LOGINหมอหลวงยืนตัวสั่น จ้องมองดรุณีน้อยตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา นางตายไปแล้วไม่ใช่หรือ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเขาจะตรวจกี่ครั้ง นางก็ไม่มีโอกาสรอด แล้วเหตุใดตอนนี้นางจึงจ้องเขาได้ล่ะ
"ข้าถามว่าเจ้าเป็นคนหรือผี เหตุใดจึงจ้องข้าเช่นนั้น"
หมอหลวงจ้องตากับเจียงลี่มี่ แต่นางก็ไม่กล่าวสิ่งใด นอกจากจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเหลียวมองโดยรอบ หมอหลวงที่ยามนี้ตั้งสติได้แล้วจึงค่อยๆ เอ่ยออกมา
"เอาเถอะ หากเจ้าเป็นผี ตอนนี้คงสำแดงฤทธิ์ให้ข้าประจักษ์แล้ว ดูท่าแล้ว เจ้าน่าจะฟื้นจากความตาย นอนนิ่ง ๆ ให้ข้าตรวจเสียก่อน"
เด็กสาวตรงหน้ายังคงนิ่งเงียบ หมอหลวงที่ก้าวเข้ามาหาก็ยื่นมือแตะตรวจชีพจรนาง
"แปลก แปลกยิ่งนัก ชีพจรของเจ้าเต้นปกติ ราวกับคนละคนกับเมื่อครู่" หมอหลวงกล่าวออกมา เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ และตรวจชีพจรอย่างละเอียดอีกครั้ง หากยิ่งไม่เข้าใจกว่าเดิม
เจียงลี่มี่ยังคงจ้องมองเขา สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
"นี่ข้าฝัน? เหตุใดจึงประหลาดเช่นนี้ ร่างกายแม้อ่อนแอเช่นเดิม แต่ชีพจรกลับเป็นปกติ ยามที่เจ้ายังเยาว์กว่านี้ ชีพจรยังไม่ปกติเท่านี้" หมอหลวงเอ่ยอย่างสงสัยขึ้นทุกที
เจียงลี่มี่ยังคงนอนอยู่และมองมาอย่างเงียบ ๆ
"ดวงตาเจ้าสดใส เมื่อก่อนที่ข้ามาตรวจ บ่อยครั้งที่ข้าสบตากับเจ้าแล้วเหมือนข้าสบตากับคนตาย และปกติร่างกายของเจ้าจะเย็นชืด แต่ยามนี้กลับอุ่นเช่นเดียวกับคนทั่วไป" หมอหลวงได้แต่งงงัน
หรือว่าหลังจากตายไปแล้ว หากฟื้นขึ้นมา ร่างกายจะแข็งแรงขึ้น เขาเป็นหมอมาเกินครึ่งชีวิตยังไม่เคยพบเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้
"บุคคลที่สิ้นวาสนา หวนกลับมามีชีวิต ช่างน่าแปลกนัก เจ้าตอบข้าได้หรือไม่ ตายแล้วเจ้าไปที่ใด เหตุใดจึงหวนคืน" หมอหลวงถามอย่างไม่เข้าใจ
ทว่าเจียงลี่มี่ยังคงเงียบงัน นางเอาแต่จ้องมองเขา
"เจ้าจะจ้องข้าด้วยสายตาเช่นนี้ไม่ได้ ยามนี้เจ้าจ้องข้าราวกับจะสูบวิญญาณ เจ้ากำลังทำให้ข้ากลัว"
หมอหลวงถอยออกห่าง เมื่อเด็กสาวผู้นี้จ้องเขาไม่วางตา ไม่ว่าเขาจะขยับไปทางใด นางก็มองตาม ยามนี้เขาเริ่มขนลุกชัน เขากลัวนางจริงๆ แล้ว
"ท่านหมอหลวงเจ้าคะ เหตุใดท่าน...เอ่อ...ท่านหมอหลวงไยท่านจึงนอนที่พื้นเช่นนี้ มันสกปรกนะเจ้าคะ" เสี่ยวจูถามขึ้น นางกลับจากต้มยาและนำยามาให้ ทราบแล้วว่าคุณหนูใหญ่ของตนสิ้นชีวิตแล้ว และตอนนี้เสนาบดีฝ่ายซ้ายเจียงหมิ่นให้นางมาตามหมอหลวงไปดูอาการของฮูหยินเอก
แต่เมื่อนางเปิดประตูห้อง ร่างของหมอหลวงที่ยืนชิดประตูก็หงายหลังลงไปนอนที่พื้นทันที และเมื่อเสี่ยวจูมองไปที่เตียงของเจียงลี่มี่ นางก็ต้องเบิ่งตากว้าง
"คุณหนูใหญ่ ! !"
