Masukหลังจากสั่งให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายและฮูหยินเอกออกไปรอด้านนอก หมอหลวงก็นั่งลงข้างเตียง คำอ้อนวอนของฮูหยินเอกทำให้เขาเห็นใจนางยิ่งนัก แต่เมื่อมองดรุณีน้อยที่นอนอยู่ก็ได้แต่ถอนหายใจ
"ข้าจะช่วยเหลือเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าสิ้นวาสนาแล้วเช่นนี้"
หมอหลวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเวทนา ใบหน้าของเจียงลี่มี่ขาวซีด ลมหายใจอ่อนเบาจนแทบขาดหาย ตรวจชีพจรแล้วก็ต้องส่ายหน้า แม้อยากช่วยเพียงใดก็ไม่สามารถช่วยได้อีกแล้ว
"อาการของคุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"
เสี่ยวจู สาวใช้คนสนิทของเจียงลี่มี่เอ่ยถามอย่างมีความหวัง นัยน์ตาของเสี่ยวจูแดงก่ำหลังร้องไห้มาอย่างหนัก
"ตามฮูหยินเอกกับท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายเถอะ หากช้าคงไม่ทันกาล"
เสี่ยวจูอ้าปากค้าง นัยน์ตาเบิ่งกว้างอย่างตื่นตะลึง แม้ลึกๆ จะทราบดีว่าคุณหนูของนางไม่มีทางรอดแต่นางยังมีความหวังเล็กๆ ว่าอาจมีปาฏิหาริย์ แต่เมื่อได้ยินกับหูเช่นนี้ แขนขาของนางพลันอ่อนแรง หากครู่เดียวก็ตั้งสติได้ นางฝืนใจรวบรวมเรี่ยวแรงเร่งเดินออกไปตามฮูหยินเอกและเสนาบดีฝ่ายซ้าย
"มี่เอ๋อร์เป็นอย่างไร" ว่านลู่เหมยถามขึ้นเมื่อเห็นเสี่ยวจูออกมาจากห้อง
"ท่านหมอหลวงให้ข้ามาเชิญนายท่านและฮูหยินเข้าไปด้านในเจ้าค่ะ"
ว่านลู่เหมยทราบทันที หมอหลวงไม่สามารถรักษาบุตรสาวของนางได้ นางลุกขึ้นและรีบเดินไปโดยไม่สนใจผู้ใด เจียงหมิ่นรีบตามเข้าไปเช่นกัน
"ท่านหมอ โปรดช่วยบุตรสาวข้าด้วย ได้โปรด" ว่านลู่เหมยกล่าวออกมาทั้งน้ำตาทันทีที่เห็นหมอหลวง
บนเตียงกว้าง บุตรสาวของนางใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ริมฝีปากแตกระแหง ลมหายใจแผ่วเบาราวจะสิ้นใจได้ทุกเวลา ร่างบอบบางยังสั่นสะท้านด้วยความทรมาน หยาดเหงื่อผุดขึ้นทั้งร่าง แขนขาเกร็งแน่น
"คุณหนูต้องไม่เป็นอะไร ฮือ ๆ” เสี่ยวจู สาวใช้คนสนิทของเจียงลี่มี่ประคองมือเรียวบางวางแนบที่แก้มของตน น้ำตาไหลริน
"มีสิ่งใดอยากกล่าวกับนางก็กล่าวเถิด หากพ้นราตรีนี้ไป นางไม่อาจรับฟังได้แล้ว" หมอหลวงกล่าวอย่างเวทนา เขาถูกเชิญมาที่นี่ ด้วยความหวังของผู้เป็นมารดา แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้ อาการของนางหนักหนาเกินไป
