Share

บทที่ 5

Author: Prince_White
last update Last Updated: 2025-04-20 16:17:49

ยามอรุณรุ่งเรืองรอง แสงสุริยันแรกผุดพ้นขอบฟ้า สาดส่องสีทองทาบทาทั่วผืนแผ่นดิน ลอดผ่านร่องรอยปริแตกเพียงเล็กน้อยของบานหน้าต่างไม้ ต้องใบหน้าคมสันของอวี้เหวิน เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ ท้องนภาสีครามสดใส ไร้ซึ่งเมฆามาบดบัง หมู่สกุณาน้อยใหญ่ต่างขับขานเสียงเพลงอันไพเราะ ดังก้องกังวานไปทั่วพฤกษานานา ระหว่างที่พวกมันโผบินออกหาอาหารในยามเช้า

อวี้เหวินค่อยๆ ลืมตาตื่นจากนิทรา ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามวิถีแห่งผู้ฝึกตน ก่อนที่แสงตะวันจะทอเต็มฟ้า เขาจะฝึกฝนร่างกายเสริมสร้างความแข็งแกร่ง เพื่อเป็นรากฐานอันมั่นคงในการบ่มเพาะพลังปราณในภายภาคหน้า วันนี้ก็เช่นเคย ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม "ฟึ่บ! ฟึ่บ!" เสียงหมัดหนักแน่นผสานกับการเคลื่อนไหวที่ว่องไว ราวกับสายลมที่พัดผ่าน นี่เป็นช่วงท้ายของการฝึกกายา เหงื่อที่ไหลรินชุ่มโชกอาภรณ์เนื้อหยาบที่สวมใส่ เป็นดั่งเครื่องยืนยันถึงความมานะพากเพียรในการขับพิษและสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย

เมื่อสุริยเทพเพิ่งจะฉายรัศมีเจิดจ้า อวี้เหวินหลังจากรับประทานอาหารเช้าที่เรียบง่ายแต่เพียงพอต่อการบำรุงกำลังเสร็จสิ้น จึงเตรียมตัวออกเดินทางสู่พงไพรบนยอดเขา เขาจัดเตรียมธนู คันศร และมีดล่าสัตว์ต่างๆ ใส่ลงในย่ามหนังที่สะพายอยู่ด้านหลัง ขณะที่เขากำลังตรวจตราความพร้อมของสัมภาระ เสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยก็ดังขึ้น

"เหวินเออร์ เจ้าจะไปแล้วหรือ?"

อวี้เหวินหันกายไปยังทิศทางของเสียงนั้น ปรากฏร่างของผู้เป็นบิดา ผู้มีใบหน้าคมคายแต่ยังคงปรากฏร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้า ดวงตาของเขาทอประกายแห่งความเมตตาและห่วงใย

"ขอรับท่านพ่อ แสงอรุณเพิ่งจะจับขอบฟ้า ลูกเกรงว่าการเดินทางอาจยาวนาน จึงใคร่ขอออกเดินทางแต่เนิ่นๆ เพื่อมิให้พลบค่ำเสียก่อน"

"ดี...เจ้าจงไปเถิด แต่จงจำไว้ อย่าได้ประมาทหรือใจร้อน หากพบพานสิ่งใดผิดปกติ จงรีบถอยกลับมาโดยเร็ว ชีวิตของเจ้าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด" สายตาของผู้เป็นบิดามองไปยังบุตรชายด้วยความเป็นกังวลอย่างลึกซึ้ง ขุนเขาลูกนี้เป็นที่เลื่องลือถึงความอันตราย เคยกลืนกินชีวิตของผู้คนมามากมาย ตั้งแต่ยุคโบราณ แม้บริเวณตีนเขาจะมิปรากฏสัตว์อสูรร้ายกาจ แต่ใครเล่าจะหยั่งรู้ถึงภัยซ่อนเร้นที่อาจแฝงตัวอยู่ การระมัดระวังไว้ก่อนย่อมประเสริฐกว่าการแก้ไขเมื่อภัยมาถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเอง

