LOGIN“ข้ามีวิธีการวิเคราะห์สมุนไพรที่แม่นยำและถึงแก่นมากกว่านั้นเยอะ ข้าสามารถบอกได้ว่าสมุนไพรชนิดไหนมีการออกฤทธิ์ทางชีวภาพอย่างไร และชนิดไหนมีสารพิษตกค้างที่ท่านหมอมองไม่เห็น ”
ซูฉิงยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาอีกครั้ง เธอกระซิบราวกับเป็นความลับระดับชาติ
“ข้าจะบอกอะไรที่ท่านหมอไม่รู้... ในชาที่คนไข้ของท่านดื่มทุกวัน มีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ถ้าต้มไม่ถูกต้อง มันจะให้ สารไซยาไนด์ในปริมาณที่น้อยมาก ซึ่งจะค่อยๆ ทำลาย ระบบประสาทส่วนกลาง ของคนไข้จนทำให้พวกเขา รู้สึกซึมเศร้าและอ่อนเพลีย ตลอดเวลา ท่านต้องปรับสูตรยาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ ไม่อย่างนั้น... ท่านหมอเทวดาจะต้องถูกประณามว่าเป็นหมอยาพิษแน่นอน”
เพล้ง
คำพูดสุดท้ายของซูฉิงทำให้อวี้เหยียน ชะงักงัน อย่างสมบูรณ์ เขาใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อการแพทย์ และเรื่อง สารพิษตกค้างที่ซูฉิงพูดถึงนั้น... เป็นเรื่องที่เขา ไม่เคยพบในตำราเล่มใดเลย แต่ในทางปฏิบัติ... มันกลับมีเหตุผลอย่างน่ากลัว
“สารไซยาไนด์... ระบบประสาทส่วนกลาง...” อวี้เหยียนทวนคำอย่างเหม่อลอย ความเยือกเย็นบนใบหน้าของเขาพังทลายลงไปเกือบหมด เขาไม่สนใจคำพูด ชวนคิดลึกของนางอีกแล้ว สิ่งที่อยู่ในสมองของเขาตอนนี้คือ ความผิดพลาดทางการแพทย์ที่อาจจะเกิดขึ้น
ซูฉิงรู้ว่าเธอชนะแล้ว เธอใช้ความรู้สมัยใหม่ของเธอ กระชากความสนใจของหมอเทวดาผู้เคร่งครัดออกมาจากศีลธรรม และมารยาทได้สำเร็จ
“ท่านหมอเจ้าคะ ข้าไม่ได้จะมาบำรุงอย่างเดียว ข้าจะมาช่วยท่านกอบกู้ชื่อเสียงด้วยเจ้าค่ะ” ซูฉิงยิ้มอย่างมีชัย
“ข้าขอพื้นที่ปลูกสมุนไพรให้ข้าได้ทำการทดลอง และขอเงินเดือน เล็กน้อย... แค่นั้นข้าก็จะอุทิศกายและใจ ให้แก่การแพทย์ของท่านตลอดไปเลยเจ้าค่ะ”
อวี้เหยียนลูบหน้าผากอย่างช้าๆ เขาจ้องมองใบหน้ายิ้มแย้มของซูฉิงด้วย ความขัดแย้ง
เขาไม่อาจปฏิเสธความรู้ที่ซูฉิงนำมาได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตคนไข้ แต่เขาก็ไม่อาจยอมรับพฤติกรรมและวาทะที่หยาบคายของสตรีผู้นี้ได้เช่นกัน
‘นางเป็นอัจฉริยะด้านสมุนไพร... แต่มีโรคทางใจที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน’ อวี้เหยียนคิด
ในที่สุด... ความอยากรู้อยากเห็นทางการแพทย์ก็เอาชนะความเคร่งครัดส่วนตัวไปได้
“ตกลง ข้าจะรับเจ้าเข้าทำงาน... แต่ไม่ใช่ในฐานะ ผู้ช่วยบำรุง ข้าจะรับเจ้าเป็น ผู้ช่วยพิเศษด้านวิจัยสมุนไพร โดยมีเงื่อนไขว่า... เจ้าต้องให้ความร่วมมือในการรักษา โรคปากไวใจทะลึ่งของเจ้าด้วย”
ซูฉิงดีใจจนแทบจะกระโดดกอดอวี้เหยียน แต่เธอรวบรวมสติไว้ได้ทัน