ว่านลู่เหมยร้องไห้โฮทันที
"ท่านหมอ บุตรสาวข้าอายุยังน้อย ท่านช่วยนางไม่ได้หรือ หากต้องการสิ่งใด โปรดบอก ข้าจะหามาให้" เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวออกมา
"อาการของนางหนักเกินกว่าข้าจะช่วยได้อีกแล้ว"
หมอหลวงส่ายหน้า ถอยออกไปยืนด้านข้าง ปล่อยให้บิดามารดาของเจียงลี่มี่ได้ร่ำลาบุตรสาวเป็นครั้งสุดท้าย
"แต่นางยังเด็กนัก ทำไมสวรรค์จึงพรากนางไปจากข้าเร็วเช่นนี้ ฮือ ๆ” ว่านลู่เหมยเอ่ยออกมา นางไม่อาจทำใจเห็นบุตรสาวที่เฝ้าถนอมจากไปได้
นางนั่งลงข้างเตียง ลูบศีรษะของบุตรสาวอย่างแผ่วเบา น้ำตาไหลพรั่งพรู กล่าวไปก็ร้องไห้ไป "มี่เอ๋อร์ ไยเจ้าจึงรีบจากแม่ไปเร็วนัก ไม่รักแม่ ไม่อยากอยู่กับแม่แล้วหรือ"
"คุณหนู หากไม่มีท่าน ข้าจะอยู่ต่อไปอย่างไร ท่านจะทิ้งข้าไว้คนเดียวจริงๆ หรือเจ้าคะ หากไม่มีท่าน ข้าก็ไม่ทราบว่าจะอยู่ไปทำไม" เสี่ยวจูเอ่ยออกมาก่อนจะก้มหน้าร้องไห้ เพราะทั้งชีวิตของนางมีเพียงคุณหนูใหญ่เจียงลี่มี่ที่เป็นทั้งเจ้านาย สหาย และพี่น้อง
ร่างบอบบางพลันกระตุกอย่างรุนแรง เจียงลี่มี่ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ว่านลู่เหมยรวบร่างบุตรสาวมากอดไว้ ร้องไห้ราวจะขาดใจ
"ท่านหมอหลวง แม้ไม่อาจรักษานางได้ แต่ท่านช่วยบรรเทาความทรมานให้นางได้หรือไม่ ข้าไม่อาจทนเห็นนางเจ็บปวดเช่นนี้" เจียงหมิ่นกล่าวออกมา
หมอหลวงพยักหน้า ก่อนจะเขียนเทียบยายื่นให้ "มันเป็นเพียงยาบรรเทา ไม่ใช่ยารักษา ข้าช่วยได้เท่านี้"
"ขอบคุณท่าน เท่านี้ก็ดีมากแล้ว"
เขายื่นเทียบยาให้เสี่ยวจู นางรับมาและรีบไปต้มยาให้
"แม้สิ้นวาสนาต่อกันเพียงเท่านี้ แต่บิดาอยากให้เจ้ารู้ว่าเจ้าคือบุตรสาวที่บิดารัก หากมีสิ่งใดที่บิดาสามารถแลกเพื่อให้เจ้าอยู่ต่อได้ บิดารับปากจะกระทำทันที" เจียงหมิ่นกล่าวออกมา
ร่างบอบบางในอ้อมกอดของมารดาสั่นด้วยความเจ็บปวด หากนัยน์ตากลับเปิดปรือขึ้นเล็กน้อยและเหม่อมองอย่างเลื่อนลอย คล้ายว่าเจียงลี่มี่ต้องการร่ำลามารดาของนาง ครู่ถัดมาลมหายใจค่อย ๆ อ่อนจนหยุดลง นัยน์ตาที่เปิดปรือค่อย ๆ ปิดสนิท
ว่านลู่เหมยรู้สึกได้ทันทีว่าร่างของบุตรสาวแน่นิ่งไปแล้ว เพ่งมองใบหน้าน้อยๆ ก็เห็นเพียงนัยน์ตาที่ปิดสนิท นางยื่นมือสั่นระริกไปอังใต้จมูกของบุตรสาว จึงพบว่าไม่หายใจอีกต่อไปแล้ว
“มี่เอ๋อร์ ! ! !”
