Share

บทที่ 6

Author: Prince_White
last update Last Updated: 2025-04-20 16:18:32

ขณะที่อวี้เหวินหันกายกลับไป ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในห้วงสายตาของเขา ราวกับบุปผาต้องลมที่ร่วงหล่นลงบนผืนดินอันแข็งกระด้าง

'ผู้ใดกันเล่า เหตุใดจึงมานอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่กลางป่าลึกอันเปลี่ยวร้างเช่นนี้?' เขาครุ่นคิดในใจ พลางย่างเท้าเข้าไปหาร่างนั้นด้วยความระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าเสียงฝีเท้าจะรบกวนการพักผ่อนอันแสนเงียบสงบ ร่างมนุษย์บอบบางร่างหนึ่งที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติ ค่อยๆ ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นในม่านสายตาของอวี้เหวิน

'ช่างงดงามเสียจริง...สตรีเช่นนั้นหรือ?' อวี้เหวินจ้องมองไปยังร่างนั้นอย่างตะลึงงัน ราวกับต้องมนต์สะกด ผิวพรรณขาวผ่องดุจหิมะแรกต้องแสงจันทร์ ใบหน้างดงามหมดจดราวกับเทพธิดาที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ เส้นผมสีแดงเพลิงยาวสลวยราวกับสายไหม ทว่า...บนชุดผ้าเนื้อดีที่นางสวมใส่นั้น ปรากฏร่องรอยแห่งการฉีกขาดและคราบโลหิตแห้งกรัง บ่งบอกถึงการเผชิญเคราะห์ร้ายมามิใช่น้อย

'ดูท่าทางนางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก ข้าควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือตามวิสัยบุรุษหรือไม่?' ความลังเลฉายชัดในดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวของเขา

"ตุบ!" เสียงฝ่ามือหนาหนักกระทบลงบนศีรษะตนเองเบาๆ "เจ้ามันคนใจหินไปแล้วหรืออวี้เหวิน! เห็นสตรีที่กำลังจะสิ้นชีวาอยู่ตรงหน้า กลับมิคิดที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเยี่ยงบุรุษผู้มีคุณธรรม เจ้ายังคงความเป็นคนอยู่หรือไม่!" เขาตำหนิตนเองในใจอย่างรุนแรง รู้สึกละอายแก่ใจที่เคยมีความคิดลังเลแม้เพียงชั่วครู่

เขาค่อยๆ ย่อกายลงอย่างนอบน้อม ประคองร่างบอบบางนั้นขึ้นมาด้วยความทะนุถนอม ราวกับกลัวว่าลมหายใจของตนจะพัดพานางให้บอบช้ำแม้เพียงเล็กน้อย แล้วจึงนำกลับไปยังบ้านอันแสนอบอุ่นของตนด้วยความรวดเร็ว "ฟึ่บ!" อวี้เหวินอุ้มร่างนั้นแนบอก สัมผัสได้ถึงความเบาหวิวราวขนนก ทว่าในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่มิได้เบาบางดังที่เห็น 'ตัวเล็กเพียงเท่านี้ ทว่าน้ำหนักกลับมิได้เบาบางดังที่เห็น' หยาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นตามไรผมของเขา บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าที่เริ่มก่อตัว

ยามนี้เป็นเวลาโพล้เพล้ แสงสุรียันได้ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ทิ้งไว้เพียงความมืดมิดที่เริ่มปกคลุมไปทั่วผืนป่า อวี้เหวินเดินลัดเลาะไปตามทางในป่าอย่างทุลักทุเล หลงทิศหลงทางไปหลายครา ท่ามกลางความมืดมิดและเงาตะคุ่มของหมู่แมกไม้ กว่าจะสามารถออกจากขุนเขาอันกว้างใหญ่นี้ได้ก็กินเวลาไปนานโข เวลานี้ ความมืดมิดได้ปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ พระจันทร์เสี้ยวสีเงินยวงและดวงดารานับร้อยนับพันถูกแขวนประดับอยู่บนท้องนภาสีดำสนิท ส่องแสงนวลตาลงมา ราวกับตะเกียงน้อยใหญ่ที่ส่องนำทางให้แก่คนทั้งสอง นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายามรัตติกาลอันเงียบสงัดได้มาเยือนแล้ว

ท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่ว หนึ่งบุรุษอุ้มร่างสตรีบอบบาง เริ่มปรากฏขึ้นช้าๆ อวี้เหวินก้าวเดินอย่างเนิบนาบ มิได้เร่งรีบ แม้ว่า "ฟึด...ฟัด..." เสียงลมหายใจของเขาจะเริ่มหอบกระชั้นถี่รัว บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าที่เริ่มถาโถมเข้ามา มิเพียงแต่วันนี้เขาต้องออกล่าสัตว์เพื่อนำกลับไปเป็นอาหาร ยังต้องแบกรับร่างจิ๋วนี้กลับมาด้วย ระยะทางที่ยาวไกลและสภาพถนนที่ขรุขระมิได้ราบเรียบ ยิ่งสร้างความยากลำบากให้แก่เขาเป็นทวีคูณ ราวกับมีภาระหนักอึ้งเพิ่มขึ้นบนบ่า