นางอุทานออกมาและก้าวเข้าไปหาทันที นางจึงชนเข้ากับหมอหลวงที่กำลังลุกขึ้น ทำให้หมอหลวงล้มลงไปอีกครั้ง
“ขออภัยเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูกล่าวออกมาแล้วก็ไม่สนใจอีกต่อไป เพราะตอนนี้นางสนใจเพียงคุณหนูใหญ่ของนางเท่านั้น
“คุณหนูใหญ่” นางเรียกอีกครั้ง และยกมือคุณหนูของนางมาแนบแก้มก่อนจะร้องไห้ออกมา
"คุณหนูใหญ่ ท่านทราบหรือไม่ ข้าเกือบกลั้นใจตายตามท่านไปแล้ว แต่ฮูหยินเอกมารดาท่านเป็นลมเสียก่อน ข้าจึงคิดว่าหลังฮูหยินเอกฟื้นแล้ว ข้าจะกลั้นใจตายตามท่านไป ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อหากไม่มีท่าน”
“แต่ข้าก็กังวลยิ่ง หากตายตามท่านช้าไป ข้าอาจหาท่านไม่พบ ข้าคิดจนปวดหัวเจ้าค่ะ คุณหนูตายด้วยโรค แต่ข้านั้นต่างกัน หากข้ากลั้นใจตาย ยมทูตอาจไม่ยอมให้ข้าได้เจอท่าน คงจับข้าลงนรก”
“เช่นนั้นข้าควรตายตามท่านด้วยการเป็นโรคร้ายแรง แต่ข้าก็แข็งแรง ข้าจะตายตามท่านได้อย่างไร คุณหนูตายแล้ว ข้าก็ไม่อยากอยู่ต่อ ข้าควรทำเช่นไรดีเจ้าคะที่จะได้พบท่าน"
เสี่ยวจูกล่าวด้วยความสับสน นางอยากตายตามคุณหนูใหญ่ของนาง แต่กลับไม่ทราบว่าจะต้องตายอย่างไรจึงจะได้พบกันอีกครั้ง
คำพูดของเสี่ยวจูทำให้คนที่เพิ่งฟื้นจากความตายต้องขมวดคิ้วพร้อมสีหน้าสับสนและงุนงง เสี่ยวจูที่ร้องไห้จนพอใจค่อยได้สติ นางเงยหน้ามาสบตากับคนบนเตียง ก่อนจะผวาถอยหลังจนล้มลงก้นจ้ำเบ้า
"กรี๊ดดดดด...ผีหลอก คุณหนูใหญ่จ้องตากับข้า!"
