“ ไม่นะพี่วัตต์ก็วาวบอกแล้วไงคะว่าวาวไม่อยากไป ทำไมพี่วัตต์ต้องบังคับวาวด้วย ” ภัสสรร้องครวญเมื่อพี่ชายของเธอบังคับให้เธอออกไปทานข้าวนอกบ้านพร้อมกับพวกเขา
“ ไปกับพี่สักวันหนึ่งเถอะวาว พี่ขอ เราไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันนานแล้วนะ ” ภวัตต์ค่อยๆ ดึงมือน้องสาวไปยังรถที่มาจอดรอรับอยู่หน้าประตู
“ เดี๋ยวนี้พี่วัตต์บังคับวาวแล้วหรอค่ะ ”
“ ไม่เลย พี่แค่ขอร้อง พี่ไม่อยากเห็นน้องสาวของพี่ต้องเป็นแบบนี้นะ ” คำพูดของพี่ชายทำให้ภัสสรนิ่งไปชั่วขณะ ขณะเดียวกัน ภวัตต์ก็เผลอนึกได้ว่าคำพูดที่พูดออกไปอาจทำร้ายน้องสาวให้เสียใจ เพราะคำว่า เป็นแบบนี้ ในความหมายของคนเป็นพี่กับคนเป็นน้องอาจจะตีความไปต่างกัน สำหรับภวัตต์อาจหมายถึง ไม่อยากเห็นน้องต้องมีอาการซึมเศร้าและไม่สนใจใคร แต่สำหรับภัสสรเธออาจคิดว่า มันเป็นเพราะสภาพร่างกายเธอต่างไปจากเดิม
“ วาว พี่ขอโทษพี่ไม่ได้หมายความว่ายังงั้นนะ ”
“ ไม่ต้องขอโทษวาวหรอกค่ะพี่วัตต์ วาวไปก็ได้ค่ะ ”
คำตอบของน้องสาวทำให้คนเป็นพี่ยิ้มออก อย่างน้อยๆ น้องเขาก็เปิดใจขึ้นกว่าแต่ก่อน….สภาพจิตใจของภัสสรเป็นอย่างไรเขารู้ดีเขาอยากให้น้องสาวกลับมาสดใสเช่นเดิม ไม่ว่าจะวิธีไหนเขาก็จะทำ
ระหว่างทางที่มาภวัตต์แอบสำรวจสีหน้าของน้องสาวพลางคาดเดาความคิดน้องตัวเองว่าตอนนี้กำลังคิดอะไร
“ พี่วัตต์จะพาวาวไปกินข้าวที่ไหนคะ ไกลหรือเปล่า ” ภัสสรพูดขึ้นทำให้ความคิดหยุดลงก่อนจะตอบน้องสาวด้วยความเอ็นดู
“ ก็ร้านเดิมที่วาวชอบไปกินไง ก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่น้องชอบแล้วก็ไอศครีมช็อกโกเลต ” ภัสสรแอบยิ้มนิดๆ เมื่อพี่ชายยังคงจำได้ดีว่าของที่โปรดปรานของเธอคืออะไร
“ ไม่ต้องมาพูดเอาใจวาวเลยค่ะ วันนี้วาวก็ไปด้วยแล้วไง จะกินให้พี่หมดตัวเลยคอยดู ”
“ ฮ่า ๆ เอาเลยสิถ้าวาวกินได้ อย่าลืมนะ ว่า พี่ รวย ”
“ ค่ะ ลืมไปค่ะว่าพี่รวย นี่ถ้าเปลี่ยนจากกินจะช็อปปิ้งให้หมดเลย …ถ้าทำได้ ”น้ำเสียงสดใสลดลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมองไม่เห็นดังเมื่อก่อน
“ ไม่เอาน่าวาว ตอนนี้วาวก็ยังทำสิ่งที่วาวอยากทำได้นี่นา ”
“ แต่พี่ก็รู้นี่ว่าวาวมองไม่เห็น แล้ววาวจะทำได้ยังไง ”
“ ทำไมจะไม่ได้ วาวอยากได้อะไร ก็บอกพี่มาเดี๋ยวพี่ซื้อให้ ”
“ ช่างมันเถอะค่ะ ถึงซื้อมาตอนนี้วาวก็มองไม่เห็นอยู่ดี วาวไม่อยากได้อะไรหรอก อย่าพูดเรื่องนี้เลยค่ะ ”
“ โอเค ”
รถคันงามแล่นเข้ามาจอดหน้าร้านประจำที่ภัสสรชอบทานบรรยากาศที่นี่ยังคงร่มเย็นและเป็นธรรมชาติ สงบ สบายตา ห้องกระจกที่มองออกไปวิวด้านนอกเป็นส่วนหย่อม ภวัตต์เปิดประตูให้น้องสาวที่วันนี้เธอใส่ชุดเดรสสีชมพูอ่อนในมือมีไม้นำทางด้ามสีดำสนิท ภัสสรเริ่มคุ้นชินกับการที่ต้องใช้ไม้ในการนำทางไปที่ต่างๆ แล้ว ตอนนี้เธอแค่กำลังพยายามที่จะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ภัสสรเดินเคียงข้างภวัตต์ เข้าไปในร้านอาหารโดยไม่รู้เลยว่าด้านในมีคนที่รอคอยเธออยู่ ทันทีที่เธอเดินเข้ามาในร้าน สายตาสามคู่ก็มองไปยังประตู คนทั้งสามที่นั่งรอบนโต๊ะ มีภวิช มีมินตราและอีกคน ก็คือ รณภพ
“ วาว ผมดีใจนะที่วันนี้คุณมากินข้าวกับพี่ๆ ของคุณ ”
“ นี่ นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย ”
“ วาวพูดว่าอะไรนะ ” เสียงภวัตต์หันไปถามน้องสาวข้างกายที่ได้ยินเธอพูดอะไรสักประโยคแต่เขาฟังไม่ถนัด
“ ปะ เปล่าค่ะ พี่วัตต์ ” ภัสสรปฏิเสธ และเอียงตัว ไปกระซิบกับคนที่เธอเห็นเขาได้เพียงแค่คนเดียว
“ เพราะนายนั่นแหล่ะ ”
‘ มาโทษผมได้ยังไง ผมก็แค่ถามคุณตามปกติ ’
“ นายก็รู้นี่ว่าฉันเห็นนายแค่คนเดียว ”
‘ ก็เพราะคุณเห็นผมแค่คนเดียวไง ผมถึงคุยได้แค่กับคุณ ’ เสียงทั้งสองคนที่กระซิบเบาๆ รู้กันแค่สองคน หยุดลง เมื่อภวัตต์ดึงแขนน้องสาวให้ตรงไปยังโต๊ะที่ภวิชจองไว้ก่อนหน้านั้นแล้วเมื่อเดินเข้าใกล้โต๊ะ ภัสสรกลับไม่เห็นทีปกร
' ไปไหนแล้วนะ นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป ' เธอแอบบ่นในใจที่อยู่ๆ เขาก็หายไปอย่างดื้อๆ
“ วาว นั่งตรงนี้นะข้าง ๆ พี่ ” ภวิชเลื่อนเก้าอี้ให้น้อง นั่งด้านขวามือของเขา ด้านซ้ายของเขาคือมินตราภรรยาคนสวยที่ตอนนี้หลังจากที่พาเธอไปตรวจแล้วก็ยิ่งได้ข่าวดีว่าเธอตั้งท้องได้เดือนกว่า ๆ แล้ว
รณภพนั่งฝั่งตรงข้ามกับภัสสร เธอยังคงงดงามเหมือนเดิมเพียงแต่รอยยิ้มที่สดใสกลับลดลง เธอดูผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเธอที่มองมาทางเขาเหมือนกับเธอมองไปยังที่ที่ไกลแสนไกลเพราะแฟ้มประวัติที่เขาเห็น มันมีข้อมูลเกี่ยวกับดวงตาของเธอ เขาต้องการความแน่ใจว่าเธอเป็นยังไงกันแน่ มันเกินความคาดหมายของเขา ไม่คิดว่าจะได้พบกับเธอในสภาพเช่นนี้ คิดว่าจะได้ฟาดฟันกันด้วยคำพูดเหมือนแต่ก่อน แต่มันก็ผิดคาด
“ เอาล่ะ สั่งอาหารกันดีกว่า วาวกินอะไรดี พี่สั่งเส้นเล็กต้มยำพิเศษให้วาวแล้วนะ ”