แต่ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใด จิตใจของอวี้เหวินกลับยังคงแน่วแน่ดุจขุนเขา เขาขบกรามแน่น กัดฟันฝืนทน พาร่างไร้เรี่ยวแรงของตนเองและสตรีในอ้อมแขน มุ่งหน้าไปยังบ้านที่อยู่ไกลออกไปให้จงได้ นี่แสดงให้เห็นถึงพลังใจอันแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าและความเมตตาที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเขาได้อย่างชัดเจน ราวกับแสงดาวที่ส่องนำทางในความมืดมิด

"ตึกๆๆ" เสียงย่ำเท้าที่หนักแน่นแต่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีกาล อวี้เหวินใกล้จะถึงเรือนพักอันเป็นที่รักของตนแล้ว แสงจันทร์สาดส่องนวลตาลงมายังหลังคาเรือนไม้ที่คุ้นเคย ราวกับโอบอุ้มด้วยความอ่อนโยน พลันสายตาคมกริบของเขาก็เหลือบไปเห็นแสงไฟสีส้มนวลสว่างลอดออกมาจากบานหน้าต่างไม้ที่คุ้นเคย แสงนั้นอบอุ่นและเป็นดั่งสัญญาณแห่งความหวัง

ปรากฏร่างสูงโปร่งของผู้หนึ่งยืนรอคอยอยู่หน้าประตูเรือน ท่ามกลางความมืดมิด ร่างนั้นดูโดดเด่นราวกับประทีปที่ส่องนำทาง อวี้เหวินเห็นภาพนั้นในใจก็พลันรู้สึกตื้นตันจนมิอาจเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดได้ หยาดน้ำตาใสคลอหน่วยที่เบ้าตาอย่างมิอาจหักห้าม นี่คือความยินดีที่มิอาจประเมินค่าได้ แม้จะเหนื่อยอ่อนจากการผจญภัยภายนอกมาเพียงใด ทว่าเมื่อย่างกรายกลับมายังร่มเงาแห่งเรือนอันเป็นที่พักพิง ก็ยังมีผู้เป็นที่รักเฝ้ารออยู่ด้วยความห่วงใยอาทร

"เหตุใดจึงกลับมาช้านักเล่า เหวินเออร์ ยามนี้ราตรีล่วงลึกเสียแล้ว" เสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงไว้ด้วยความกังวลระคนห่วงใยดังขึ้นในโสตประสาทของอวี้เหวิน

"ท่านพ่อ...ท่านดูนี่" อวี้เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า พลางค่อยๆ ชูร่างบอบบางที่อยู่ในอ้อมแขนให้ผู้เป็นบิดาได้ยล

"นั่นผู้ใดกัน! เกิดเรื่องราวอันใดขึ้นกันแน่?" อวี้หลานเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกและฉงนใจ เมื่อเห็นร่างของสตรีในอ้อมแขนของบุตรชาย แสงตะเกียงในมือสั่นไหวเล็กน้อย

"ข้าเหนื่อยอ่อนเกินจะกล่าว ท่านพ่อ...เราเข้าไปในเรือนอันอบอุ่นกันก่อนดีกว่า ข้าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านฟังอย่างละเอียด" อวี้เหวินตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

หลังจากอวี้เหวินจัดการภารกิจส่วนตัวจนเสร็จสิ้น สองพ่อลูกจึงนั่งลง ณ โต๊ะอาหารไม้เนื้อดีภายในเรือน แสงตะเกียงเปลวไหวส่องสว่างใบหน้าของทั้งสอง แสงนั้นอบอุ่นและสร้างบรรยากาศแห่งความสงบ อวี้เหวินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ตนได้ประสบพบเจอในวันนี้ให้บิดาฟังอย่างละเอียด ตั้งแต่การพบพานชายชราที่พยายามหลอกลวงขายขนเสืออัคคี การไล่ตามกระบือป่ารูปร่างอ้วนพีที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความว่องไวเหนือธรรมชาติ ไปจนกระทั่งการพบเจอกับสตรีร่างเล็กผู้นี้ที่หมดสติอยู่ในป่าลึกอันเปลี่ยวร้าง

"เจ้ากล่าวว่า...เจ้าพบนางในอาณาเขตอสูรเยี่ยงนั้นจริงหรือ!" อวี้หลานอุทานเสียงสูง ดวงตาเบิกกว้างจนแทบถลน จ้องมองไปยังร่างเล็กบอบบางที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

"ขอรับ ท่านพ่อ" อวี้เหวินตอบเสียงหนักแน่น ทว่าในห้วงความคิดกลับพลุ่งพล่านด้วยโทสะเมื่อหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา 'หากมิใช่เพราะเจ้ากระบือทึ่มตัวนั้นบังอาจขวางทาง...' ความโกรธก็แล่นริ้วเข้าสู่จิตใจอีกครา