เสียงเสี่ยวจูดังลั่นจวน บ่าวไพร่ในเรือนพากันวิ่งมาดู ว่านลู่เหมยที่เพิ่งคืนสติได้ยินคำพูดของเสี่ยวจู นางลุกจากเตียง วิ่งมาที่ห้องของบุตรสาว เมื่อเข้ามาถึง นัยน์ตานางจึงสบเข้ากับดวงตาใสแจ๋ว ว่านลู่เหมยอ้าปากค้างอย่างตกใจ
บ่าวไพร่ที่ติดตามมาดูต่างสบตากับคุณหนูใหญ่ ทั้งหมดตกตะลึง ถอยหลังวิ่งออกไปด้วยความหวาดกลัว
เจียงหมิ่นค่อย ๆ เดินมาหยุดตรงหน้าบุตรสาวที่ตายไปก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้กำลังสบตากับตนเอง เขาหันไปหาหมอหลวงด้วยสายตาตื่นตะลึง
"ท่านหมอหลวง ท่านทำได้อย่างไร ท่านรักษาบุตรสาวข้าได้ ! ท่านต้องการสิ่งใดตอบแทน เชิญบอก ข้าจะหามาให้แน่นอน” เจียงหมิ่นกล่าวด้วยความตื่นเต้น หมอหลวงต้องมีท่าทีลำบากใจ ตัวเขายังไม่ได้ทำสิ่งใด นางฟื้นมาได้อย่างไรก็สุดรู้
"เอาเถอะ ในเมื่อสวรรค์เมตตา ต่อไปก็ดูแลนางให้ดี ส่วนเรื่องของตอบแทน ข้าไม่รับ" คำตอบของหมอหลวงยิ่งสร้างความเลื่อมใสให้กับทุกคน
"บุตรสาวข้าฟื้นแล้ว นางเป็น...เอ่อ...คนใช่หรือไม่" ว่านลู่เหมยใช้นิ้วจิ้มไปตามตัวของบุตรสาว สายตาตกตะลึงไม่หาย
"เป็นคนสิ" หมอหลวงยืนยัน เท่านั้นฮูหยินใหญ่ผู้นี้ก็หลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ
"สวรรค์เมตตาแล้ว พรุ่งนี้ท่านพี่ไปศาลเจ้ากับข้านะเจ้าคะ" ฮูหยินเอกว่านลู่เหมยหันมาบอกสามี
เจียงหมิ่นเลิกคิ้วมองนางอย่างไม่เข้าใจ
"เหตุใดจึงต้องรีบร้อนไปนัก ให้มี่เอ๋อร์หายดีก่อน ค่อยไปไม่ดีกว่า?"
"ไม่ดีเจ้าค่ะ ต้องไปพรุ่งนี้ วันก่อนข้าใจคอไม่ดี จึงไปขอพรให้มี่เอ๋อร์แข็งแรง ข้าบนที่ศาลเจ้าไว้ว่าหากมี่เอ๋อร์รอดพ้นความตาย วันต่อไปท่านพี่ต้องวิ่งรอบศาลเจ้าสิบรอบเจ้าค่ะ"
เจียงหมิ่นนิ่งอึ้ง กล่าวอะไรไม่ออกทั้งสิ้น นี่เขาต้องวิ่งรอบศาลเจ้าสิบรอบ !?
ฮูหยิน เจ้าถามข้าสักคำหรือยัง ! !