“ท่านหมอช่างใจดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ ข้าสัญญาว่าจะตั้งใจรักษาตัวเองและข้าจะมอบทุกสิ่งที่ข้ารู้ให้ท่านหมอเลยเจ้าค่ะ ทั้งสูตรลับสมุนไพรและ... เทคนิคบำรุงกายใจขั้นสุดยอด”
อวี้เหยียนรีบยกมือห้ามก่อนที่ซูฉิงจะพูดอะไรที่น่าอับอายออกมาอีก
“หยุดเดี๋ยวนี้” อวี้เหยียนสั่งเสียงดัง “ข้าไม่ต้องการ เทคนิคบำรุงกายใจ อันใดของเจ้าทั้งสิ้น ข้าต้องการแค่ ความรู้ทางการแพทย์ที่แท้จริง เท่านั้น”
เขาหยิบพู่กันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเริ่มเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษหยาบๆ ม้วนหนึ่ง
“ก่อนที่เราจะเริ่มงาน... เราต้องมาตกลงเรื่องมารยาทและศีลธรรมกันก่อน” อวี้เหยียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังที่สุด “ข้าจะไม่ยอมให้วาทะชวนคิดลึกของเจ้ามาทำลายเกียรติของโรงหมอแห่งนี้ได้เด็ดขาด”
‘ฮึ่ม กฎเหรอ ยิ่งมีกฎ... ยิ่งน่าแหก’ ซูฉิงยิ้มในใจอย่างเจ้าเล่ห์
อวี้เหยียนใช้พู่กันจุ่มหมึกแล้วตวัดลงบนแผ่นกระดาษหยาบๆ อย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาเคร่งเครียดราวกับกำลังร่างพระราชโองการอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่แค่กฎเกณฑ์สำหรับผู้ช่วยวิจัยคนเดียวเท่านั้น ซูฉิงยืนเท้าสะเอวมองการทำงานของเขาอย่างเพลิดเพลิน เธอรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องตรวจที่เคยเย็นเฉียบเริ่มอุ่นขึ้นเล็กน้อยจากความหงุดหงิดที่เปล่งออกมาจากตัวท่านหมอเทวดา
“ท่านหมอเจ้าคะ จะร่างพันธสัญญาอะไรกันขนาดนั้นเจ้าคะ หรือว่าท่านกำลังจะร่างสัญญาทาสที่ข้าต้องมอบเรือนร่างและจิตวิญญาณให้ท่านไปตลอดกาล” ซูฉิงแกล้งพูดเสียงหวาน
พู่กันในมือของอวี้เหยียนเกือบจะตวัดเส้นหมึกผิดพลาดทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น
“ซูฉิง โปรดหยุดพูดจาไร้สาระเดี๋ยวนี้” อวี้เหยียนสั่งเสียงต่ำ เขาพยายามไม่สบตากับเธอ
“ข้าเปล่าไร้สาระนะเจ้าคะ ข้าแค่กลัวว่าท่านจะ คิดถึงข้า ตลอดเวลาเมื่อข้าต้องจากไปไงเจ้าคะ ถ้ามีสัญญาเป็นหลักฐาน ท่านก็จะได้ใช้ข้าได้อย่างสบายใจไปเลย”
อวี้เหยียนกัดฟันแน่น เขาพยายามสงบสติอารมณ์ด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะวางพู่กันลงอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาหยิบกระดาษที่ร่างเสร็จแล้วยื่นไปให้ซูฉิง
“นี่คือ กฎเหล็กห้าข้อสำหรับผู้ช่วยพิเศษด้านวิจัยสมุนไพรแห่งโรงหมอบำรุงกายใจของข้า หากเจ้ากล้าละเมิดแม้แต่ข้อเดียว ข้าจะขับไล่เจ้าออกไปทันที และจะไม่มีวันรับเจ้ากลับเข้ามาอีก”