"ขอรับ ข้าจักจดจำคำสั่งสอนของท่านไว้ในใจ ข้าจะไม่ประมาทและจะไม่ทำให้ท่านต้องเป็นห่วง ท่านพ่อโปรดวางใจเถิด" อวี้เหวินรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแววตาที่แน่วแน่

เพียงชั่วครู่หลังจากนั้น อวี้เหวินจึงก้าวพ้นธรณีประตูเรือนไป แสงสุริยันยามเช้าสาดส่องอบอุ่นลงบนแผ่นหลังของเขา เท้าทั้งสองเหยียบย่ำบนพื้นดินลูกรังที่ขรุขระ มีทั้งส่วนที่เป็นดินแข็งกระด้าง บ้างก็เป็นแอ่งน้ำเล็กๆ ที่ยังคงมีน้ำค้างหลงเหลืออยู่ บ้างก็มีก้อนหินน้อยใหญ่โผล่พ้นพื้นดิน

ทุกย่างก้าวของอวี้เหวินเต็มไปด้วยความระมัดระวัง หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว... "กุบกับ...กุบกับ..." เสียงล้อรถม้าไม้เก่าคร่ำคร่า บดเบียดกับพื้นถนนดังสนั่น วิ่งสวนทางกับอวี้เหวินไปด้วยความเร่งรีบ ม้าเทียมสองตัวส่งเสียงฮี้เบาๆ พลางสะบัดแผงคอ ฝุ่นดินสีน้ำตาลฟุ้งกระจายขึ้นสูง ล่องลอยไปตามกระแสลมยามเช้า

"แค่ก...แค่ก..." อวี้เหวินยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากพลางไอออกมา ใบหน้าคมสันขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลดมือลงแล้วโบกสะบัดไล่ฝุ่นในอากาศ เขาสั่นศีรษะเบาๆ อย่างระอาใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไป

เมืองที่เขาอาศัยอยู่มิได้โอ่อ่าใหญ่โตนัก แต่กลับมีชีวิตชีวาและคลาคล่ำไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างเร่งรีบเดินขวักไขว่เพื่อหาที่พักพิง บ้างจับจองพื้นที่ริมทางเท้า ตั้งแผงนำสินค้าพื้นเมืองนานาชนิดออกมาวางขาย บ้างเป็นพ่อค้าเร่ที่ใช้เส้นทางนี้เพื่อเดินทางไปยังเมืองอื่นที่อยู่ไกลออกไป เสียงพูดคุยต่อรองราคาสินค้าดังเซ็งแซ่ ปะปนกับเสียงร้องขายของของพ่อค้าแม่ค้า

"เจ้าหนุ่ม...เข้ามาดูก่อนเถิด" เสียงแหบพร่าของชายชราดังขึ้นจากแผงลอยเล็กๆ ริมทาง อวี้เหวินชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย มองไปยังชายชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ผิวหนังเหี่ยวย่นราวเปลือกไม้ที่นั่งอยู่หลังแผงที่วางสินค้ากระจุกกระจิก

"ข้าเดาว่าเจ้ากำลังจะออกไปล่าสัตว์ นี่คือขนของเสืออัคคี" ชายชรายกแผ่นหนังสีส้มลายดำขึ้นมาโชว์ ดวงตาขุ่นมัวเป็นประกาย "กลิ่นสาปของมันจะช่วยเจ้าได้มากทีเดียว เจอกับเจ้าในวันนี้ถือเป็นวาสนา ข้าจะลดราคาให้เจ้าพิเศษ เหลือเพียงห้าร้อยเหรียญทองแดงเท่านั้น" ชายชรากล่าวพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันหน้าที่เหลืออยู่เพียงสองซี่ที่ดูคลอนแคลนอย่างจริงใจ