"อันตรายยิ่งนัก! อันตรายจนแทบมิอาจบรรยาย! นับว่าพระเจ้ายังทรงเมตตาที่เจ้ามิได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังนำพาสตรีผู้นี้กลับมาถึงเรือน หากนางมิใช่มนุษย์ หากนางคืออสูรร้ายที่แปลงกายมา พวกเราคงมิมีโอกาสได้ยืนอยู่ตรงนี้เป็นแน่" อวี้หลานถอนหายใจยาว ใบหน้ายังคงซีดเผือดราวกับคนหมดสิ้นเรี่ยวแรง

"สัตว์อสูร...ท่านพ่อ สัตว์อสูรสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ด้วยหรือขอรับ?" อวี้เหวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงสงสัย ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังร่างเล็กอย่างพิจารณา

"ย่อมได้ หากอสูรตนใดสั่งสมพลังบ่มเพาะจนถึงขั้นสูงส่ง ยากจะหยั่งถึง ก็ย่อมสามารถแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ได้ดุจเนรมิต หากแม่นางน้อยผู้นี้เป็นอสูรจริง พลังอำนาจของนางคงเหนือกว่าจินตนาการใดๆ ที่เราเคยสัมผัสมา" อวี้หลานตอบพลางลูบเคราอย่างครุ่นคิด ดวงตาฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด

"เมื่อได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือแล้ว ย่อมต้องประคับประคองให้ถึงที่สุด มิใช่หรือท่านพ่อ? นี่คือคำสอนที่ท่านเคยสั่งสอนข้าเมื่อครั้งยังเยาว์วัย โปรดวางใจในตัวข้าเถิด สัญชาตญาณในใจข้าล้วนร่ำร้องว่านางมิได้มีพิษภัยต่อพวกเราอย่างแน่นอน แม้นางจะเป็นอสูรร้ายที่แปลงกายมา นางก็มิได้มีเจตนาที่จะทำร้ายพวกเรา" อวี้เหวินกล่าวอ้อนวอนบิดาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง ดวงตาฉายแวววิงวอนอย่างเปิดเผย

"เจ้าช่างไร้เดียงสานัก...เฮ้อ ด้านที่ดื้อรั้นและเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของเจ้านี่ ช่างถอดแบบมาจากมารดาเจ้ามิมีผิดเพี้ยน เอาเถิด ข้าหวังเพียงว่าจะเป็นเช่นที่เจ้ากล่าวมานั้นเถิด" อวี้หลานถอนหายใจอีกครา ดวงตาคู่คมทอดมองไปยังบุตรชายด้วยความเอ็นดูระคนห่วงใย

"ขอบคุณท่านพ่อขอรับ!" อวี้เหวินคลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาราในยามค่ำคืน แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดที่พลั้งเอ่ยออกไป ราวกับมีกระแสเสียงลึกลับบางอย่างมากระซิบสั่งการในห้วงสำนึก เขาจึงหันไปทอดสายตามองไปยังร่างเล็กที่ยังคงหลับใหลอย่างสงบอยู่บนเตียงไม้แกะสลักลายวิจิตร

กาลเวลาผันผ่านไปดุจสายลมที่พัดโชยมากระทบผิวกาย กว่าสิบคืนวันนับแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น บัดนี้ล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่สองแล้ว ทว่าร่างเล็กบอบบางของเด็กหญิงผู้นั้นยังคงหลับใหลมิได้สติ หาได้ลืมตาตื่นขึ้นมาสัมผัสแสงอรุณยามเช้าไม่

แต่ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้อง กลับบังเกิดข่าวดีอันน่าปิติยินดีราวกับสายฝนชโลมใจ หลังจากความเพียรพยายามอย่างหนักหน่วงตลอดเกือบหนึ่งเดือนเต็ม อวี้เหวินก็สามารถก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังอย่างเต็มภาคภูมิ เขาทะลวงผ่านขีดจำกัดของตนเอง ก้าวสู่ระดับก่อตั้งรากฐานขั้นต้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ภายในระยะเวลาอันสั้น

ซึ่งแม้แต่อัจฉริยะผู้ได้รับการขนานนามว่าเก่งกาจที่สุดแห่งแคว้นตงชิงยังต้องใช้เวลานานถึงสองเดือนเต็มจึงจะบรรลุถึงขั้นนี้ได้ และกระทั่งคุณชายน้อยแห่งตระกูลเฉิน ผู้ได้รับการยกย่องจากเหล่าอัจฉริยะว่าเป็นอัจฉริยะเหนือผู้ใด ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนครึ่งกว่าจะสามารถทะลวงสู่ระดับก่อตั้งรากฐานได้สำเร็จ

ความสำเร็จอันน่าทึ่งนี้ สร้างความปลาบปลื้มยินดีให้แก่บิดาของอวี้เหวินเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าของอวี้หลานปรากฏรอยยิ้มกว้าง ดวงตาคู่คมเปล่งประกายแห่งความภาคภูมิใจอย่างมิอาจซ่อนเร้น นี่คือเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์อันล้ำเลิศ เกินกว่าผู้ใดจะเทียบเคียงได้ อวี้เหวินมิได้เป็นเพียงอัจฉริยะ แต่เขาคืออัจฉริยะที่โดดเด่นเหนือผู้ใดในหมู่ผู้มีพรสวรรค์!