อวี้เหยียนหน้าตึง “ข้า... ข้าจะวัดอุณหภูมิที่... ลิ้นของข้าเอง”“ไม่ได้เจ้าค่ะ” ซูฉิงรีบปฏิเสธ “การวัดที่ลิ้นนั้นไม่แม่นยำพอ ข้าต้องวัดที่จุดสัมผัสหลักที่เป็นแหล่งรวมพลังหยางในร่างกายของท่าน” ซูฉิงพยายามจะยื่นปรอทวัดไข้เข้าไปใกล้ลำคอของเขา แต่อวี้เหยียนรีบผงะหนีไปทันที“พอแล้ว ซูฉิง ข้าจะรายงานความรู้สึกของข้าให้เจ้าฟังแทน ข้าไม่ต้องการการสัมผัสใดๆ อีก” อวี้เหยียนกล่าวอย่างหงุดหงิดซูฉิงยอมถอย เธอหยิบพู่กันขึ้นมาบันทึกข้อมูล “ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านหมอ โปรดรายงานความรู้สึกภายในของท่านอย่างตรงไปตรงมา”อวี้เหยียนพยายามรวบรวมคำพูดที่วิชาการที่สุด “ข้า... ข้าสัมผัสได้ว่าพลังชี่ของข้ามีการไหลเวียนผิดปกติ มัน... มันพลุ่งพล่านและรุนแรงอยู่ภายในร่างกายของข้า หัวใจของข้าเต้นเร่าอย่างรวดเร็ว ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นผลจากยาหรือจากความอับอายที่เจ้าสร้างขึ้น”ซูฉิงยิ้มอย่างมีชัย เธอรีบจดบันทึกทุกคำพูดของเขา “ยอดเยี่ยมเจ้าค่ะท่านหมอ ชีพจรเต้นเร่า พลังชี่พลุ่งพล่าน นี่คือปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่ออคติถูกทำลาย ข้าจะตีความว่ายานี้ได้ผลในการกระตุ้นการปลดปล่อย ท่านหมอไม่ต้องอับอายนะเจ้าคะ ท่านกำลังปลดปล่
ขณะที่ทั้งสองกำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะทดลอง พื้นที่ว่างที่จำกัดทำให้ร่างกายของพวกเขาใกล้ชิดกันโดยไม่ได้ตั้งใจ อวี้เหยียนพยายามรักษาระยะห่างตามสัญชาตญาณ แต่ซูฉิงกลับเอนตัวเข้าไปหาเล็กน้อยเพื่อหยิบเครื่องมือ “ท่านหมอเจ้าคะ” ซูฉิงกล่าวขณะยื่นมือเข้าไปใกล้แขนของเขาเพื่อหยิบ ปฏิทินวัดชีพจร “ข้าต้องวัดชีพจรท่านก่อนที่เราจะชิมยานะเจ้าคะ เพื่อให้เราได้ข้อมูลพื้นฐาน”อวี้เหยียนถึงกับตัวแข็งทื่อ เขาจำกฎเหล็กข้อที่ 2 ห้ามสัมผัสร่างกายได้ขึ้นใจ และถึงแม้กฎจะถูกยกเลิกแล้ว การถูกสัมผัสด้วยความใกล้ชิดเช่นนี้ก็ยังทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้ “ซูฉิง ข้า... ข้าจะวัดชีพจรตัวเอง” อวี้เหยียนรีบดึงแขนกลับ แต่ซูฉิงเร็วกว่า“ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าต้องเป็นคนวัดเอง เพื่อความแม่นยำและเป็นกลาง” ซูฉิงกล่าวอย่างจริงจัง เธอจับข้อมือของอวี้เหยียนอย่างรวดเร็วและใช้นิ้วมือของเธอสัมผัสจุดชีพจรของเขาเบาๆ อวี้เหยียนรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแล่นไปทั่วแขนของเขา เขาพยายามมองไปที่อื่นเพื่อไม่ให้ความรู้สึกส่วนตัวมาทำลายการทดลอง“ชีพจรท่าน... เต้นเร็วกว่าปกติเล็กน้อยนะเจ้าคะท่านหมอ นี่อาจจะเป็นผลจากความตื่นเต้นหรือความอย
