LOGINเจียงลี่มี่ค่อย ๆ ลืมตา ภาพตรงหน้าคือห้องแห่งหนึ่งที่ตกแต่งแนวโบราณที่เห็นได้จากละครย้อนยุค
เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตู เค้าหน้าเหมือนจะคุ้นเคยแต่กลับจำไม่ได้ว่าใคร เขาจ้องมองเธออยู่ ที่น่าประหลาดคือ เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสมัยโบราณ
หรือว่าตอนนี้เธอกำลังเข้าฉากอยู่ แต่ไม่น่าใช่ ความทรงจำสุดท้ายที่เธอจำได้คือ แม่ของเธอโทรมาโวยวายและด่าทอเธอมากมาย จนเธอรู้สึกเครียด กดดัน เสียใจ และสุดท้ายเมื่อนึกถึงเรื่องเก่า ๆ จึงทำให้เธอเครียดจนหมดสติ
แล้วทำไมเธอมาอยู่ตรงนี้ พยายามคิดเท่าใดก็คิดไม่ออก เรื่องราวอันแปลกประหลาดกำลังวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอ จนปวดศีรษะไปหมด ไม่รู้จะโต้ตอบกับผู้คนตรงหน้าอย่างไร
"คุณหนูใหญ่ นี่ข้าเองเสี่ยวจู จำข้าได้หรือไม่เจ้าคะ เหตุใดท่านจึงนอนนิ่งเช่นนี้"
เสี่ยวจูร้อนรนอย่างยิ่ง คุณหนูใหญ่ของนางไม่เอ่ยคำใด ไม่ขยับตัวเลยสักนิด หรือคุณหนูจะฟื้นขึ้นมาแต่ไม่สามารถพูดและขยับตัวได้ ทำได้เพียงนอนนิ่ง ๆ เท่านั้น
เจียงลี่มี่มองหน้าเสี่ยวจู ภาพในความทรงจำผุดขึ้นมาเด่นชัด เสี่ยวจูสาวใช้คนสนิทของคุณหนูใหญ่เจียงลี่มี่ ในนิยายเรื่อง 'ผลอิงเถาของเหมยฮวา'
นี่เธอหลุดเข้ามาอยู่ในโลกของนิยายอย่างนั้น? ดวงตากลมโตเบิ่งกว้าง จ้องมองทุกคนด้วยใจเต้นแรง
"ท่านหมอหลวงเจ้าคะ คุณหนูใหญ่ตาเหลือกเจ้าค่ะ นางเป็นอะไรไม่รู้"
เสี่ยวจูรีบหันไปขอความช่วยเหลือจากหมอหลวง ทุกคนที่ได้ยินหันไปสนใจเจียงลี่มี่ทันที
"เจ้าเจ็บปวดตรงไหน เป็นอย่างไรบ้าง มี่เอ๋อร์" ฮูหยินเอกว่านลู่เหมยลูบคลำไปตามเนื้อตัวของบุตรสาวด้วยความร้อนใจ เกรงว่าบุตรสาวจะจากไปอีก
"ฮูหยินเอก บุตรสาวท่านเพิ่งฟื้น ย่อมต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว" หมอหลวงรีบบอกออกมา ว่านลู่เหมยรีบปล่อยมือทันที
"เช่นนั้นเองหรือ ข้าคงกังวลมากไป หากมี่เอ๋อร์หายดี ข้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของนาง" นางยิ้มอ่อนโยนให้บุตรสาว ในใจวางแผนเรื่องงานเลี้ยงไว้เสร็จสรรพ
"ข้าจะป่าวประกาศทั่วเมือง เปิดยุ้งข้าว แจกจ่ายให้คนยากไร้" เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยด้วยความดีใจ ในเมื่อครอบครัวของเขาผ่านพ้นเรื่องร้าย จึงนึกอยากสร้างกุศล
"ข้าจะนำเงินเก็บไปซื้อผ้ามาเย็บผ้าห่มแจกเจ้าค่ะ อากาศหนาวผู้คนจะได้มีผ้าห่มใช้ เหมือนข้าที่อบอุ่นยามได้อยู่กับคุณหนูใหญ่" เสี่ยวจูกล่าวเสริม
"แล้วท่านหมอหลวงเล่า บุตรสาวของข้าฟื้นขึ้นมา ท่านจะเปิดรักษาโดยไม่คิดเงินสักหนึ่งเดือนหรือไม่" ว่านลู่เหมยหันมาถามหมอหลวง
เขามองหน้าฮูหยินเอกด้วยความสงสัย บุตรสาวของนางฟื้นแล้วเกี่ยวอะไรกับเขา
"บุตรสาวของท่านฟื้น ข้ายินดียิ่ง แต่สิ่งที่ท่านกล่าวมา ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดข้าต้องเปิดรักษาโดยไม่คิดเงินด้วยเล่า"
"เพราะนางคือบุตรสาวเพียงคนเดียวของข้า เหตุผลเท่านี้ไม่เพียงพอ?" หมอหลวงยิ่งไม่เข้าใจ หันไปมองเสนาฝ่ายซ้ายอย่างขอความช่วยเหลือ ทว่า...