"ขอบคุณท่านมากขอรับ แต่ข้าเกรงว่าจะมิใคร่จำเป็น ท่านเก็บไว้ขายให้ผู้อื่นเถิด" อวี้เหวินประสานมือคารวะเล็กน้อย พร้อมกับส่ายศีรษะและส่งยิ้มสุภาพตอบกลับไป

ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองแผ่นหนังในมือชายชราอย่างพิจารณา เสืออัคคี แม้เขาจะยังไม่เคยพบเห็นด้วยตาตนเอง แต่ก็เคยได้ยินเรื่องราวจากนักล่าคนอื่นๆ มาบ้าง ในฐานะนักล่าสัตว์ป่าผู้ช่ำชอง มันเป็นอสูรระดับต่ำเฉกเช่นหมาป่าอสูร สิ่งล้ำค่าที่สุดของมันคือเขี้ยวยาวทั้งสองข้าง ซึ่งมีราคาสูงถึงสิบเหรียญเงินในตลาด ขนของมันแม้มิได้มีค่าเท่าเขี้ยว แต่ก็ถือเป็นของจากสัตว์อสูร หากสิ่งที่ชายชราผู้นี้กล่าวเป็นความจริง เหตุใดราคาจึงต่ำถึงเพียงนี้ สุดท้ายคงเป็นเพียงอุบายหลอกลวงเพื่อหวังรีดไถเงินจากเด็กหนุ่มเท่านั้น

"จะไม่รับไว้จริงๆ หรือพ่อหนุ่มเอ๋ย" ชายชราเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองอวี้เหวินด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความสงสัยระคนผิดหวัง

"ของดีหายากเช่นนี้ ต่อให้เจ้าใช้เวลาทั้งชีวิตตามหา ก็มิอาจพบเจอโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว หรือว่ายังแพงไป? เช่นนั้นพ่อหนุ่ม ข้าจะลดให้เจ้าพิเศษสุดๆ เหลือเพียงสามร้อยเหรียญทองแดงเท่านั้น จะเอารึไม่?" ชายชราโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนเป็นคะยั้นคะยอแกมข่มขู่เล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอวี้เหวินมิได้แสดงความสนใจในสินค้าของตนแม้แต่น้อย

แต่อวี้เหวินก็ยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน สายตามองตรงไปข้างหน้า โดยมิได้หันกลับไปสนใจเสียงของชายชราผู้นั้นแม้แต่คำเดียว ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด

"หึ...เด็กสมัยนี้ช่างเฉลียวฉลาดนัก ผิดกับข้าเมื่อเยาว์วัยราวฟ้ากับดิน" ชายชรามองตามแผ่นหลังของอวี้เหวินที่เดินห่างออกไป ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางสบถในใจและหวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม นึกถึงเรื่องที่ตนเองเคยถูกหลอกลวงด้วยอุบายเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็พลันปรากฏร่องรอยแห่งความละอายใจ เขาจึงรีบสงบจิตใจ ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลซึมตามไรผม ครู่นึง เขาก็เริ่มกล่าวเชิญชวนผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้มาซื้อสินค้าของตนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้นกว่าเดิม

ในแคว้นตงชิงอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เงินตราที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนนั้นมีอยู่สี่สกุลหลัก เรียงตามลำดับค่าจากน้อยไปมาก ได้แก่ เหรียญทองแดงอันเป็นหน่วยต่ำสุด เหรียญเงินที่สูงค่าขึ้นมา เหรียญทองอันล้ำค่า และเหรียญเพชรซึ่งเป็นดั่งอัญมณีแห่งความมั่งคั่ง โดยมีอัตราส่วนในการแลกเปลี่ยนอันเป็นที่เข้าใจโดยทั่วกันคือ หนึ่งเหรียญเงินมีค่าเท่ากับหนึ่งพันเหรียญทองแดง หนึ่งเหรียญทองมีค่าเท่ากับหนึ่งพันเหรียญเงิน หรือเทียบเท่าหนึ่งล้านเหรียญทองแดง และหนึ่งเหรียญเพชรนั้นเลอค่าถึงหนึ่งพันเหรียญทอง หรือคิดเป็นจำนวนมหาศาลถึงหนึ่งพันล้านเหรียญทองแดง