"ด้วยความก้าวหน้าในการบ่มเพาะพลังของเจ้าที่รวดเร็วปานสายลม ก่อนที่พ่อจะนำเจ้าไปคารวะท่านเจ้าเมือง บางทีเจ้าอาจทะลวงสู่ระดับก่อตั้งรากฐานขั้นกลางได้เสียด้วยซ้ำ" อวี้หลานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ มองบุตรชายด้วยสายตาชื่นชม

"ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะมุ่งมั่นทำให้สำเร็จดังที่ท่านหวังอย่างแน่นอน" อวี้เหวินตอบกลับด้วยแววตาแน่วแน่และเปี่ยมด้วยความมั่นใจ

ห้าวันต่อมา...

ยามรุ่งอรุณ แสงตะวันสีทองสาดส่องลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เข้ามาในห้องพักอันคับแคบและเรียบง่าย ร่างหนึ่งที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงไม้เก่าคร่ำคร่าค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า แสงแรกของวันกระทบกับดวงตาคู่นั้นที่ค่อยๆ เผยให้เห็นความงดงามราวกับดวงดาราต้องแสงอรุณ

"แกร๊ก..." เสียงประตูไม้ถูกเปิดออกเบาๆ พร้อมกับการปรากฏร่างสูงโปร่งของผู้หนึ่งที่ก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางงัวเงีย ดวงตาปรือเล็กน้อยบ่งบอกถึงความง่วงงุน ผู้นั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นอวี้เหวินนั่นเอง

ทันทีที่สายตาของร่างบนเตียงจับจ้องไปยังอวี้เหวิน ราวกับมีกระแสความเย็นเยียบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง อุณหภูมิรอบกายพลันลดต่ำลงจนอวี้เหวินรู้สึกขนลุกชัน ร่างกายของเขาเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้

"ข้าหิว..." เสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบสงัด

เมื่อได้ยินเสียงนั้น อวี้เหวินถึงกับสะดุ้งโหยง ถอยหลังกรูดราวกับเผชิญหน้ากับภูตผีปีศาจ มือข้างหนึ่งยกขึ้นชี้ไปยังร่างบนเตียงด้วยอาการตกตะลึง

"เจ้... เจ้า! เจ้าฟื้นแล้วหรือนี่!" เขาเอ่ยเสียงสั่นเครือ ติดขัด

ร่างบนเตียงขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะขยับกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างเกียจคร้าน

"ข้ามิใช่ภูตผี ข้ายังมีลมหายใจอยู่เต็มปอด มีสิ่งใดให้ข้าประทังความหิวได้บ้างหรือไม่?" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

อวี้เหวินยืนตะลึงงันราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหินอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรวบรวมสติกลับคืนมาได้ "อ... เอ่อ มีๆ ข้าจะไปนำมาให้เดี๋ยวนี้" เขาพูดพลางรีบหมุนตัวเดินออกจากห้องไปด้วยความงุนงงสงสัย

ผ่านไปชั่วครู่ อวี้เหวินก็กลับมาพร้อมกับถาดไม้ในมือ บนถาดมีอาหารที่จัดวางไว้อย่างเรียบร้อย เขาเดินเข้าไปวางถาดอาหารลงตรงหน้ามนุษย์ร่างเล็กผู้นั้นอย่างนอบน้อม

"เชิญท่านตามสบาย นี่คืออาหารที่ข้าหามาได้จากเชิงเขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ข้าได้พบเจอท่าน" อวี้เหวินกล่าวด้วยความเกรงใจ

นางมองไปยังอาหารที่วางเรียงรายอยู่ในถาดด้วยสายตาเย็นชา พลางแสดงสีหน้าเหยียดหยามราวกับเห็นสิ่งสกปรก "ขยะทั้งสิ้น! เจ้ากล้านำขยะเหล่านี้มาให้ข้ากินได้อย่างไรกัน?"

