง่สองง่ามมันหมายถึงสิ่งที่เขาอยากดื่มจริง ๆ นมสดจากนมวัว รฏาหันหน้ามาเผชิญกับภวัตต์เลยได้เห็นสายตาหวานหยดย้อยของเขาก่อนจะถูกเขาฉวยหอมพวงแก้มที่แดงระหงจากสิ่งที่เขาบอกก่อนหน้านี้
“ คิดอะไรทะลึ่งอยู่ละสิแก้มถึงแดงขนาดนี้ ”
“ ก็คุณพูดให้ฉันคิดนิ ”
“ อะไรครับ อะไร ผมพูดอะไร คุณคิดเองทั้งนั้น ” รอยยิ้มร้าย ๆ ผุดขึ้นที่แก้มของเขา พร้อมคลายมือออกเตรียมจะวิ่งหนีหญิงสาวตรงหน้า
“ นี่คุณวัตต์ มานี่เลยนะ ” การเย้าแหย่หยอกล้อก็เกิดขึ้นภายในห้องทำงาน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ความสุขภายในห้องเผยแผ่ไปเผื่อพนักงานที่อยู่ด้านนอกด้วย
“ รฏา เราจัดงานแต่งงานกันไหมครับ คุณทำไมไม่ตอบตกลงกับผมสักที คุณผลัดมานานแล้วนะครับ หรือคุณยังไม่มั่นใจในตัวผม ตอนนี้ภวิชกับมินตราก็มีพยานรักถึงสองคนแล้ว เราไม่อยากมีลูกของเราบ้างหรอครับ ” ภวัตต์ที่นอนหนุนตักรฏาหลังจากที่หยอกกันมาพอสมควร เขาดึงมือหญิงสาวเข้ามาจูบหลังฝ่ามือ แล้วสบตาหญิงสาวที่ส่งสายตามาหาเขา
“ คุณแน่ใจหรอคะว่าจะแต่งงานกับรฏา คุณไม่กลัวว่ามันจะผูกมัดคุณไว้หรอ ”
“ ก็ถ้าเป็นรฏา ผมยอมให้คุณมัดไว้จนตายเลย ”
“ ทำเป็นพูดดีไป ไว้ถ้ารฏาตอบตกลงจริง คุณหมดทางที่จะปฏิเสธเลยนะ ”
“ อยากหมดทางที่จะปฏิเสธเร็ว ๆ จัง ตอบตกลงสักทีนะครับนะ ” เสียงอ้อนวอนของภวัตต์ทำให้รฏาก้มหน้าลงมาจุมพิตที่หน้าผากของเขาด้วยความรักและเสน่หา
“ ไว้ให้รฏาแน่ใจในตัวคุณมากกว่านี้นะคะวัตต์ รฏาจะตอบตกลงกับคุณโดยที่ไม่มีข้อแม้เลย ” คำตอบของรฏาทำให้คิ้วเรียวงามเริ่มขมวดเป็นปมนี่เป็นรอบที่เท่าไหร่ที่เธอปฏิเสธการแต่งงานกับเขา คิ้วที่ขมวดเป็นปมของภวัตต์ทำให้นิ้วเรียวงามของรฏาต้องค่อย ๆ กดนวดเบา ๆ ให้เขาคลายปมม้วน ๆนั้นออก ภวัตต์เด้งตัวลุกขึ้นจากตักของหญิงสาวแล้วเดินไปหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาเปิดดูต่อเพื่อสงบจิตใจที่กำลังร้อนลุ่มอยู่ตอนนี้
“ แกร๊ก ” เสียงประตูถูกเปิดออกตามด้วยร่างสูงระหงเดินออกจากห้องโดยมีสายตาของภวัตต์มองตามหลัง
“ เป็นแบบนี้ทุกที ” ภวัตต์ถอนหายใจเพราะว่าทุกครั้งที่รฏาปฏิเสธและเขามีความขุ่นมัวในใจ รฏามักจะเดินหนีเขาเสมอ จนบางครั้งเขาก็สับสนว่าเธอรักเขาจริงหรือเปล่า ภวัตต์ฟุบลงที่โต๊ะเอามือยื่นไปข้างนึงเพื่อใช้หัวหนุนแทนหมอนด้วยความเหนื่อยล้าจากข้อความตรงเอกสาร ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกถึงมืออุ่น ๆ ที่ยื่นมากุมมือเขา พร้อมกับยื่นแก้วนมสดอุ่น ๆ มาวางตรงหน้า
“ อย่าโกรธรฏาเลยนะคะวัตต์ ดื่มนมก่อนเร็ว เดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อยน้า ” เธอยิ้มหวานเข้าสู้ ก็มามุขนี้ทุกทีแล้วเขาจะทนใจแข็งได้หรอ
“ ครับ ” ภวัตต์หยิบแก้วนมขึ้นมาดื่ม แค่ยิ้มหวาน ๆ กับนมอุ่น ๆ แก้วหนึ่ง เธอก็ทำให้เขาใจอ่อนแล้ว ในขณะที่ใจเขาร้อนลุ่มแต่ดูสิสาวเจ้านั่งยิ้มหวานดูไม่สะทกสะท้าน