"ท่านรักษานางมาหลายปี ช่วยชีวิตนางขึ้นมา ก็เปรียบเสมือนบิดาบุญธรรมของนาง เช่นนั้นสิ่งที่ฮูหยินของข้ากล่าวนั้นถูกต้องแล้ว"
พวกท่านสองสามีภรรยาถามความสมัครใจของข้าหรือยัง ว่าอยากเป็นบิดาบุญธรรมของบุตรสาวพวกท่านหรือไม่ นี่ข้าต้องทำบุญ สูญเสียเงินทองที่สมควรจะได้เพราะตำแหน่งบิดาบุญธรรมเช่นนั้น? หมอหลวงได้แต่โอดครวญในใจอย่างไม่ยินยอม แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
เฮ้อ...
คล้อยหลังหมอหลวงได้ครู่เดียว เสี่ยวจูก็เข้ามา นางยกมือขึ้นลูบคลำเจียงลี่มี่ทั้งตัว เดินวนรอบตัวไปมา จนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก“ข้าตกใจเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ แต่ติดตรงที่ไม่ใช่เสียงคุณหนูใหญ่ ข้าจึงรออยู่ด้านนอก” เสี่ยวจูบอก“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่เล่นสนุกนิดหน่อย” เสี่ยวจูมองหน้าคุณหนูของนางอย่างประหลาดใจ คุณหนูของนางรู้จักเล่นสนุกตั้งแต่เมื่อใด“เสี่ยวจู เจ้าออกไปก่อน” ฮูหยินเอกว่านลู่เหมยสั่ง“เจ้าค่ะ”“มี่เอ๋อร์ เจ้ามานั่งคุยกับแม่สักหน่อย” ว่านลู่เหมยบอกบุตรสาวที่ยังคงยืนอยู่ข้างโต๊ะที่เคยวางกาน้ำชาเจียงลี่มี่ค่อยๆ เดินไปนั่งที่ตั่งคนงามข้างคุณแม่ของเธอในนิยายแต่โดยดี นึกรู้ได้ว่าคุณแม่ต้องจับความผิดปกติได้ และเธอกำลังจะถูกซักฟอก“เจ้ามีอะไรจะบอกแม่หรือไม่”เจียงลี่มี่นิ่งอึ้ง กับคนอื่นเธอเสแสร้งแสดงละครได้ แต่กับว่านลู่เหมย เธอไม่คิดจะเสแสร้ง เพราะคุณแม่คนนี้รักเธอสุดหัวใจเห็นบุตรสาวนิ่งเงียบ ท่าทีคล้ายไม่ทราบว่าจะบอกกล่าวเช่นไร ว่านลู่เหมยต้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู“ถ้าเจ้านึกไม่ออกว่าควรเริ่มต้นที่เรื่องใด แม่ว่าเจ้าเริ่มที่เจ้าแสร้งทำเป็นเจ็บปวดเมื่อเหม
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเผลอบีบแรงไป เจ็บมากมั้ยเจ้าคะ ขอข้าดูสักหน่อย” เหมยฮวายื่นมือมาอีกครั้ง แต่เจียงลี่มี่เอามือไปแอบด้านหลัง น้ำตาคลอ สีหน้าเจ็บปวด“ไม่เป็นไร ข้าเกรงว่าร่างกายที่อ่อนแอของข้าจะทนไม่ไหว แค่แตะเบาๆ ข้าก็เจ็บมากแล้ว” เหมยฮวาชะงักไป มองเจียงลี่มี่อย่างอึ้งๆ ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้า“เช่นนั้นข้าจะระวัง ไม่แตะโดนตัวท่านเจ้าค่ะ ท่านจะได้ไม่เจ็บ” เจียงลี่มี่ลอบยิ้มเหมยฮวายื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย แต่ทันทีที่สัมผัส เจียงลี่มี่ก็ชักมือกลับพร้อมกับร้องด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ย..เจ็บ ! มือของเจ้า ยิ่งเย็นข้ายิ่งรู้สึกเจ็บ”เหมยฮวาต้องตกใจ นางไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ไม่คิดว่าเพียงมือของนางที่เย็นเพราะอากาศ จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดได้เช่นนี้“ข้า...ข้า...ข้าจะทำเช่นไรดี ข้าไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ”เจียงลี่มี่มองท่าทางของเหมยฮวาด้วยสายตาอ่อนโยน หากในใจต้องยิ้มเยาะ เธอกำลังวางแผนบางอย่าง“เจ้าอย่าเพิ่งโดนตัวข้าเลย ข้าเกรงว่าจะรู้สึกเจ็บ...โอ๊ย...” เสียงร้องโอดครวญของเจียงลี่มี่พลันดังขึ้นเหมยฮวาสะดุ้งตกใจ นางยังไม่ได้โดนตัวของอีกฝ่ายเลย เหตุใดจึงเจ็บได้ เกรงว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไป อาจเกิดปัญหากับตัวน