คล้อยหลังหมอหลวงได้ครู่เดียว เสี่ยวจูก็เข้ามา นางยกมือขึ้นลูบคลำเจียงลี่มี่ทั้งตัว เดินวนรอบตัวไปมา จนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก“ข้าตกใจเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ แต่ติดตรงที่ไม่ใช่เสียงคุณหนูใหญ่ ข้าจึงรออยู่ด้านนอก” เสี่ยวจูบอก“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่เล่นสนุกนิดหน่อย” เสี่ยวจูมองหน้าคุณหนูของนางอย่างประหลาดใจ คุณหนูของนางรู้จักเล่นสนุกตั้งแต่เมื่อใด“เสี่ยวจู เจ้าออกไปก่อน” ฮูหยินเอกว่านลู่เหมยสั่ง“เจ้าค่ะ”“มี่เอ๋อร์ เจ้ามานั่งคุยกับแม่สักหน่อย” ว่านลู่เหมยบอกบุตรสาวที่ยังคงยืนอยู่ข้างโต๊ะที่เคยวางกาน้ำชาเจียงลี่มี่ค่อยๆ เดินไปนั่งที่ตั่งคนงามข้างคุณแม่ของเธอในนิยายแต่โดยดี นึกรู้ได้ว่าคุณแม่ต้องจับความผิดปกติได้ และเธอกำลังจะถูกซักฟอก“เจ้ามีอะไรจะบอกแม่หรือไม่”เจียงลี่มี่นิ่งอึ้ง กับคนอื่นเธอเสแสร้งแสดงละครได้ แต่กับว่านลู่เหมย เธอไม่คิดจะเสแสร้ง เพราะคุณแม่คนนี้รักเธอสุดหัวใจเห็นบุตรสาวนิ่งเงียบ ท่าทีคล้ายไม่ทราบว่าจะบอกกล่าวเช่นไร ว่านลู่เหมยต้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู“ถ้าเจ้านึกไม่ออกว่าควรเริ่มต้นที่เรื่องใด แม่ว่าเจ้าเริ่มที่เจ้าแสร้งทำเป็นเจ็บปวดเมื่อเหม
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเผลอบีบแรงไป เจ็บมากมั้ยเจ้าคะ ขอข้าดูสักหน่อย” เหมยฮวายื่นมือมาอีกครั้ง แต่เจียงลี่มี่เอามือไปแอบด้านหลัง น้ำตาคลอ สีหน้าเจ็บปวด“ไม่เป็นไร ข้าเกรงว่าร่างกายที่อ่อนแอของข้าจะทนไม่ไหว แค่แตะเบาๆ ข้าก็เจ็บมากแล้ว” เหมยฮวาชะงักไป มองเจียงลี่มี่อย่างอึ้งๆ ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้า“เช่นนั้นข้าจะระวัง ไม่แตะโดนตัวท่านเจ้าค่ะ ท่านจะได้ไม่เจ็บ” เจียงลี่มี่ลอบยิ้มเหมยฮวายื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย แต่ทันทีที่สัมผัส เจียงลี่มี่ก็ชักมือกลับพร้อมกับร้องด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ย..เจ็บ ! มือของเจ้า ยิ่งเย็นข้ายิ่งรู้สึกเจ็บ”เหมยฮวาต้องตกใจ นางไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ไม่คิดว่าเพียงมือของนางที่เย็นเพราะอากาศ จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดได้เช่นนี้“ข้า...ข้า...ข้าจะทำเช่นไรดี ข้าไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ”เจียงลี่มี่มองท่าทางของเหมยฮวาด้วยสายตาอ่อนโยน หากในใจต้องยิ้มเยาะ เธอกำลังวางแผนบางอย่าง“เจ้าอย่าเพิ่งโดนตัวข้าเลย ข้าเกรงว่าจะรู้สึกเจ็บ...โอ๊ย...” เสียงร้องโอดครวญของเจียงลี่มี่พลันดังขึ้นเหมยฮวาสะดุ้งตกใจ นางยังไม่ได้โดนตัวของอีกฝ่ายเลย เหตุใดจึงเจ็บได้ เกรงว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไป อาจเกิดปัญหากับตัวน