นางร้องเรียกบุตรสาวสุดเสียงและหมดสติในทันที
เจียงหมิ่นรีบเข้าไปอุ้มว่านลู่เหมยพาออกไปพักที่ห้องด้านข้าง หมอหลวงได้แต่มองตามอย่างเศร้าใจ หากก่อนที่เขาจะตามออกไป หางตาก็เหลือบเห็นคนที่สิ้นลมไปเมื่อครู่กำลังลืมตาและมองมาที่เขา หมอหลวงอ้าปากค้างอย่างตกใจ เท้าเผลอก้าวถอยหลังไปจนชิดประตูห้อง ครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยออกมา
"จะ...เจ้า...เป็นผีหรือคน"
คล้อยหลังหมอหลวงได้ครู่เดียว เสี่ยวจูก็เข้ามา นางยกมือขึ้นลูบคลำเจียงลี่มี่ทั้งตัว เดินวนรอบตัวไปมา จนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก“ข้าตกใจเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ แต่ติดตรงที่ไม่ใช่เสียงคุณหนูใหญ่ ข้าจึงรออยู่ด้านนอก” เสี่ยวจูบอก“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่เล่นสนุกนิดหน่อย” เสี่ยวจูมองหน้าคุณหนูของนางอย่างประหลาดใจ คุณหนูของนางรู้จักเล่นสนุกตั้งแต่เมื่อใด“เสี่ยวจู เจ้าออกไปก่อน” ฮูหยินเอกว่านลู่เหมยสั่ง“เจ้าค่ะ”“มี่เอ๋อร์ เจ้ามานั่งคุยกับแม่สักหน่อย” ว่านลู่เหมยบอกบุตรสาวที่ยังคงยืนอยู่ข้างโต๊ะที่เคยวางกาน้ำชาเจียงลี่มี่ค่อยๆ เดินไปนั่งที่ตั่งคนงามข้างคุณแม่ของเธอในนิยายแต่โดยดี นึกรู้ได้ว่าคุณแม่ต้องจับความผิดปกติได้ และเธอกำลังจะถูกซักฟอก“เจ้ามีอะไรจะบอกแม่หรือไม่”เจียงลี่มี่นิ่งอึ้ง กับคนอื่นเธอเสแสร้งแสดงละครได้ แต่กับว่านลู่เหมย เธอไม่คิดจะเสแสร้ง เพราะคุณแม่คนนี้รักเธอสุดหัวใจเห็นบุตรสาวนิ่งเงียบ ท่าทีคล้ายไม่ทราบว่าจะบอกกล่าวเช่นไร ว่านลู่เหมยต้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู“ถ้าเจ้านึกไม่ออกว่าควรเริ่มต้นที่เรื่องใด แม่ว่าเจ้าเริ่มที่เจ้าแสร้งทำเป็นเจ็บปวดเมื่อเหม
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเผลอบีบแรงไป เจ็บมากมั้ยเจ้าคะ ขอข้าดูสักหน่อย” เหมยฮวายื่นมือมาอีกครั้ง แต่เจียงลี่มี่เอามือไปแอบด้านหลัง น้ำตาคลอ สีหน้าเจ็บปวด“ไม่เป็นไร ข้าเกรงว่าร่างกายที่อ่อนแอของข้าจะทนไม่ไหว แค่แตะเบาๆ ข้าก็เจ็บมากแล้ว” เหมยฮวาชะงักไป มองเจียงลี่มี่อย่างอึ้งๆ ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้า“เช่นนั้นข้าจะระวัง ไม่แตะโดนตัวท่านเจ้าค่ะ ท่านจะได้ไม่เจ็บ” เจียงลี่มี่ลอบยิ้มเหมยฮวายื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย แต่ทันทีที่สัมผัส เจียงลี่มี่ก็ชักมือกลับพร้อมกับร้องด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ย..เจ็บ ! มือของเจ้า ยิ่งเย็นข้ายิ่งรู้สึกเจ็บ”เหมยฮวาต้องตกใจ นางไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ไม่คิดว่าเพียงมือของนางที่เย็นเพราะอากาศ จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดได้เช่นนี้“ข้า...ข้า...ข้าจะทำเช่นไรดี ข้าไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ”เจียงลี่มี่มองท่าทางของเหมยฮวาด้วยสายตาอ่อนโยน หากในใจต้องยิ้มเยาะ เธอกำลังวางแผนบางอย่าง“เจ้าอย่าเพิ่งโดนตัวข้าเลย ข้าเกรงว่าจะรู้สึกเจ็บ...โอ๊ย...” เสียงร้องโอดครวญของเจียงลี่มี่พลันดังขึ้นเหมยฮวาสะดุ้งตกใจ นางยังไม่ได้โดนตัวของอีกฝ่ายเลย เหตุใดจึงเจ็บได้ เกรงว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไป อาจเกิดปัญหากับตัวน