"เพ่ย! ขยะอันใดกันเล่า! นี่คืออาหารชั้นเลิศที่ข้าอุตส่าห์ล่ามาด้วยความยากลำบาก เจ้ามิรู้หรือว่าข้าต้องเสียหยาดเหงื่อแรงกายไปเท่าใดกว่าจะได้มา!" อวี้เหวินขมวดคิ้ว ใบหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

"นี่หรืออาหารชั้นเลิศของเจ้า? มองอย่างไรก็เห็นแต่ของต่ำทราม เจ้าไม่มีสิ่งที่ดีกว่านี้อีกแล้วหรือ?" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

"ไม่มีอีกแล้ว! หากท่านไม่ต้องการ งั้นข้าจะนำกลับไปเก็บเดี๋ยวนี้" อวี้เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นเล็กน้อย พลางยื่นมือไปหยิบถาดอาหารกลับคืน

เมื่อมนุษย์ร่างเล็กเห็นดังนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืนทน ดวงตาจ้องเขม็งไปยังอาหารในถาดราวกับถูกสะกด "ช่างเถิด เห็นแก่ที่เจ้ามีน้ำใจหาอาหารมาให้ข้า ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าต้องเสียใจ ข้าจะกินมันเอง" ว่าแล้วก็รีบดึงถาดอาหารกลับมา

นางมองไปยังอาหารในถาดที่ถูกจัดใส่ถ้วยไว้อย่างประณีต หยิบตะเกียบไม้ขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะคีบชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมา แล้วค่อยๆ นำเข้าปากอย่างระมัดระวัง

อวี้เหวินสังเกตเห็นสีหน้าขยะแขยงและท่าทางราวกับฝืนทนของนาง ยิ่งเป็นการจุดประกายความไม่พอใจในใจของเขาให้ลุกโชนขึ้น ราวกับเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำ

"งับ..." เสียงเนื้อถูกเคี้ยวในปากดังแว่วมาเบาๆ ทว่าทันใดนั้นเอง รสชาติอันโอชะราวกับกระแสธาราแห่งความสุขก็ไหลบ่าไปทั่วทั้งลิ้นและกระพุ้งแก้มของมนุษย์ร่างเล็กผู้นั้น เนื้อนุ่มละมุนลิ้นแทบจะละลายหายไปในพริบตา ปลุกเร้าให้เขาต้องรีบตักชิ้นเนื้อเข้าปากซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ จนกระทั่งอาหารทุกอย่างในถาดเกลี้ยงเกลาไม่มีเหลือแม้แต่เศษผัก

เมื่อความอิ่มเอมแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขาก็พลันรู้สึกตัวและเกิดความขวยเขินขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาเหลือบมองไปยังอวี้เหวินอย่างประหม่า ราวกับไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังฉีกยิ้มเยาะมาให้

"มี... มีอีกหรือไม่?" มนุษย์ร่างเล็กเอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบกระซาบ ราวกับเกรงว่าผู้ใดจะได้ยินถ้อยคำของตน

"เจ้ามิกลัวว่าอาหารที่เจ้าเพิ่งกินเข้าไปจะเป็นเพียงขยะหรือ?" อวี้เหวินเลิกคิ้วถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

"เจ้า!!" มนุษย์ร่างเล็กราวกับถูกปิดปาก คำพูดมากมายจุกอยู่ที่ลำคอจนมิอาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้ ใบหน้าเริ่มแดงก่ำด้วยความขุ่นเคือง

"เอาเถิดๆ ข้าจะไปนำมาให้เจ้าอีก" อวี้เหวินหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี เขากระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ก่อนจะถือถาดเปล่าเดินออกจากห้องไปอย่างร่าเริง

เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นของอวี้เหวิน มนุษย์ร่างเล็กถึงกับกัดฟันแน่น เสียงบดเคี้ยวฟันดัง "กรอด!"

หลังจากที่ควบคุมอารมณ์ขุ่นเคืองได้ เขาก็เริ่มครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของตนเอง 'แม้ว่าตอนนี้ข้าจะสามารถขยับเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่วขึ้นมาก ทว่าอาการบาดเจ็บภายในยังคงอยู่มิคลาย แถมฐานพลังบ่มเพาะยังลดต่ำลงจนเหลือเพียงแค่ขั้นก่อกำเนิดเท่านั้น' ดวงตาของเขาฉายแววทั้งความแค้นเคืองและความเสียใจอย่างปิดไม่มิด

'ช่างน่าโมโหสิ้นดี! หากข้าผู้นี้มิได้มีกายภายในอันเป็นเอกลักษณ์พิเศษของเผ่าทมิฬ คงมิอาจรอดชีวิตมาได้ถึงเพียงนี้ แม้จะมีค่ายกลมิติเคลื่อนย้ายก็ตาม เหลียนตงเยว่ เจินเหยียน ซ่งเหว่ยนาน พวกเจ้าจะต้องชดใช้อย่างสาสม! รอให้ข้ากลับไปยังดินแดนของตน ข้าจะสังหารพวกเจ้าด้วยมือของข้าเอง!' เขากำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังราวกับเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชน

จากนั้น อวี้เหวินก็นำอาหารอีกสำรับมาให้ ซ่งเหยียนเฟยซัดอาหารเหล่านั้นราวกับพายุโหมกระหน่ำ เมื่อท้องอิ่มแปล้ ทั้งสองจึงเริ่มเปิดปากสนทนากัน

"เจ้ามีนามว่ากระไร มาจากที่ใดกัน? เหตุใดถึงไปนอนสลบไสลอยู่ในป่าอสูรนั่น?" อวี้เหวินเร่งเร้าถาม ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น

"ข้า... ซ่งเหยียนเฟย! ส่วนคำถามอื่นของเจ้า ข้ามิใคร่จะตอบ!" ซ่งเหยียนเฟยตอกกลับเสียงแข็งกร้าว แววตาวาวโรจน์ดุดัน "แล้วเจ้าล่ะ เจ้าหนุ่มน้อย มีนามว่าอะไร?"