ด้วยอัตราส่วนดังกล่าว หากขนของเสืออัคคีแท้ๆ มีราคาสูงล้ำถึงหนึ่งเหรียญเงิน นั่นย่อมหมายถึงมูลค่าหนึ่งพันเหรียญทองแดง การที่ชายชราผู้นั้นเสนอขายในราคาเพียงสามร้อยเหรียญทองแดง มิใช่เป็นการลดทอนคุณค่าจนน่าขัน ทั้งยังส่อเจตนาอันไม่สุจริตอีกด้วย คงมิมีผู้ใดที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดคิดกระทำการอันไร้เหตุผลเช่นนั้นเป็นแน่

เมื่ออวี้เหวินเหยียบย่างเข้าสู่ตีนเขา ไออุ่นจากผืนดินและกลิ่นหอมของใบไม้ใบหญ้าก็โชยมาแตะต้องประสาทสัมผัส เขาทอดถอนลมหายใจยาว คลายความตึงเครียดจากบรรยากาศในเมืองลงเล็กน้อย ทว่าในขณะเดียวกัน สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดก็ทำงานอย่างเข้มข้นขึ้น ทุกท่วงท่าจึงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง

พลันสายตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขาก็จับจ้องไปยังพุ่มไม้รกทึบเบื้องหน้า เห็นกระต่ายป่าตัวหนึ่งกำลังนั่งแทะเล็มหญ้าอ่อนอย่างเพลิดเพลิน ใกล้กับโคนต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านร่มรื่น อวี้เหวินย่างก้าวเข้าไปอย่างเชื่องช้า แผ่วเบาราวกับวิญญาณที่ล่องลอยในสายลม เพื่อป้องกันมิให้กระต่ายตื่นตระหนกและหลบหนี เมื่อเข้าสู่ระยะที่มั่นใจ เขาก็หยิบหน้าไม้ออกมาจากย่ามหนังที่สะพายอยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วแข็งแรงแต่คล่องแคล่วดึงสายหน้าไม้ให้ขึ้นลำอย่างเงียบเชียบ จากนั้นวางลูกศรที่เหลาจากไม้เนื้อดีอย่างประณีตบรรจงตรงกลางราง อวี้เหวินใช้สายตาอันเฉียบคมดุจอินทรีเล็งไปยังกระต่ายตัวนั้น ลมหายใจถูกกลั้นไว้ชั่วขณะ ราวกับเวลาหยุดนิ่ง

"ฉึก!" เสียงลูกศรแหวกอากาศดังแผ่วเบา ราวกับเสียงกระซิบ พุ่งตรงเข้าปักที่ลำคอของกระต่ายตัวนั้นอย่างแม่นยำราวกับจับวาง เมื่อแน่ใจว่าเหยื่อสิ้นลมแล้ว เขาก็เดินเข้าไปจับที่หูยาวนุ่มของมันแล้วดึงขึ้นมาใส่ในย่ามด้วยท่าทางคล่องแคล่ว เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่พบพานสัตว์ที่สามารถนำมากินและล่าได้ โดยมิได้เสียเวลาแม้แต่น้อย

เมื่อถึงยามเที่ยงวัน แสงสุริยาส่องตรงลงมายังกลางศีรษะ อวี้เหวินจึงหยุดพักใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเย็น สายลมพัดโชยมาเบาๆ พัดพาเอาความเหนื่อยล้าให้จางหายไป เขานั่งลงบนพื้นหญ้านุ่ม หยิบเอาอาหารแห้งและน้ำสะอาดที่เตรียมมาออกมาเติมพลังให้กับร่างกาย

หลังจากการพักผ่อนอันสั้นๆ ที่ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้น สิ้นสุดลง เขาก็เริ่มออกล่าสัตว์และหาของป่าอีกครั้ง ตระเวนไปทั่วบริเวณรอบนอกของขุนเขาได้พักใหญ่ ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจีและเสียงนกร้องขับขาน จึงพบเข้ากับกระบือป่ารูปร่างอ้วนพีตัวหนึ่ง กำลังเล็มหญ้าอยู่อย่างสบายอารมณ์

เพียงแค่เห็นรูปร่างที่สมบูรณ์และแข็งแรงนั้น ในความคิดของอวี้เหวินก็พลันปรากฏภาพรสชาติอันโอชะของเนื้อกระบือย่างหอมกรุ่น อีกทั้งเดิมทีเขาตั้งใจจะหาสัตว์ใหญ่สักตัวเพื่อนำกลับไปเป็นอาหารให้กับบิดาผู้เป็นที่รัก เขาจึงย่องตามกระบือตัวนั้นไปอย่างเงียบเชียบ ระมัดระวังทุกฝีก้าว มิให้ส่งเสียงใดๆ รบกวน

กระบือตัวนี้กลับมีความประหลาดอย่างยิ่ง แม้รูปร่างของมันจะอ้วนกลมและท่าทางการเคลื่อนไหวจะดูเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับมิมีพิษสง แต่ไม่ว่าอวี้เหวินจะเร่งฝีเท้าวิ่ง หรือย่องตามอย่างระมัดระวังเพียงใด มันก็สามารถหลุดรอดจากการจับกุมของเขาไปได้ทุกครั้ง สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้กับอวี้เหวินเป็นอย่างมาก ราวกับกระบือตัวนี้มีญาณวิเศษ หรือมีผู้ใดคอยชี้แนะแนวทางให้มันหลบหนีก็มิปาน

"กระบือป่าตัวนี้น่าประหลาดพิกล ด้วยทรวดทรงอ้วนพีกลมกลึงราวกับโอ่งดินเผา เหตุใดจึงสามารถเคลื่อนกายได้อย่างว่องไวดุจสายลมเล่า! ช่างเป็นเรื่องน่าโมโหจนเกินทน ข้ายิ่งทุ่มเทกำลังติดตาม มันกลับยิ่งทิ้งช่วงห่างออกไปราวกับเยาะเย้ย!" อวี้เหวินคำรามในลำคอด้วยความขุ่นเคือง โลหิตในกายสูบฉีดแรงขึ้นจนรู้สึกได้ เขาฝืนเร่งฝีเท้า หมายจะย่นระยะห่างให้ใกล้เคียง

เวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่ แสงสุริยาเริ่มทอประกายสีส้มทอง บ่งบอกถึงยามบ่ายคล้อย อวี้เหวินรู้สึกถึงลมหายใจที่เริ่มหอบกระชั้นถี่รัว ราวกับปอดจะฉีกขาดด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการไล่ล่ากระบือน้อยตัวนั้นจนต้องหยุดยืนพักชั่วครู่ หยาดเหงื่อไหลรินอาบแก้มคมสัน ทว่าเจ้ากระบือน้อยกลับยังคงโลดแล่นวิ่งเต้นไปมาอย่างสบายอารมณ์ มันชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย หันศีรษะมาทางอวี้เหวิน ดวงตากลมโตสีดำขลับดูราวกับกำลังท้าทายและเยาะเย้ยในความไร้สามารถของเขา พลางกระดิกหางสั้นๆ ไปมาอย่างยียวนกวนโทสะ

"ฮึ่ม! เจ้ากระบือน้อย เจ้ามีสิ่งใดให้ข้าต้องอับอายขายหน้ากัน!" อวี้เหวินกำมือแน่น เข้าใจในท่าทีที่ยั่วยุของมัน จึงรู้สึกราวกับถูกดูแคลนเหยียดหยาม เขาจึงกัดฟันกรอด รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมด ออกวิ่งไล่ตามมันอีกครั้ง