“ถูกต้องเจ้าค่ะ” ซูฉิงพยักหน้า “แต่มันมีความเสี่ยง ข้ากลัวว่าถ้ายานี้ถูกสกัดอย่างไม่สมบูรณ์ มันอาจจะออกฤทธิ์ผิดพลาดกลายเป็นยาเพิ่มความปรารถนาให้แก่บุรุษเพศแทน”อวี้เหยียนหน้าตึงทันที คำว่า ออกฤทธิ์ผิดพลาด และ เพิ่มความปรารถนา ทำให้เขากลับเข้าสู่โหมดเคร่งครัด “แล้วเจ้ามาหาข้าด้วยเหตุใด เจ้าควรจะไปหาผู้ช่วยหญิงคนอื่นมาทดสอบ”“ท่านหมอ นั่นแหละคือสิ่งที่ข้ามาขอท่านเจ้าค่ะ” ซูฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ซูฉิงเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานอีกก้าว เธอยื่นถ้วยยาอีกใบที่เตรียมไว้ให้เขา “ท่านหมอเจ้าคะ ไม่มีใครในโลกนี้ที่เหมาะสมกับการทดสอบยานี้เท่าท่านอีกแล้ว”อวี้เหยียนถึงกับตัวแข็งทื่อ เขาไม่เข้าใจความหมายของซูฉิง “อะไรนะ เจ้าหมายความว่าอย่างไร”“ข้าหมายความว่า... ท่านหมอเป็นบุรุษที่เคร่งครัดและมีการควบคุมตนเองสูงที่สุดในใต้หล้า” ซูฉิงอธิบายอย่างจริงจัง “ถ้าหากยานี้ออกฤทธิ์ผิดพลาดกลายเป็นยาเพิ่มความปรารถนาจริงๆ... ท่านหมอจะเป็นคนเดียวที่สามารถยับยั้งผลกระทบของมันได้”ซูฉิงส่งถ้วยยาให้เขาพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความท้าทาย “ดังนั้น ข้าจึงขอเชิญท่านหมอ... ร่วมพิสูจน์รสชาติครั้ง
หลังจากที่ท่านหมอเทวดาอวี้เหยียนยอมจำนนต่อความสามารถของซูฉิงและตัดสินใจเข้าร่วมแผนการบำบัดด้วยการดูแลใกล้ชิดที่ซูฉิงเสนอ โรงหมอบำรุงกายใจก็กลับมามีความสุขอีกครั้ง ซูฉิงไม่ได้ละเมิดกฎเหล็กใดๆ อีก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอวี้เหยียนกลับพัฒนาไปในทิศทางที่โรแมนติกแบบลับๆแต่ซูฉิงก็รู้ดีว่าเธอไม่สามารถปล่อยปละละเลยโรคปากไวใจทะลึ่งของตัวเองได้ เธอต้องการให้ตัวเองหายขาดจริงๆ ไม่ใช่แค่ควบคุมอาการได้ชั่วคราวจากการที่ใจเต้นแรงเพราะท่านหมอ ดังนั้นภารกิจเร่งด่วนที่สุดของซูฉิงในวันนี้คือการทดสอบประสิทธิภาพของหญ้าสงบจิตที่เธอปลูกในแปลงข้างห้องทำงานของพระเอก“ศิษย์น้องเถียนเถียน” ซูฉิงกล่าวขณะกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ในโรงยา “วันนี้เราจะมาทำการสกัดสมุนไพรพิเศษที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนสูงสุด”เถียนเถียนตาเป็นประกาย เธอเชื่อว่าการสกัดนี้คือพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทางการแพทย์ “เจ้าค่ะ ศิษย์พี่ซูฉิง ท่านกำลังจะสกัดความรู้บริสุทธิ์จากพืชออกมาใช่หรือไม่เจ้าคะ”“ถูกต้องที่สุดศิษย์น้อง” ซูฉิงยิ้มแห้งๆ ถ้าเจ้าจะตีความให้สูงส่งขนาดนั้นก็เอาที่สบายใจเลย “หญ้าสงบจิตนี้มันซับซ้อนมาก เราต้องสกัดสารออกฤทธิ์ทางชีวภา