“ อะไรก็ได้ค่ะ แล้วแต่พวกพี่เลย ” ภัสสรตอบเสียงนิ่ง ๆ ภวิชถอนหายใจเบา ๆ มินตราเอามือลูบแขนภวิชให้เขาใจเย็นๆ เสียงการสนทนาต่าง ๆ ดำเนินไปเรื่อย ๆ ภัสสรเมื่อถูกถามคำก็ตอบคำ มีเพียงรณภพเท่านั้นที่ยุติการสนทนาลงเมื่อภัสสรมาถึง ก่อนหน้านี้เขาตกลงกับมินตราและต้องการให้มินตราร่วมมือกับเขาโดยไม่ต้องบอกภัสสรว่าเขาอยู่ที่นี่เพราะเขาอยากรู้ว่าหลังจากที่เขาไม่อยู่ ภัสสรใช้ชีวิตความเป็นอยู่แบบไหน รณภพนั่งมองภัสสรที่ถึงแม้ว่ารอยยิ้มจะลดลง แต่เมื่อมีอาหารจารโปรดก็พอจะทำให้เธอดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง เพราะดูท่ากับอาหารที่ชอบ ยังไงก็คือชอบ ไม่มีเสียงสนทนาของรณภพเกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารมีเพียงเสียงสนทนาระหว่างภวัตต์ รฏา มินตรา และภวิช ส่วนภัสสรก็ตอบแค่ส่วนที่มีคนถาม รณภพสังเกตภัสสรเป็นระยะ ๆ เมื่อทานข้าวหมดก็ต้องเติมน้ำ รณภพหยิบเหยือกน้ำที่อยู่ตรงมุมโต๊ะเติมให้กับสาวตรงหน้าเพราะเห็นว่าน้ำในแก้วเธอมันลดลงจนเกือบหมดแต่หลังจากดื่มน้ำเสร็จก็ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่พอใจ สีหน้าดูต้องการบางอย่างเพิ่มแต่ภัสสรกลับไม่เอ่ยปาก ไม่นานรณภพก็นึกขึ้นได้ว่าสิ่งใดที่เธอต้องการ เขายกมือขึ้นเรียกพนักงานแล้วก็ซุบซิบเบา ๆ สั่งของบางอย่าง ไม่นานนักบริกรก็มาพร้อมกับ ไอศครีมรสช็อคโกแลตและมะนาว รวมทั้งยังมีน้ำมะพร้าวด้วย บริกรเสิร์ฟไอศครีมรสโปรดลงตรงหน้าภัสสร ทำให้พี่ชายทั้งสองที่ตอนแรกฉงนใจว่ารณภพสั่งอะไรกับพนักงาน แต่พอนึกออกว่าเป็นสิ่งที่น้องสาวชอบก็ถึงบางอ้อ
“ ไอศครีมและน้ำมะพร้าวสำหรับคุณผู้หญิงครับ ”
“ เอ๊ะ ” เสียงภัสสรงงเล็กน้อย เพราะเธอจำได้ว่าลืมสั่งไอศรีมไป แล้วทำไมเขาถึงมาเสิร์ฟได้
“ พี่สั่งเองแหละ ก็ปกติวาวชอบกินหลังจากกินข้าวแล้วไม่ใช่หรอ ” ภวัตต์ที่เห็นท่าทางน้องสงสัยและอีกอย่างรณภพเองก็พยักหน้าให้ช่วยคลายข้อสงสัยให้ภัสสรด้วย
“ นี่พี่วัตต์ยังจำได้หรอคะ ”
“ ก็ต้องจำได้สิพี่มีน้องสาวแค่คนเดียวจะลืมได้ไง ” คำตอบภวัตต์ทำให้ทุกคนเบ้ปากเลยทีเดียว ที่จริงทั้งภวัตต์และ ภวิชลืม ภัสสรยิ้มจางๆ เล็กน้อยก่อนจะลงมือทานไอศครีมรสโปรดและน้ำผลไม้ที่แสนอร่อย หลังจากทานอาหารเสร็จทุกคนต่างแยกย้าย รณภพกลับไปที่คอนโดเขานั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง แฟ้มประวัติของภัสสรที่เขาแอบอ่านดูอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นมันคือช่วงที่เขาไปเรียนที่ต่างประเทศ เหตุการณ์นี้มันเพิ่งผ่านมาไม่นานนี่นา คุณหนูขี้วีนในตอนนั้น ไม่เหลือมาดอยู่เลยในตอนนี้ เห็นทีจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็คงไม่ได้ โทรศัพท์คู่กายถูกหยิบขึ้นมาโทรหาผู้ชายอีกคนที่ต้องรับรู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นแน่นอนว่าก็คงเป็นฐาปกรณ์
“ นี่วาว คุณไม่เห็นผมหรือยังไง ” ทีปกรณ์ไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งๆ ทีอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาในร้านอาหารแต่ทำไมภัสสรกลับมองไม่เห็นเขาความสงสัยนี้ยังคงเก็บไว้ในใจ
“ ว้าย นายเข้ามาในนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ” ภัสสรเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับไม้นำทางคู่กาย พบชายหนุ่มที่ป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ เธอแต่ตอนที่ทานอาหารต้องการคนอยู่เป็นเพื่อนเขากลับหายไปเสียดื้อ ๆ
“ วาว ผมถามจริง ๆ คุณไม่เห็นผมจริง ๆ หรอในร้านอาหารนั้น ”
“ ก็ใช่น่ะสิ ทีเวลาที่ฉันต้องการให้อยู่ดันหายไป แล้วทีนี้ฉันต้องการพื้นที่ส่วนตัว ทำไมถึงโผล่มาให้เห็นซะได้ ”
“ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมถึงเป็นแบบนั้น ” ทีปกรทำท่าครุ่นคิด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เขาอยู่กับภัสสรแต่ภัสสรกับมองไม่เห็นเขาเหมือนปกติ และเหตุการณ์ทุก ๆ ครั้งที่เธอไม่เห็นเขา มักจะมีคนคนนั้นอยู่เสมอ
“ ชั่งมันเถอะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วฉันอยากพักผ่อน ”
“ คุณนอนพักเถอะ ผมอยากอยู่เป็นเพื่อนคุณ สักพักผมจะไป ”
“ จะให้บอกกี่ทีว่าถึงจะไม่มีใครเห็นคุณ และมีแค่ฉันที่เห็นคุณก็เถอะ แต่การที่มีผู้ชายอยู่ในห้อง มาจ้องฉันตอนนอน มันก็รู้สึกหลอนเหมือนกันนะ ”
“ ฮ่า ๆ ก็ได้ผมไปก็ได้ ฝันดีนะครับ ” ทีปกรพูดราตรีสวัสดิ์ก่อนร่างจะค่อย ๆ รางเลือนไปภัสสรหันซ้ายหันขวามองให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว เธอจึงล้มตัวลงนอน หลังจากที่ภัสสรประสบอุบัติเหตุ ภวัตต์ก็ให้คนมาติดตั้งไฟอัตโนมัติที่บ้านเผื่อเวลากลางคืนภัสสรจะเดินออกจากห้องแล้วไปที่ไหนเมื่อเธอเดินผ่านเซนเซอร์ที่ติดตั้งจะทำงานเปิดไฟอัตโนมัติ สะดวกที่คนอื่นจะมองเห็นภัสสรได้ง่าย ๆ ร่างของทีปกรค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ภัสสรได้หลับใหลไปแล้วเขายืนมองหน้าหญิงสาวตรงหน้าด้วยความหลงใหล คงจะดีกว่านี้ ถ้าร่างกายเขาสามารถปกป้องและจับต้องเธอได้มากกว่านี้ ถึงแม้จะสัมผัสได้ ก็แค่เป็นครั้งคราว ตอนนี้ที่เขาเผชิญอยู่มันคืออะไร เขาตายแล้วหรือ แต่ทำไม เธอเห็นเขา แล้วถ้าเขาตายแล้วจริง ๆ ทำไมเขาถึงมาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ เธอ
“ แกร๊ก ” เสียงลูกบิดประตูที่เหมือนดูว่าจะเป็นการไขประตูเพราะทุกครั้งที่ภัสสรนอนหลับ เธอจะล็อกห้องเสมอ จังหวะที่ประตูถูกเปิดออก ร่างทีปกรก็ค่อย ๆ เลือนรางไป ร่างสูงที่ก้าวเข้าห้อง เดินผ่านกำแพงที่ติดตั้งเซนเซอร์ไฟก็เปิดขึ้น ชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามาในห้อง เดินผ่านหน้า ทีปกรที่อยู่ข้าง ๆ มุมเสา เฉียดไปเพียงเล็กน้อยแต่ก็ทำให้ผู้ชายที่เข้ามาในห้องหันมามองเขาได้ สายตาสบกัน เหมือนดั่งชายตรงหน้ามองเห็นเขาอย่างไรอย่างนั้น แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น ชายที่ก้าวเข้ามาในห้องก็อ้อมไปอีกฝั่งหนึ่งของเตียง เลื่อนเก้าอี้จากโต๊ะทำงานหมุนออกมาแล้วหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้นั่งมองหน้าภัสสร ก่อนจะเห็นเขาหยิบสร้อยข้อมือออกจากกางเกงแต่นั่นก็พอจะทำให้ทีปกร ตาค้างได้ สร้อยข้อมือ เส้นนั้น เส้นที่เขาคุ้นเคยแต่ทำไมถึงมาอยู่ที่ผู้ชายคนนี้ได้ มันหมายความว่ายังไงกันทีปกรรู้สึกว่ามีความทรงจำช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่หายไปแต่นึกยังไงเขาก็นึกไม่ออก
“ เวลาเกือบสามปี มันผ่านไปไวเหลือเกิน ” เสียงคำพูดเบา ๆ หลุดออกมาจากหนุ่มร่างสูง ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ข้างเตียงนอน มองหน้าภัสสร คิ้วขมวดเป็นปมสร้อยข้อมือเส้นนี้ เขาเก็บไว้ติดตัวมาตลอด ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องกับมินตราในบ้านหลังเล็กตอนนั้น ความตกใจในวันที่เขามองรอบ ๆห้องที่เต็มไปด้วยเลือดรวมถึงรูปภาพการฆาตกรรมและเป็นเพราะมือปัดไปโดนพวงกุญแจที่ห้อยไว้ที่ข้างตัวตกลงพื้นทำให้เขาต้องก้มลงไปเก็บ แต่ก็ควานเจอสร้อยข้อมือนี้ออกมาด้วย ความจริงเรื่องในตอนนั้นเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภัสสรเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนั้นหรือเปล่า มันก็ยังคงค้างคาใจเขามาจนถึงวันนี้