ฝ่ายเจ้ากระบือน้อย บางคราก็หยุดฝีเท้าลงเล็มหญ้าอ่อนอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับมิได้มีสิ่งใดน่ากังวล บางคราก็ส่ายบั้นท้ายกลมกลึงไปมาอย่างยั่วเย้า บางคราก็จงใจรอให้อวี้เหวินใกล้เข้ามาจนแทบจะคว้าถึง แล้วจึงออกวิ่งนำไปอีกครั้ง ทว่ายิ่งอวี้เหวินทุ่มเทกำลังไล่ตาม เขากลับยิ่งรู้สึกเหมือนระยะห่างระหว่างเขากับมันนั้นถ่างกว้างออกไปเรื่อยๆ พลังกายที่สะสมมาเริ่มจางหาย ลมหายใจถี่กระชั้นราวกับจะขาดห้วง ความฉงนสนเท่ห์ในใจก็ยิ่งทวีคูณจนแทบคลั่ง

'ข้าไล่ตามมันมาตลอดเส้นทาง กลับมิได้พบพานสัตว์อื่นแม้แต่เงาของมัน เหตุใดป่าแห่งนี้จึงเงียบสงัดผิดปกติเช่นนี้?' อวี้เหวินขมวดคิ้วมุ่นเป็นปม คิดอย่างหนักหน่วง เขาพลันชะลอฝีเท้าลงอีกครั้ง แล้วหันไปสำรวจป่าโดยรอบอย่างละเอียด

ต้นไม้แต่ละต้นสูงเสียดฟ้า ลำต้นใหญ่โตจนต้องใช้คนหลายคนโอบ ใบไม้สีเขียวเข้มหนาทึบจนแสงสุริยาแทบส่องลอดลงมาไม่ถึง พื้นป่าเต็มไปด้วยพุ่มไม้รกครึ้มและเถาวัลย์พันเกี่ยว ราวกับเป็นป่าดึกดำบรรพ์ที่มิเคยมีผู้ใดรุกล้ำ ความหนาแน่นของพืชพรรณนั้นแตกต่างจากป่าโปร่งที่เขาเดินผ่านมาเมื่อตอนเช้าอย่างสิ้นเชิง ป่าแห่งนี้ดูแปลกตาและไม่คุ้นเคยสำหรับเขาแม้แต่น้อย ราวกับเขาหลงเข้ามาในอีกโลกหนึ่ง

'ชิบหายแล้ว! หรือว่า...' ความคิดอันน่าสะพรึงกลัวสายหนึ่งแล่นปราดเข้ามาในสมองของอวี้เหวิน ทำให้โลหิตในกายเย็นเยียบไปจนถึงกระดูกสันหลัง เส้นผมทั่วศีรษะลุกชันขึ้นมาทันที

'ทุกสิ่งทุกอย่างดูผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม ขนาดใหญ่โตเกินกว่าปกติ สภาพแวดล้อมอุดมสมบูรณ์จนน่าประหลาดพิกล ข้าได้ย่างก้าวล่วงล้ำเข้ามาในดินแดนของสัตว์อสูรแล้วหรือนี่!' เขาหยุดวิ่งโดยพลัน ยืนตระหง่านอยู่กับที่ ราวกับถูกตรึงด้วยมนต์สะกด เร่งความคิดอย่างหนักหน่วงเพื่อหาทางออกจากสถานที่แห่งนี้ หากสิ่งที่เขาสันนิษฐานเป็นความจริง การเข้ามาในเขตแดนของสัตว์อสูรเช่นนี้ ย่อมกล่าวได้ว่าหายนะอันยิ่งใหญ่ได้มาเยือนแล้ว เพราะเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง แม้จะต้องเผชิญหน้ากับอสูรชั้นต่ำที่สุด ก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอคอยเขาอยู่เบื้องหน้า ความหวาดหวั่นกัดกินหัวใจของเขาจนแทบจะแหลกสลาย

