เสียงนางเบาราวเสียงสายลม ทว่าแฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง อวี้เหวินได้แต่ยืนเกาศีรษะ หัวเราะแห้ง ๆ อย่างจนปัญญา เมื่อบรรยากาศเริ่มคลี่คลาย เขาก็พลันเอ่ยขึ้น “ข้าขอตัวไปหาปลาจับปูมาย่างกินก่อนเถิด...ท้องข้าเริ่มร้องแล้ว” กล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินจากไปยังแนวโขดหินด้วยท่าทีร่าเริงเจือความกระดากอาย ส่วนเซี่ย
“เดี๋ยวก่อน! ข้า…ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าจริงๆ!” เขาชูมือทั้งสองขึ้นสะบัดไปมาราวจะปัดเป่าสิ่งใดออก “เมื่อคืน...เจ้าถูกพิษมาร พลังเย็นในร่างกายของเจ้ากำลังแทรกซึมเข้าลึกถึงจุดตันเถียน หากมิรีบถ่ายพลังหยางประคับประคองไว้ เจ้าคง...” เสียงของเขาสั่นไหวด้วยความลนลาน ปราศจากเจตนาอื่นใดในแววตา เขารีบกล่าวต่อ “
ประตูไม้เก่าเก็บของเพิงพักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกผลักเปิดออก เสาไม้ผุกร่อนเอียงตามแรงลมประหนึ่งจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ กลิ่นอับชื้นจากเศษฝุ่นและไม้เก่าภายในชวนให้นึกถึงเพิงร้างไร้ผู้คน อวี้เหวินก้าวเข้าสู่ที่พักชั่วคราวนั้นอย่างระมัดระวัง แขนแข็งแรงประคองร่างบางในชุดขาวของสตรีเบื้องหน้าไว้แนบอก ราวกั
“เจ้าช่วยตรวจดูให้น้อยหน่อยได้หรือไม่... ว่านางเป็นเช่นไรบ้างเเล้ว” เสียงของเขาเอ่ยเบา ทว่าเต็มไปด้วยความกังวลลึกซึ้ง หันไปยังร่างเล็กผู้หนึ่งที่ปรากฏข้างกายโดยไร้สุ้มเสียง ซ่งเหยียนเฟย บุรุษน้อยในเรือนร่างคล้ายตุ๊กตา ผมยาวสีแดงราวเปลวอัคคี ตวัดสายตาดูนางแวบหนึ่งก่อนจะหลับตา มือเรียวเล็กประหนึ่งกิ
เขาพานางไปวางยังเพิงไม้เล็กๆ หลังหนึ่งริมชายหาด(ใกล้ท่าเรือ) แม้จะเก่าและผุพัง แต่ก็พอให้ลี้ลมหนาวแห่งรัตติกาลได้บ้าง เมื่อจัดวางร่างนางให้นอนอย่างสบายแล้ว เขาใช้ผ้าคลุมกายที่ฉีกขาดครึ่งหนึ่งห่มให้นาง แววตาใต้ขนตาดำยาวของอวี้เหวินทอดมองใบหน้านางที่แม้จะหลับใหล ก็ยังงดงามราวภาพวาด...งดงามจนชวนให้ใจสั
“ขอบคุณ…ท่านจอมยุทธ์…ที่ช่วยปลดปล่อยข้า…” เขากระอักเลือดคำหนึ่ง ก่อนเปื้อนรอยยิ้มจางบนริมฝีปาก “…ฝากท่าน…บอกลาภรรยาข้าด้วย…” ยังไม่ทันสิ้นคำ ร่างนั้นทรุดฮวบลงหาเบื้องหน้า ทว่าอวี้เหวินก้าวเข้าไปรับไว้ทันอย่างเฉียดฉิว แขนที่สั่นเทาด้วยแรงสู้รบยังโอบประคองร่างของเขาไว้อย่างแผ่วเบา ราวจับต้องกลีบบุป
ใต้ฟ้าค่ำ...ทะเลไร้คลื่นลมกลับโหมกระหน่ำด้วยกลิ่นอายแห่งการประทะอันเกรี้ยวกราด ริมฝั่งเกาะร้างท่ามกลางม่านรัตติกาล อวี้เหวินยืนนิ่งกลางพื้นทรายที่แตกร้าวเป็นตาข่ายโลหิต เบื้องหน้าเขา ร่างอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหลิวหงกลับทรุดตัวลงอย่างยากจะหยัดยืน พลังที่เคยแข็งแกร่งเช่นขุนเขา บัดนี้กลับสั่นคลอนดั่ง
“เจ้าทำร้ายสหายของข้ามาแล้วสองคน…” เสียงเขาหนักแน่นทีละคำ คล้ายค้อนเหล็กทุบหัวใจผู้ฟัง “เจ้า…” “จะไม่มีวันหนีจากชะตาของเจ้าวันนี้ได้…” เพลิงโทสะพลันปะทุรอบกายอวี้เหวิน เปลวเพลิงสีส้มแดงปะปนกับประกายครามของ เตาอัสนีวิบัติ แผ่พุ่งออกจากกายของเขา ก่อเกิดคลื่นลมแรงรอบทิศจนพื้นทรายสั่นไหว “หากเ
เขานึกถึงคำเล่าของเด็กน้อยถึงชายชราร้ายในร่างชายวัยกลางคนผู้นี้ น้ำเสียงเศร้า สีหน้าสะท้อนความสูญเสีย… "ไม่มีทาง…แม้เฒ่าชั่วเจ้ากลเล่ห์ยังยากจะสวมบทได้แนบเนียนถึงเพียงนั้น" “หากมิใช่การเสแสร้ง เช่นนั้นย่อมเป็นสิ่งเดียว…” “…เขาเฝ้ามองเราตั้งแต่ต้น…” ดวงตาคมกริบของอวี้เหวินสั่นไหวด้วยประกายขุ่