เจียงลี่มี่ร้องไห้แทบขาดใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ สุดท้ายเธอก็ล้มเลิกความฝัน และเดินหน้าต่อด้วยการเป็นดารา แม้อาอี้จะคอยบอกให้เธอเปิดร้าน แต่สุดท้ายเธอก็ถูกแม่บงการชีวิตอยู่ดีทั้งชีวิตเธอทำเพื่อคนอื่นมาตลอด แต่สิ่งที่เธอได้รับคือความเจ็บปวด แม้แต่ตอนที่ใกล้จะตาย คนที่ทำร้ายเธอก็คือคนที่เธอรัก ภาพทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เป็นความทรงจำที่เธอไม่เคยลืม“อาหลงรักเจเจ้ที่สุดเลย” เสียงเด็กชายตัวน้อยเอ่ยด้วยความดีใจ มองของเล่นในมือตาเป็นประกาย“เจเจ้ก็รักอาหลงที่สุดเหมือนกัน” เธอกอดน้องชายด้วยความรักและเอ็นดู เธอตั้งใจเก็บเงินเพื่อซื้อของเล่นที่น้องชายอยากได้ มอบให้เป็นของขวัญวันเกิด“อาหลงรักเจเจ้ที่สุด โตขึ้นอาหลงจะดูแลเจเจ้เอง จะหาเงินซื้อของเล่นให้เจเจ้บ้าง” เด็กสาวยิ้มกว้าง หอมแก้มน้องชายซ้ายขวา“ไม่เป็นไร เจเจ้ไม่อยากได้ แค่อาหลงมีความสุข เจเจ้ก็มีความสุขมากแล้ว” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้า“อาหลงจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อกับเจเจ้ จะไม่ทำให้เจเจ้เสียใจ”เจียงลี่มี่น้ำตาคลอเมื่อนึกถึงเรื่องในตอนนั้น ความทรงจำที่มีความสุข เพราะหลังจากนั้นไม่กี่ปี อาหลงก็ไม่สนใจเธออีกเลย มองเธอด้วยสายตาเ
“เหตุใดพี่ลี่มี่จึงคิดว่าเป็นข้า ข้าเป็นน้องสาวท่าน ไม่เคยคิดทำร้ายท่าน” เจียงลี่มี่กุมท้องด้วยความเจ็บปวด เธอรู้สึกราวกับถูกเข็มนับพันหมื่นเล่มทิ่มแทงภายในร่าง“เลิกแสดงละครได้แล้ว ! หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร ทันทีที่ข้าดื่มชาที่เจ้ามอบให้ ข้าก็เป็นเช่นนี้” เธอตวาดเสียงกร้าวก่อนจะพ่นโลหิตออกมา ยิ่งเธอโมโห พิษยิ่งทำร้ายเธอมากกว่าเดิมเหมยฮวามองภาพตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมาในที่สุด“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่คิดว่าพี่ลี่มี่จะรู้ตัวเร็วเช่นนี้ ใช่ ข้าเอง”เหมยฮวาเชยคางเธอขึ้นมา สบตาอย่างท้าทาย เจียงลี่มี่สะบัดหน้าหนีจากมือนั้น“ข้าดีกับเจ้า ไม่เคยทำร้ายเจ้า เพราะเหตุใด”เหมยฮวาลูบผมของเจียงลี่มี่ มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยโลหิตของเจียงลี่มี่อย่างมีความสุข“เจ้าดีกับข้า แล้วข้าต้องดีกับเจ้า? โง่เง่า ! ชีวิตนี้ข้าไม่มีทางดีกับเจ้า ข้าเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ จะไปเทียบชั้นเจ้าได้อย่างไร ทุกสิ่งล้วนถูกเจ้าแย่งชิง แม้แต่บุรุษที่ข้าชมชอบก็ถูกเจ้าแย่งไป หากข้าไม่กำจัดเจ้า ข้าไม่มีวันมีความสุข”ใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น เจียงลี่มี่มองอย่างชิงชัง เธอแค้นใจยิ่งนักเมื่อเห็นรอยยิ้มของเหมยฮวา สตรีที่เธอคิดว่