อวี้เหวินขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าฉายแววขุ่นเคือง "ข้ามีนามว่า อวี้เหวิน! เหตุใดนามของเจ้าจึงฟังดูห้าวหาญเยี่ยงบุรุษชาตรีนัก?

"แล้วผู้ใดบอกเจ้าว่าข้าเป็นสตรีกันเล่า!" ซ่งเหยียนเฟยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย กลอกนัยน์ตาอย่างไม่ยี่หระ

"เจ้... เจ้ามิใช่สตรีหรอกหรือ?! เหตุใดรูปโฉมถึงได้งดงามล่มเมืองปานนี้!" อวี้เหวินอุทานเสียงหลง ดวงตาเบิกกว้างราวกับเห็นสิ่งอัศจรรย์ มองสำรวจร่างตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

"งดงามอันใดกัน! ร่างกายข้าสูงสง่ากำยำเยี่ยงนี้ จะเป็นสตรีไปได้อย่างไรกัน!" ซ่งเหยียนเฟยตวาดลั่นด้วยความเดือดดาล พลางยกมือขึ้นทุบไปที่กล้ามเนื้อแขนของตนอย่างแรง

อวี้เหวิน "... (จุกจนพูดไม่ออก)"

"เหตุใดเจ้าจึงตัวเล็กกระจ้อยร่อยเยี่ยงนี้? หรือว่าเจ้าเป็นสัตว์อสูรที่แปลงกายมาหลอกลวงกัน?" อวี้เหวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงสงสัย

"หึ! เจ้าบังอาจนำข้าไปเปรียบเทียบกับพวกชั้นต่ำทรามเช่นนั้นได้อย่างไร?! นายน้อยผู้นี้ แม้แต่หงส์สวรรค์ยังเคยถูกข้าจับถอนขนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน! แล้วจะนับประสาอะไรกับพวกสวะสัตว์อสูรเหล่านั้น!" ซ่งเหยียนเฟยแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาฉายแววหยิ่งผยองดูถูกเหยียดหยามอย่างร้ายกาจ

อวี้เหวินถึงกับอ้าปากค้าง 'คนผู้นี้... เพียงแค่เปล่งวาจา ก็สามารถดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นได้อย่างไม่ไว้หน้า! ที่บ้านคงเลี้ยงดูตามใจจนเสียผู้เสียคน หรือว่าสมองของเขามีสิ่งใดผิดปกติกันแน่!' อวี้เหวินได้แต่เก็บความขุ่นเคืองและความสงสัยไว้ในอก

"ที่นี่คือที่ใดกัน? มีนามเรียกว่าอะไร?" ซ่งเหยียนเฟยเอ่ยถามด้วยความสงสัย

"เมืองที่เราอาศัยอยู่มีนามว่า เทียนฟู ตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้นตงชิง ท่านมิได้มาจากแคว้นตงชิงหรอกหรือ?" อวี้เหวินถามกลับด้วยความแปลกใจ 'หากเขาเป็นคนของแคว้นตงชิง เหตุใดจึงเอ่ยถามถึงชื่อแคว้นเล่า? หรือว่าเขามาจากดินแดนอื่นกันแน่?' อวี้เหวินครุ่นคิดในใจ

ซ่งเหยียนเฟยเมื่อได้ยินคำตอบก็หลับตาลง ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง โดยมิได้ใส่ใจต่อคำถามของอวี้เหวินแม้แต่น้อย 'ตงชิง... ตงชิง... ข้ากลับไม่มีความทรงจำหรือความรู้ใดๆ เกี่ยวกับแคว้นแห่งนี้เลย การจะหาทางกลับไปยังตระกูลคงต้องใช้เวลาอีกนาน ระหว่างที่ฟื้นฟูพลัง ก็ถือโอกาสสืบหาข้อมูลไปด้วยก็แล้วกัน'

เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง "นี่ เจ้าหนุ่มน้อย..." เขายังไม่ทันกล่าวจบประโยค สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน สิ่งนั้นกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว "ตึกตัก... ตึกตัก..." ราวกับมีเสียงกระซิบก้องกังวานอยู่ในห้วงความคิด เรียกหาให้เขาเข้าไปใกล้มัน