เจียงลี่มี่ร้องไห้แทบขาดใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ สุดท้ายเธอก็ล้มเลิกความฝัน และเดินหน้าต่อด้วยการเป็นดารา แม้อาอี้จะคอยบอกให้เธอเปิดร้าน แต่สุดท้ายเธอก็ถูกแม่บงการชีวิตอยู่ดีทั้งชีวิตเธอทำเพื่อคนอื่นมาตลอด แต่สิ่งที่เธอได้รับคือความเจ็บปวด แม้แต่ตอนที่ใกล้จะตาย คนที่ทำร้ายเธอก็คือคนที่เธอรัก ภาพทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เป็นความทรงจำที่เธอไม่เคยลืม“อาหลงรักเจเจ้ที่สุดเลย” เสียงเด็กชายตัวน้อยเอ่ยด้วยความดีใจ มองของเล่นในมือตาเป็นประกาย“เจเจ้ก็รักอาหลงที่สุดเหมือนกัน” เธอกอดน้องชายด้วยความรักและเอ็นดู เธอตั้งใจเก็บเงินเพื่อซื้อของเล่นที่น้องชายอยากได้ มอบให้เป็นของขวัญวันเกิด“อาหลงรักเจเจ้ที่สุด โตขึ้นอาหลงจะดูแลเจเจ้เอง จะหาเงินซื้อของเล่นให้เจเจ้บ้าง” เด็กสาวยิ้มกว้าง หอมแก้มน้องชายซ้ายขวา“ไม่เป็นไร เจเจ้ไม่อยากได้ แค่อาหลงมีความสุข เจเจ้ก็มีความสุขมากแล้ว” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้า“อาหลงจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อกับเจเจ้ จะไม่ทำให้เจเจ้เสียใจ”เจียงลี่มี่น้ำตาคลอเมื่อนึกถึงเรื่องในตอนนั้น ความทรงจำที่มีความสุข เพราะหลังจากนั้นไม่กี่ปี อาหลงก็ไม่สนใจเธออีกเลย มองเธอด้วยสายตาเ
“เหตุใดพี่ลี่มี่จึงคิดว่าเป็นข้า ข้าเป็นน้องสาวท่าน ไม่เคยคิดทำร้ายท่าน” เจียงลี่มี่กุมท้องด้วยความเจ็บปวด เธอรู้สึกราวกับถูกเข็มนับพันหมื่นเล่มทิ่มแทงภายในร่าง“เลิกแสดงละครได้แล้ว ! หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร ทันทีที่ข้าดื่มชาที่เจ้ามอบให้ ข้าก็เป็นเช่นนี้” เธอตวาดเสียงกร้าวก่อนจะพ่นโลหิตออกมา ยิ่งเธอโมโห พิษยิ่งทำร้ายเธอมากกว่าเดิมเหมยฮวามองภาพตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมาในที่สุด“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่คิดว่าพี่ลี่มี่จะรู้ตัวเร็วเช่นนี้ ใช่ ข้าเอง”เหมยฮวาเชยคางเธอขึ้นมา สบตาอย่างท้าทาย เจียงลี่มี่สะบัดหน้าหนีจากมือนั้น“ข้าดีกับเจ้า ไม่เคยทำร้ายเจ้า เพราะเหตุใด”เหมยฮวาลูบผมของเจียงลี่มี่ มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยโลหิตของเจียงลี่มี่อย่างมีความสุข“เจ้าดีกับข้า แล้วข้าต้องดีกับเจ้า? โง่เง่า ! ชีวิตนี้ข้าไม่มีทางดีกับเจ้า ข้าเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ จะไปเทียบชั้นเจ้าได้อย่างไร ทุกสิ่งล้วนถูกเจ้าแย่งชิง แม้แต่บุรุษที่ข้าชมชอบก็ถูกเจ้าแย่งไป หากข้าไม่กำจัดเจ้า ข้าไม่มีวันมีความสุข”ใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น เจียงลี่มี่มองอย่างชิงชัง เธอแค้นใจยิ่งนักเมื่อเห็นรอยยิ้มของเหมยฮวา สตรีที่เธอคิดว่