“ท่านนายหลี่เจ้าคะ ท่านควรจะหาเวลาปลดปล่อยความรู้สึกออกมาให้หมดเปลือก อย่ามัวแต่เก็บกดความปรารถนาร้อนรุ่มไว้ในใจ การได้แสดงความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่ จะทำให้แก่นกลางของชีวิตท่านแข็งแกร่งและมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”คำพูดของซูฉิงที่เต็มไปด้วย ความปรารถนา ร้อนรุ่ม เก็บกด ปลดปล่อย และ แก่นกลางของชีวิต มันช่างยั่วยุและตรงข้ามกับความเชื่อของคุณนายหลี่อย่างรุนแรง คุณนายหลี่เริ่มหายใจหอบถี่ ใบหน้าของนางเปลี่ยนจากสีขาวซีดเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธ ความอับอาย และความสับสน นางพยายามจะตำหนิซูฉิง พยายามจะประณามคำพูดที่ไม่เหมาะสมแต่แทนที่คำตำหนิจะออกมาจากปาก... สิ่งที่ออกมาคือเสียงหัวเราะที่รุนแรงและควบคุมไม่ได้ “ฮึ ฮึ ฮ่าๆๆๆๆๆ” คุณนายหลี่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับคนเสียสติ นางหัวเราะจนตัวโยน น้ำตาไหลอาบแก้ม นางหัวเราะให้กับความไร้ยางอายของซูฉิง และหัวเราะให้กับความตลกของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเสียงหัวเราะสงบลง คุณนายหลี่เช็ดน้ำตา ใบหน้าของนางดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความเครียดและความหวาดระแวงหายไปหมดสิ้น “ข้า... ข้ารู้สึกโล่งอย่างน่าประหลาด ข้า... ข้าไม่เคยหัวเราะได้มากถึงเพียงนี้ม
“ถูกต้องเจ้าค่ะ คำพูดที่ชวนอับอาย นี่แหละคือยา เมื่อคนไข้มีความเครียดสูง พวกเขาจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากเกินไป ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและรู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา” ซูฉิงจ้องมองอวี้เหยียนอย่างจริงจัง “การที่ข้าพูดจาช็อกบำบัดใส่พวกเขา หรือพูดถึงเรื่องที่พวกเขาเก็บกดเอาไว้ เช่นความปรารถนาหรือความสุขทางโลก มันทำให้เกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่รุนแรง”“ปฏิกิริยาทางอารมณ์อันใด พวกเขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งต่างหาก”“นั่นแหละคือการรักษาเจ้าค่ะท่านหมอ การหัวเราะอย่างรุนแรง หรือการรู้สึกช็อกทางอารมณ์ จะไปกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินในสมองอย่างมหาศาล สารเอ็นดอร์ฟินนี้คือยาแก้ปวดและสารแห่งความสุขที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเอง มันช่วยลดระดับคอร์ติซอลและทำให้คนไข้รู้สึกโล่งทันที”อวี้เหยียนนิ่งเงียบไปทันที เขาไม่เคยได้ยินเรื่อง คอร์ติซอล หรือ เอ็นดอร์ฟิน มาก่อน แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าผลลัพธ์ของการรักษาซูฉิงนั้นแม่นยำตรงตามที่เธออธิบาย คนไข้ทุกคนที่ได้รับการรักษาด้วยวาจาของเธอ ต่างรู้สึกโล่งและมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างประหลาด ความรู้ของนาง... มันช่างถึงแก่นแท้ของชีวิตจริงๆ แม้วิธีการนำเสนอจะไร้ศีลธรรมเพียงใดก็