"คุณหนูใหญ่...นี่ข้าเอง เสี่ยวจูไงเจ้าคะ ท่านเป็นอะไรไป หรือ...หรือข้าทำให้ท่านเจ็บตรงไหน ให้ข้าช่วย...หะ..ให้ข้าไปตามคนมาช่วยนะเจ้าคะ"เสี่ยวจูมีท่าทางหวาดกลัว นางกำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่ ๆ คุณหนูใหญ่ก็บ่นว่ารู้สึกอ่อนล้า หายใจไม่ออก จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน แล้วไม่ฟื้นอีกเลย ไม่ว่านางจะพยายามปลุกอย่างไร จึงตัดสินใจจะไปตามคนมาช่วย แต่คุณหนูใหญ่ก็ขยับตัวเสียก่อน"เธอเป็นใคร แล้วทำไมฉันมาอยู่ที่นี่"เจียงลี่มี่ถามด้วยความสงสัย รอบตัวของเธอตอนนี้มีแต่สิ่งที่เธอไม่คุ้นเคย"ที่นี่คือจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายเจ้าค่ะ ข้าคือเสี่ยวจู ข้าเป็นสาวใช้ของคุณหนูอย่างไรเจ้าคะ...”เจียงลี่มี่ตกตะลึง อะไรคือจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เสี่ยวจูตรงหน้านี่คือใคร“...หรืออาการของคุณหนูกำเริบ จึงสูญเสียความทรงจำ ข้า...ข้า..ข้าจะไปตามนายท่านกับฮูหยินเอกมา..คะ..คุณ..คุณหนูรอข้าก่อนนะเจ้าคะ"เด็กน้อยเสี่ยวจูกำลังจะวิ่งออกไป แต่เธอมือไวคว้าไว้ได้เสียก่อน แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเธอสวมใส่เสื้อผ้าแบบโบราณ"อย่า..อย่าเพิ่งไป เอากระจกให้ฉัน" เจียงลี่มี่กระสับกระส่าย หวาดกลัว เสี่ยวจูยื่นกระจกให้ เธอรีบคว้ามา แล้วส่องดูหน้
“ไม่ใช่…แต่จะตัดทั้งพวงให้ขาด แล้วเอาไปทำกับข้าวให้นังเมียน้อยกิน อยากได้นักก็จะยกให้เลย ยิ่งรักกันปานจะกลืนกินยิ่งดี จะได้สมปรารถนาทั้งกิน ทั้งกลืน ฮ่าฮ่าฮ่า”เจียงลี่มี่อึ้ง ไม่คิดว่าคนใจเย็นอย่างอาอี้จะพูดแบบนี้ น่ากลัวกว่าที่คิด“อาอี้ทำฉันอึ้งนะเนี่ย แอบร้ายด้วย อีกอย่างนะเรื่องนี้มีบางอย่างพิเศษสำหรับฉันด้วย”“อะไร?” อาอี้สงสัย“พี่สาวของนางเอกเรื่องนี้นะสิ ชื่อเดียวกับฉันเลย เจียงลี่มี่ ชีวิตเธอก็อาภัพไม่ต่างกับฉันเลย”“โห..บังเอิญจริง ๆ แล้วเจียงลี่มี่ในเรื่องเด่นมากไหม เป็นถึงพี่สาวนางเอก บทต้องไม่น้อยแน่ ๆ”“เยอะมาก เด่นมากเลยล่ะ” เจียงลี่มี่พูดไปขำไปกับน้ำเสียงของอาอี้ที่เหมือนจะตื่นเต้นราวกับเป็นชื่อของตัวเอง“มีกี่บทที่พูดถึง หรือมีบทตลอดทั้งเรื่อง”“มีตั้งสามบรรทัด เยอะมากเลยใช่มั้ยล่ะ” เจียงลี่มี่อยากรู้ว่าอาอี้จะพูดอะไร เพราะที่เธออ่านนั้น บทเจียงลี่มี่ในนิยายมีแค่สามบรรทัด เรียกว่าเปิดตัวมาก็ตายเลย“หาาาาา! สามบรรทัด จะบ้าเรอะ นี่มันน้อยยิ่งกว่าบทนำเสียอีก คงไม่ใช่ว่าเปิดตัวมาปุ๊บก็ตายปั๊บอะไรแบบนี้นะ”อาอี้ค่อนขอด คนเขียนใจร้ายจริง ๆ เขียนมาได้ไงยะ สามบรรทัด น้อยเกิน