"คุณหนูใหญ่...นี่ข้าเอง เสี่ยวจูไงเจ้าคะ ท่านเป็นอะไรไป หรือ...หรือข้าทำให้ท่านเจ็บตรงไหน ให้ข้าช่วย...หะ..ให้ข้าไปตามคนมาช่วยนะเจ้าคะ"เสี่ยวจูมีท่าทางหวาดกลัว นางกำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่ ๆ คุณหนูใหญ่ก็บ่นว่ารู้สึกอ่อนล้า หายใจไม่ออก จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน แล้วไม่ฟื้นอีกเลย ไม่ว่านางจะพยายามปลุกอย่างไร จึงตัดสินใจจะไปตามคนมาช่วย แต่คุณหนูใหญ่ก็ขยับตัวเสียก่อน"เธอเป็นใคร แล้วทำไมฉันมาอยู่ที่นี่"เจียงลี่มี่ถามด้วยความสงสัย รอบตัวของเธอตอนนี้มีแต่สิ่งที่เธอไม่คุ้นเคย"ที่นี่คือจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายเจ้าค่ะ ข้าคือเสี่ยวจู ข้าเป็นสาวใช้ของคุณหนูอย่างไรเจ้าคะ...”เจียงลี่มี่ตกตะลึง อะไรคือจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เสี่ยวจูตรงหน้านี่คือใคร“...หรืออาการของคุณหนูกำเริบ จึงสูญเสียความทรงจำ ข้า...ข้า..ข้าจะไปตามนายท่านกับฮูหยินเอกมา..คะ..คุณ..คุณหนูรอข้าก่อนนะเจ้าคะ"เด็กน้อยเสี่ยวจูกำลังจะวิ่งออกไป แต่เธอมือไวคว้าไว้ได้เสียก่อน แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเธอสวมใส่เสื้อผ้าแบบโบราณ"อย่า..อย่าเพิ่งไป เอากระจกให้ฉัน" เจียงลี่มี่กระสับกระส่าย หวาดกลัว เสี่ยวจูยื่นกระจกให้ เธอรีบคว้ามา แล้วส่องดูหน้
“ไม่ใช่…แต่จะตัดทั้งพวงให้ขาด แล้วเอาไปทำกับข้าวให้นังเมียน้อยกิน อยากได้นักก็จะยกให้เลย ยิ่งรักกันปานจะกลืนกินยิ่งดี จะได้สมปรารถนาทั้งกิน ทั้งกลืน ฮ่าฮ่าฮ่า”เจียงลี่มี่อึ้ง ไม่คิดว่าคนใจเย็นอย่างอาอี้จะพูดแบบนี้ น่ากลัวกว่าที่คิด“อาอี้ทำฉันอึ้งนะเนี่ย แอบร้ายด้วย อีกอย่างนะเรื่องนี้มีบางอย่างพิเศษสำหรับฉันด้วย”“อะไร?” อาอี้สงสัย“พี่สาวของนางเอกเรื่องนี้นะสิ ชื่อเดียวกับฉันเลย เจียงลี่มี่ ชีวิตเธอก็อาภัพไม่ต่างกับฉันเลย”“โห..บังเอิญจริง ๆ แล้วเจียงลี่มี่ในเรื่องเด่นมากไหม เป็นถึงพี่สาวนางเอก บทต้องไม่น้อยแน่ ๆ”“เยอะมาก เด่นมากเลยล่ะ” เจียงลี่มี่พูดไปขำไปกับน้ำเสียงของอาอี้ที่เหมือนจะตื่นเต้นราวกับเป็นชื่อของตัวเอง“มีกี่บทที่พูดถึง หรือมีบทตลอดทั้งเรื่อง”“มีตั้งสามบรรทัด เยอะมากเลยใช่มั้ยล่ะ” เจียงลี่มี่อยากรู้ว่าอาอี้จะพูดอะไร เพราะที่เธออ่านนั้น บทเจียงลี่มี่ในนิยายมีแค่สามบรรทัด เรียกว่าเปิดตัวมาก็ตายเลย“หาาาาา! สามบรรทัด จะบ้าเรอะ นี่มันน้อยยิ่งกว่าบทนำเสียอีก คงไม่ใช่ว่าเปิดตัวมาปุ๊บก็ตายปั๊บอะไรแบบนี้นะ”อาอี้ค่อนขอด คนเขียนใจร้ายจริง ๆ เขียนมาได้ไงยะ สามบรรทัด น้อยเกิน