อวี้เหวินสังเกตเห็นสายตาของซ่งเหยียนเฟยที่จ้องมองมายังบริเวณลำคอของตน จึงก้มหน้าลงมองตาม บริเวณลำคอของอวี้เหวินมีสร้อยคอเส้นหนึ่งห้อยอยู่ ที่ปลายสร้อยคอมีหินรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีดำมืดสนิทเม็ดหนึ่ง หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะพบว่ามีอักษรโบราณสลักเสลาอยู่บนผิวหน้าตัดของมัน ทว่าด้วยกาลเวลาที่ผันผ่านและกัดกร่อนมานานนับไม่ถ้วน ตัวอักษรจึงดูเลือนรางจางหายไป แต่หากผู้ใดมีความพยายามสักหน่อย ก็มิใช่เรื่องยากที่จะล่วงรู้ว่าคำที่สลักอยู่บนหินก้อนนั้นคือคำว่า "ทมิฬ"

ซ่งเหยียนเฟยราวกับถูกมนต์สะกด จิตใจตกอยู่ในภวังค์แห่งความลึกลับ ก่อนจะสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อเรียกสติกลับคืนมา 'สิ่งนี้มันคืออะไรกัน? ราวกับมีบางสิ่งในนั้นกำลังร่ำร้องเรียกหาข้า กลืนกินสติของข้าไปจนหมดสิ้น' เขาครุ่นคิดด้วยความสับสน

"เจ้าหนุ่มน้อย... ขอข้าได้ดูสิ่งนั้นหน่อยได้หรือไม่?" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับชี้ไปยังหินสีดำเม็ดนั้นที่ห้อยอยู่บนคอของอวี้เหวิน

"มีสิ่งใดหรือ? เหตุใดเจ้าจึงจ้องมองมาแต่แรกแล้ว? นี่คือของสำคัญที่ท่านแม่ข้ามอบให้ไว้เป็นที่ระลึก" อวี้เหวินเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ ดวงตาจับจ้องไปยังใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา พลางปลดสร้อยคอออกจากลำคออย่างทะนุถนอม แล้วยื่นส่งให้กับซ่งเหยียนเฟยด้วยความระมัดระวัง

ครั้นปลายนิ้วของซ่งเหยียนเฟยสัมผัสกับหินสีดำสนิทก้อนนั้น พลันบังเกิดกระแสพลังอันไพศาลราวกับพายุคลั่งโหมกระหน่ำเข้าปะทะร่างของเขาอย่างรุนแรง "ตึง!" ร่างเล็กจิ๋วของซ่งเหยียนเฟยทรุดฮวบลงสู่พื้นห้องในทันที หมดสติสัมปชัญญะไปในชั่วพริบตา ทว่ามือข้างขวายังคงกำหินดำก้อนนั้นไว้แน่นราวกับยึดมั่นในชีวิต

"เจ้า! นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีกแล้วกันนี่!" อวี้เหวินอุทานเสียงหลง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเหตุการณ์อันน่าประหลาดประหลาด

เขาเดินเข้าไปหาร่างที่นอนแน่นิ่งของซ่งเหยียนเฟย พร้อมกับเขย่าร่างนั้นเบาๆ "สลบไปอีกคราแล้วหรือนี่?" พลันสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นมือของซ่งเหยียนเฟยที่กำหินสีดำไว้แน่นราวกับฝังรากลึก

'หรือว่าเหตุการณ์นี้จะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้?' เขาพยายามดึงหินก้อนนั้นออกมาจากมือของอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะออกแรงมากเพียงใด ราวกับหินก้อนนั้นถูกเชื่อมติดกับฝ่ามือ ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย

"ช่างเถิด รอให้เขาฟื้นคืนสติเสียก่อน ค่อยสอบถามถึงเรื่องราวก็แล้วกัน" อวี้เหวินส่ายศีรษะอย่างจนใจ

หากมีผู้ทรงพลังในระดับที่สามารถหยั่งรู้ถึงพลังงานแห่งฟ้าดินสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ คงจะสังเกตเห็นกระแสพลังสีดำมืดสายหนึ่ง ราวกับหมึกที่ค่อยๆ ซึมซาบลงในผืนผ้า กำลังไหลเวียนเข้าสู่ร่างของซ่งเหยียนเฟยอย่างเชื่องช้า ทว่าหนักแน่นและต่อเนื่อง...
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 155

    เสียงนางเบาราวเสียงสายลม ทว่าแฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง อวี้เหวินได้แต่ยืนเกาศีรษะ หัวเราะแห้ง ๆ อย่างจนปัญญา เมื่อบรรยากาศเริ่มคลี่คลาย เขาก็พลันเอ่ยขึ้น “ข้าขอตัวไปหาปลาจับปูมาย่างกินก่อนเถิด...ท้องข้าเริ่มร้องแล้ว” กล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินจากไปยังแนวโขดหินด้วยท่าทีร่าเริงเจือความกระดากอาย ส่วนเซี่ย

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 154

    “เดี๋ยวก่อน! ข้า…ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าจริงๆ!” เขาชูมือทั้งสองขึ้นสะบัดไปมาราวจะปัดเป่าสิ่งใดออก “เมื่อคืน...เจ้าถูกพิษมาร พลังเย็นในร่างกายของเจ้ากำลังแทรกซึมเข้าลึกถึงจุดตันเถียน หากมิรีบถ่ายพลังหยางประคับประคองไว้ เจ้าคง...” เสียงของเขาสั่นไหวด้วยความลนลาน ปราศจากเจตนาอื่นใดในแววตา เขารีบกล่าวต่อ “