ทางด้านเจ้ากระบือน้อย เมื่อทัศนาเห็นอวี้เหวินหยุดยั้งการไล่ล่าลงโดยฉับพลัน ใบหน้าเล็กๆ ที่เคยตื่นตระหนกกลับปรากฏร่องรอยแห่งความพึงพอใจปนเยาะหยัน ราวกับจะส่งภาษาใจว่า 'สมน้ำหน้าแล้ว คิกๆๆ' พร้อมกับกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง หายลับเข้าไปในดงพุ่มไม้หนาทึบที่อยู่เบื้องหน้าในชั่วพริบตา ทิ้งไว้เพียงร่องรอยการเคลื่อนไหวบนพื้นดิน

อวี้เหวินที่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดอันหนักอึ้ง ใบหน้าคมสันปรากฏร่องรอยแห่งความเคร่งเครียด ดวงตาเข้มดุจเหยี่ยวจับจ้องไปยังผืนดินเบื้องหน้า ราวกับกำลังคำนวณหาทางออก จึงมิได้ใส่ใจต่อการกระทำอันแสนยียวนของเจ้ากระบือน้อย

"มีเพียงต้องหันหลังกลับ และมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดิมที่ข้าจากมาเท่านั้น" เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ราวกับเป็นการให้สัตย์ปฏิญาณแก่ตนเอง พร้อมกับค่อยๆ หมุนกายกลับไปอย่างช้าๆ ทว่าในเสี้ยววินาทีที่สายตาของเขาปะทะเข้ากับทิวทัศน์เบื้องหลัง แสงสว่างเรืองรองผิดปกติพลันวาบเข้ามาในม่านตาของเขา...
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 155

    เสียงนางเบาราวเสียงสายลม ทว่าแฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง อวี้เหวินได้แต่ยืนเกาศีรษะ หัวเราะแห้ง ๆ อย่างจนปัญญา เมื่อบรรยากาศเริ่มคลี่คลาย เขาก็พลันเอ่ยขึ้น “ข้าขอตัวไปหาปลาจับปูมาย่างกินก่อนเถิด...ท้องข้าเริ่มร้องแล้ว” กล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินจากไปยังแนวโขดหินด้วยท่าทีร่าเริงเจือความกระดากอาย ส่วนเซี่ย

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 154

    “เดี๋ยวก่อน! ข้า…ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าจริงๆ!” เขาชูมือทั้งสองขึ้นสะบัดไปมาราวจะปัดเป่าสิ่งใดออก “เมื่อคืน...เจ้าถูกพิษมาร พลังเย็นในร่างกายของเจ้ากำลังแทรกซึมเข้าลึกถึงจุดตันเถียน หากมิรีบถ่ายพลังหยางประคับประคองไว้ เจ้าคง...” เสียงของเขาสั่นไหวด้วยความลนลาน ปราศจากเจตนาอื่นใดในแววตา เขารีบกล่าวต่อ “

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 153

    ประตูไม้เก่าเก็บของเพิงพักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกผลักเปิดออก เสาไม้ผุกร่อนเอียงตามแรงลมประหนึ่งจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ กลิ่นอับชื้นจากเศษฝุ่นและไม้เก่าภายในชวนให้นึกถึงเพิงร้างไร้ผู้คน อวี้เหวินก้าวเข้าสู่ที่พักชั่วคราวนั้นอย่างระมัดระวัง แขนแข็งแรงประคองร่างบางในชุดขาวของสตรีเบื้องหน้าไว้แนบอก ราวกั