เจียงลี่มี่ร้องไห้แทบขาดใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ สุดท้ายเธอก็ล้มเลิกความฝัน และเดินหน้าต่อด้วยการเป็นดารา แม้อาอี้จะคอยบอกให้เธอเปิดร้าน แต่สุดท้ายเธอก็ถูกแม่บงการชีวิตอยู่ดีทั้งชีวิตเธอทำเพื่อคนอื่นมาตลอด แต่สิ่งที่เธอได้รับคือความเจ็บปวด แม้แต่ตอนที่ใกล้จะตาย คนที่ทำร้ายเธอก็คือคนที่เธอรัก ภาพทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เป็นความทรงจำที่เธอไม่เคยลืม“อาหลงรักเจเจ้ที่สุดเลย” เสียงเด็กชายตัวน้อยเอ่ยด้วยความดีใจ มองของเล่นในมือตาเป็นประกาย“เจเจ้ก็รักอาหลงที่สุดเหมือนกัน” เธอกอดน้องชายด้วยความรักและเอ็นดู เธอตั้งใจเก็บเงินเพื่อซื้อของเล่นที่น้องชายอยากได้ มอบให้เป็นของขวัญวันเกิด“อาหลงรักเจเจ้ที่สุด โตขึ้นอาหลงจะดูแลเจเจ้เอง จะหาเงินซื้อของเล่นให้เจเจ้บ้าง” เด็กสาวยิ้มกว้าง หอมแก้มน้องชายซ้ายขวา“ไม่เป็นไร เจเจ้ไม่อยากได้ แค่อาหลงมีความสุข เจเจ้ก็มีความสุขมากแล้ว” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้า“อาหลงจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อกับเจเจ้ จะไม่ทำให้เจเจ้เสียใจ”เจียงลี่มี่น้ำตาคลอเมื่อนึกถึงเรื่องในตอนนั้น ความทรงจำที่มีความสุข เพราะหลังจากนั้นไม่กี่ปี อาหลงก็ไม่สนใจเธออีกเลย มองเธอด้วยสายตาเ
“เหตุใดพี่ลี่มี่จึงคิดว่าเป็นข้า ข้าเป็นน้องสาวท่าน ไม่เคยคิดทำร้ายท่าน” เจียงลี่มี่กุมท้องด้วยความเจ็บปวด เธอรู้สึกราวกับถูกเข็มนับพันหมื่นเล่มทิ่มแทงภายในร่าง“เลิกแสดงละครได้แล้ว ! หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร ทันทีที่ข้าดื่มชาที่เจ้ามอบให้ ข้าก็เป็นเช่นนี้” เธอตวาดเสียงกร้าวก่อนจะพ่นโลหิตออกมา ยิ่งเธอโมโห พิษยิ่งทำร้ายเธอมากกว่าเดิมเหมยฮวามองภาพตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมาในที่สุด“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่คิดว่าพี่ลี่มี่จะรู้ตัวเร็วเช่นนี้ ใช่ ข้าเอง”เหมยฮวาเชยคางเธอขึ้นมา สบตาอย่างท้าทาย เจียงลี่มี่สะบัดหน้าหนีจากมือนั้น“ข้าดีกับเจ้า ไม่เคยทำร้ายเจ้า เพราะเหตุใด”เหมยฮวาลูบผมของเจียงลี่มี่ มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยโลหิตของเจียงลี่มี่อย่างมีความสุข“เจ้าดีกับข้า แล้วข้าต้องดีกับเจ้า? โง่เง่า ! ชีวิตนี้ข้าไม่มีทางดีกับเจ้า ข้าเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ จะไปเทียบชั้นเจ้าได้อย่างไร ทุกสิ่งล้วนถูกเจ้าแย่งชิง แม้แต่บุรุษที่ข้าชมชอบก็ถูกเจ้าแย่งไป หากข้าไม่กำจัดเจ้า ข้าไม่มีวันมีความสุข”ใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น เจียงลี่มี่มองอย่างชิงชัง เธอแค้นใจยิ่งนักเมื่อเห็นรอยยิ้มของเหมยฮวา สตรีที่เธอคิดว่