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 153

    ประตูไม้เก่าเก็บของเพิงพักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกผลักเปิดออก เสาไม้ผุกร่อนเอียงตามแรงลมประหนึ่งจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ กลิ่นอับชื้นจากเศษฝุ่นและไม้เก่าภายในชวนให้นึกถึงเพิงร้างไร้ผู้คน อวี้เหวินก้าวเข้าสู่ที่พักชั่วคราวนั้นอย่างระมัดระวัง แขนแข็งแรงประคองร่างบางในชุดขาวของสตรีเบื้องหน้าไว้แนบอก ราวกั

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 152

    “เจ้าช่วยตรวจดูให้น้อยหน่อยได้หรือไม่... ว่านางเป็นเช่นไรบ้างเเล้ว” เสียงของเขาเอ่ยเบา ทว่าเต็มไปด้วยความกังวลลึกซึ้ง หันไปยังร่างเล็กผู้หนึ่งที่ปรากฏข้างกายโดยไร้สุ้มเสียง ซ่งเหยียนเฟย บุรุษน้อยในเรือนร่างคล้ายตุ๊กตา ผมยาวสีแดงราวเปลวอัคคี ตวัดสายตาดูนางแวบหนึ่งก่อนจะหลับตา มือเรียวเล็กประหนึ่งกิ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 151

    เขาพานางไปวางยังเพิงไม้เล็กๆ หลังหนึ่งริมชายหาด(ใกล้ท่าเรือ) แม้จะเก่าและผุพัง แต่ก็พอให้ลี้ลมหนาวแห่งรัตติกาลได้บ้าง เมื่อจัดวางร่างนางให้นอนอย่างสบายแล้ว เขาใช้ผ้าคลุมกายที่ฉีกขาดครึ่งหนึ่งห่มให้นาง แววตาใต้ขนตาดำยาวของอวี้เหวินทอดมองใบหน้านางที่แม้จะหลับใหล ก็ยังงดงามราวภาพวาด...งดงามจนชวนให้ใจสั

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 150

    “ขอบคุณ…ท่านจอมยุทธ์…ที่ช่วยปลดปล่อยข้า…” เขากระอักเลือดคำหนึ่ง ก่อนเปื้อนรอยยิ้มจางบนริมฝีปาก “…ฝากท่าน…บอกลาภรรยาข้าด้วย…” ยังไม่ทันสิ้นคำ ร่างนั้นทรุดฮวบลงหาเบื้องหน้า ทว่าอวี้เหวินก้าวเข้าไปรับไว้ทันอย่างเฉียดฉิว แขนที่สั่นเทาด้วยแรงสู้รบยังโอบประคองร่างของเขาไว้อย่างแผ่วเบา ราวจับต้องกลีบบุป

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 149

    ใต้ฟ้าค่ำ...ทะเลไร้คลื่นลมกลับโหมกระหน่ำด้วยกลิ่นอายแห่งการประทะอันเกรี้ยวกราด ริมฝั่งเกาะร้างท่ามกลางม่านรัตติกาล อวี้เหวินยืนนิ่งกลางพื้นทรายที่แตกร้าวเป็นตาข่ายโลหิต เบื้องหน้าเขา ร่างอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหลิวหงกลับทรุดตัวลงอย่างยากจะหยัดยืน พลังที่เคยแข็งแกร่งเช่นขุนเขา บัดนี้กลับสั่นคลอนดั่ง

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 148

    “เจ้าทำร้ายสหายของข้ามาแล้วสองคน…” เสียงเขาหนักแน่นทีละคำ คล้ายค้อนเหล็กทุบหัวใจผู้ฟัง “เจ้า…” “จะไม่มีวันหนีจากชะตาของเจ้าวันนี้ได้…” เพลิงโทสะพลันปะทุรอบกายอวี้เหวิน เปลวเพลิงสีส้มแดงปะปนกับประกายครามของ เตาอัสนีวิบัติ แผ่พุ่งออกจากกายของเขา ก่อเกิดคลื่นลมแรงรอบทิศจนพื้นทรายสั่นไหว “หากเ

  • ดาบพิฆาตสลับนภา   บทที่ 147

    เขานึกถึงคำเล่าของเด็กน้อยถึงชายชราร้ายในร่างชายวัยกลางคนผู้นี้ น้ำเสียงเศร้า สีหน้าสะท้อนความสูญเสีย… "ไม่มีทาง…แม้เฒ่าชั่วเจ้ากลเล่ห์ยังยากจะสวมบทได้แนบเนียนถึงเพียงนั้น" “หากมิใช่การเสแสร้ง เช่นนั้นย่อมเป็นสิ่งเดียว…” “…เขาเฝ้ามองเราตั้งแต่ต้น…” ดวงตาคมกริบของอวี้เหวินสั่นไหวด้วยประกายขุ่

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status