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 152

    “เจ้าช่วยตรวจดูให้น้อยหน่อยได้หรือไม่... ว่านางเป็นเช่นไรบ้างเเล้ว” เสียงของเขาเอ่ยเบา ทว่าเต็มไปด้วยความกังวลลึกซึ้ง หันไปยังร่างเล็กผู้หนึ่งที่ปรากฏข้างกายโดยไร้สุ้มเสียง ซ่งเหยียนเฟย บุรุษน้อยในเรือนร่างคล้ายตุ๊กตา ผมยาวสีแดงราวเปลวอัคคี ตวัดสายตาดูนางแวบหนึ่งก่อนจะหลับตา มือเรียวเล็กประหนึ่งกิ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 151

    เขาพานางไปวางยังเพิงไม้เล็กๆ หลังหนึ่งริมชายหาด(ใกล้ท่าเรือ) แม้จะเก่าและผุพัง แต่ก็พอให้ลี้ลมหนาวแห่งรัตติกาลได้บ้าง เมื่อจัดวางร่างนางให้นอนอย่างสบายแล้ว เขาใช้ผ้าคลุมกายที่ฉีกขาดครึ่งหนึ่งห่มให้นาง แววตาใต้ขนตาดำยาวของอวี้เหวินทอดมองใบหน้านางที่แม้จะหลับใหล ก็ยังงดงามราวภาพวาด...งดงามจนชวนให้ใจสั

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 150

    “ขอบคุณ…ท่านจอมยุทธ์…ที่ช่วยปลดปล่อยข้า…” เขากระอักเลือดคำหนึ่ง ก่อนเปื้อนรอยยิ้มจางบนริมฝีปาก “…ฝากท่าน…บอกลาภรรยาข้าด้วย…” ยังไม่ทันสิ้นคำ ร่างนั้นทรุดฮวบลงหาเบื้องหน้า ทว่าอวี้เหวินก้าวเข้าไปรับไว้ทันอย่างเฉียดฉิว แขนที่สั่นเทาด้วยแรงสู้รบยังโอบประคองร่างของเขาไว้อย่างแผ่วเบา ราวจับต้องกลีบบุป

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 149

    ใต้ฟ้าค่ำ...ทะเลไร้คลื่นลมกลับโหมกระหน่ำด้วยกลิ่นอายแห่งการประทะอันเกรี้ยวกราด ริมฝั่งเกาะร้างท่ามกลางม่านรัตติกาล อวี้เหวินยืนนิ่งกลางพื้นทรายที่แตกร้าวเป็นตาข่ายโลหิต เบื้องหน้าเขา ร่างอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหลิวหงกลับทรุดตัวลงอย่างยากจะหยัดยืน พลังที่เคยแข็งแกร่งเช่นขุนเขา บัดนี้กลับสั่นคลอนดั่ง

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 148

    “เจ้าทำร้ายสหายของข้ามาแล้วสองคน…” เสียงเขาหนักแน่นทีละคำ คล้ายค้อนเหล็กทุบหัวใจผู้ฟัง “เจ้า…” “จะไม่มีวันหนีจากชะตาของเจ้าวันนี้ได้…” เพลิงโทสะพลันปะทุรอบกายอวี้เหวิน เปลวเพลิงสีส้มแดงปะปนกับประกายครามของ เตาอัสนีวิบัติ แผ่พุ่งออกจากกายของเขา ก่อเกิดคลื่นลมแรงรอบทิศจนพื้นทรายสั่นไหว “หากเ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 147

    เขานึกถึงคำเล่าของเด็กน้อยถึงชายชราร้ายในร่างชายวัยกลางคนผู้นี้ น้ำเสียงเศร้า สีหน้าสะท้อนความสูญเสีย… "ไม่มีทาง…แม้เฒ่าชั่วเจ้ากลเล่ห์ยังยากจะสวมบทได้แนบเนียนถึงเพียงนั้น" “หากมิใช่การเสแสร้ง เช่นนั้นย่อมเป็นสิ่งเดียว…” “…เขาเฝ้ามองเราตั้งแต่ต้น…” ดวงตาคมกริบของอวี้เหวินสั่นไหวด้วยประกายขุ่

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status