"คุณหนูใหญ่...นี่ข้าเอง เสี่ยวจูไงเจ้าคะ ท่านเป็นอะไรไป หรือ...หรือข้าทำให้ท่านเจ็บตรงไหน ให้ข้าช่วย...หะ..ให้ข้าไปตามคนมาช่วยนะเจ้าคะ"เสี่ยวจูมีท่าทางหวาดกลัว นางกำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่ ๆ คุณหนูใหญ่ก็บ่นว่ารู้สึกอ่อนล้า หายใจไม่ออก จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน แล้วไม่ฟื้นอีกเลย ไม่ว่านางจะพยายามปลุกอย่างไร จึงตัดสินใจจะไปตามคนมาช่วย แต่คุณหนูใหญ่ก็ขยับตัวเสียก่อน"เธอเป็นใคร แล้วทำไมฉันมาอยู่ที่นี่"เจียงลี่มี่ถามด้วยความสงสัย รอบตัวของเธอตอนนี้มีแต่สิ่งที่เธอไม่คุ้นเคย"ที่นี่คือจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายเจ้าค่ะ ข้าคือเสี่ยวจู ข้าเป็นสาวใช้ของคุณหนูอย่างไรเจ้าคะ...”เจียงลี่มี่ตกตะลึง อะไรคือจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เสี่ยวจูตรงหน้านี่คือใคร“...หรืออาการของคุณหนูกำเริบ จึงสูญเสียความทรงจำ ข้า...ข้า..ข้าจะไปตามนายท่านกับฮูหยินเอกมา..คะ..คุณ..คุณหนูรอข้าก่อนนะเจ้าคะ"เด็กน้อยเสี่ยวจูกำลังจะวิ่งออกไป แต่เธอมือไวคว้าไว้ได้เสียก่อน แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเธอสวมใส่เสื้อผ้าแบบโบราณ"อย่า..อย่าเพิ่งไป เอากระจกให้ฉัน" เจียงลี่มี่กระสับกระส่าย หวาดกลัว เสี่ยวจูยื่นกระจกให้ เธอรีบคว้ามา แล้วส่องดูหน้
“ไม่ใช่…แต่จะตัดทั้งพวงให้ขาด แล้วเอาไปทำกับข้าวให้นังเมียน้อยกิน อยากได้นักก็จะยกให้เลย ยิ่งรักกันปานจะกลืนกินยิ่งดี จะได้สมปรารถนาทั้งกิน ทั้งกลืน ฮ่าฮ่าฮ่า”เจียงลี่มี่อึ้ง ไม่คิดว่าคนใจเย็นอย่างอาอี้จะพูดแบบนี้ น่ากลัวกว่าที่คิด“อาอี้ทำฉันอึ้งนะเนี่ย แอบร้ายด้วย อีกอย่างนะเรื่องนี้มีบางอย่างพิเศษสำหรับฉันด้วย”“อะไร?” อาอี้สงสัย“พี่สาวของนางเอกเรื่องนี้นะสิ ชื่อเดียวกับฉันเลย เจียงลี่มี่ ชีวิตเธอก็อาภัพไม่ต่างกับฉันเลย”“โห..บังเอิญจริง ๆ แล้วเจียงลี่มี่ในเรื่องเด่นมากไหม เป็นถึงพี่สาวนางเอก บทต้องไม่น้อยแน่ ๆ”“เยอะมาก เด่นมากเลยล่ะ” เจียงลี่มี่พูดไปขำไปกับน้ำเสียงของอาอี้ที่เหมือนจะตื่นเต้นราวกับเป็นชื่อของตัวเอง“มีกี่บทที่พูดถึง หรือมีบทตลอดทั้งเรื่อง”“มีตั้งสามบรรทัด เยอะมากเลยใช่มั้ยล่ะ” เจียงลี่มี่อยากรู้ว่าอาอี้จะพูดอะไร เพราะที่เธออ่านนั้น บทเจียงลี่มี่ในนิยายมีแค่สามบรรทัด เรียกว่าเปิดตัวมาก็ตายเลย“หาาาาา! สามบรรทัด จะบ้าเรอะ นี่มันน้อยยิ่งกว่าบทนำเสียอีก คงไม่ใช่ว่าเปิดตัวมาปุ๊บก็ตายปั๊บอะไรแบบนี้นะ”อาอี้ค่อนขอด คนเขียนใจร้ายจริง ๆ เขียนมาได้ไงยะ สามบรรทัด น้อยเกิน







