ในขณะเดียวกัน
ยุคอดีตกาลพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายรองฉินเสวี้ยนกงแห่งแคว้นฉิน ทรงยืนทอดพระเนตรดอกโบตั๋นหลากสีมากมายภายในพระตำหนักจันทรา ด้วยพระอารมณ์ที่แลดูแจ่มใสเป็นพิเศษ พระพักตร์คมคายหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มเยือนอยู่ตลอดเวลาเมื่อทรงหวนคิดคำนึงถึงความฝันเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา
กลิ่นหอมละมุนจากแก้มเนื้อนวลยังติดอยู่ที่ปลายพระนาสิกอยู่ตลอด เวลา พระเนตรคู่สวยเปล่งประกายระยิบระยับอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะปิดพระเนตรลงด้วยความคิดถึงโฉมงามในหัวใจ “ชิงเชียงจ๋า” สุรเสียงรำพึงออกมาเบาๆ พระอารมณ์ที่แลดูแจ่มใสและพระพักตร์หล่อเหลาที่ปรากฏรอยแย้มสรวลอยู่ตลอดเวลานั้น ทำให้เฮ่าหรานขันทีผู้ใกล้ชิดซึ่งคอยถวายการรับใช้มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ อดไม่ได้ที่จะทูลถามเมื่อสังเกตเห็นองค์ชายรองของตนที่วันนี้ทรงมีสีพระพักตร์แจ่มใสเป็นยิ่งนักผิดกับทุกวันที่ผ่านมา “วันนี้องค์ชายทรงแลดูพระเกษมสำราญ ผิดกับทุกๆ วันเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” คำกราบทูลของขันทีคนสนิท ทำให้พระเนตรที่ปิดลงเมื่อครู่ที่ผ่านมาค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ พระเนตรคู่สวยยังคงเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ตลอดเวลา “เจ้าสังเกตข้าด้วยอย่างนั้นเหรอ” รับสั่งถามโดยมิได้หันกลับมาทอดพระเนตรแต่อย่างใด “กระหม่อมเฝ้าสังเกตพระองค์อยู่เสมอพ่ะย่ะค่ะ คอยถวายการรับใช้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์มีหรือจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง ปกติสีพระพักตร์เรียบเฉยและนิ่งอยู่ตลอดเวลา แต่วันนี้สิทรงแย้มพระโอษฐ์ทันทีตั้งแต่ตื่นบรรทม จะไม่ให้กระหม่อมคิดว่าแปลกได้ยังไงละพ่ะย่ะค่ะ” พระพักตร์หล่อเข้มแย้มพระสรวลออกมาทันที “เจ้านี่นะเหลือเกินจริงๆ” รับสั่งพร้อมส่ายพระเศียรไปมาติดๆ กัน หากแต่ยังมิทันจะรับสั่งสิ่งใดเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นอยู่นอกพระตำหนักขึ้นมาทันที “องค์ชายรองยังประทับอยู่ในพระตำหนักใช่ไหม” เสียงของสตรีสูงวัยกล่าวกับทหารที่ยืนยามอยู่ด้านนอก องค์ชายรองหันกลับไปทอดพระเนตรเสียงดังกล่าวทันที “เสด็จแม่!” รับสั่งออกมาโดยพลัน ครั้นทอดพระเนตรพระวรกายอวบอิ่มของพระมารดากำลังก้าวเข้ามาภายในพระตำหนัก เหยี่ยนฮองเฮาทอดพระเนตรโอรสองค์โปรด ซึ่งเจริญพระชันษาเข้าสู่ปีที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว ด้วยความรักและห่วงเป็นยิ่งนัก องค์ชายรองมีพระวรกายสูงใหญ่ แข็งแกร่ง กำยำผิดแปลกไปจากบุรุษทั่วไปอย่างยิ่งยวด อีกทั้งองอาจและผึ่งผายสมชายชาติบุรุษเสียนี่กระไร ช่างแตกต่างกับพระเชษฐาฉินเสวียนกงเป็นยิ่งนัก แม้จะสืบสายพระโลหิตจากพระบิดาและพระมารดาเดียวกัน แต่โอรสทั้งสองพระองค์กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งรูปร่างหน้าตาและอุปนิสัยใจคอ องค์ชายใหญ่ฉินเสวียนกง ได้รับการสถาปนาขึ้นครองตำแหน่งรัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาลของรัฐฉินอันยิ่งใหญ่ ซึ่งสืบทอดกันมานานนับหลายชั่วอายุคน ว่าตำแหน่งเจ้าผู้ครองรัฐจะต้องเป็นของโอรสองค์โตเท่านั้น โชคดีของแคว้นฉินเป็นยิ่งนักที่ฉินอ๋องและเหยี่ยนฮองเฮา มีพระโอรสสองพระองค์ล้วนแล้วแต่ฉลาดปราดเปรื่องในการปกครองอย่างยิ่งยวด องค์ชายใหญ่ปราดเปรื่องในการปกครองและวางแผนทุกด้าน คอยบริหารแค้วนฉินช่วยแบ่งเบาภาระพระบิดาได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วนองค์ชายรองนั้นไซร้ทรงมีพระปรีชาสามารถครบทุกด้านยิ่งกว่าพระเชษฐาและเหนือ กว่าด้วยซ้ำ องค์ชายฉินเสวี้ยนกง ชำนาญในการทำศึกสงครามอย่างยิ่งยวด ทรงเป็นแม่ทัพออกทำศึกแทนพระบิดาและพระเชษฐามาโดยตลอดจนชนะได้แคว้นน้อยใหญ่มาไว้ในครอบครอง จนแคว้นใหญ่ในขณะนั้นต่างกลัวเกรงฝีพระหัตถ์ในการนำทัพขององค์ชายรองเป็นยิ่งนัก และกริ่งเกรงสติปัญญาอันปราดเปรื่องขององค์ชายใหญ่เช่นกัน ทว่าในความเป็นจริงแล้ว การวางแผนทั้งด้านการปกครองและกลศึกในการทำสงคราม ล้วนมาจากพระสติปัญญาขององค์ชายรองทั้งสิ้น แต่ด้วยความรักที่มีต่อพระเชษฐาเป็นยิ่งนัก องค์ชายรองยอมให้พระเชษฐานำแผนการปกครองที่มาจากพระสติปัญญาของพระองค์ นำทูลเกล้าถวายคำแนะนำให้แก่พระบิดาจนทุกคนเชื่ออย่างสนิทใจว่ามาจากพระปรีชาสามารถขององค์ชายใหญ่ ซึ่งไม่มีสิ่งใดเทียบเท่าพระอนุชาได้เลย นอกจากทรงมีพระสิริโฉมงดงามเท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถเทียบเท่าพระสิริโฉมของพระอนุชาได้เลย มิหนำซ้ำองค์รัชทายาทยังเป็นนักรักผู้ยิ่งใหญ่ ทรงมีพระชายาโดยการแต่งตั้งถึงสี่พระองค์และมีพระสนมมากมายกว่ายี่สิบพระองค์ มีพระโอรสและพระธิดาซึ่งประสูติจากพระชายาทั้งสี่และพระสนมรวมแล้วกว่าสามสิบพระองค์เลยทีเดียว ในขณะที่องค์ชายรองฉินเสวี้ยนกงทรงปราศจากพระชายา มีเพียงพระสนมที่จำใจต้องรับไว้เพราะขัดพระทัยเหยี่ยนฮองเฮาไม่ได้มีจำนวนด้วยกันสิบพระองค์ ทว่ามิมีพระสนมองค์ใดเลยถูกเรียกให้ถวายงานเพื่อสืบสายพระโลหิต จนภายในพระราชวังต่างมีเสียงเล่าลือไปต่างๆ นานา ว่าองค์ชายรองทรงไร้รัก และมีจิตพิศวาสบุรุษเดียวกันนั่นเอง วรองค์งามสง่าโน้มพระวรกายสูงใหญ่ก้มคำนับพระมารดาเมื่อเหยี่ยนฮองเฮาเสด็จมาถึงพระตำหนักจันทรา “ถวายบังคมเสด็จแม่ มาหากระหม่อมแต่เช้ามีพระประสงค์สิ่งใดอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” รับสั่งถามราวกับว่าทรงล่วงรู้เท่าทันความคิดของพระมารดา “เฮ้อ!” เหยี่ยนฮองเฮาถอนพระหทัยออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อทรงได้ยินรับสั่งโอรสองค์โปรดถามออกมา “เจ้าถามแม่เช่นนี้คงไม่ต้องพูดอะไรให้มันมากความแล้วกระมัง ถ้าแม่มาถึงตำหนักของเจ้าก็มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่เจ้าคิด” รับสั่งตอบกลับไปพลางค้อนให้โอรสแต่พองาม “หึหึหึหึ” เสียงพระสรวลดังเบาๆ อยู่ในพระศอเมื่อทอดพระเนตรพระมารดาทำท่ากระเง้ากระงอดเช่นนั้น “กระหม่อมแกล้งกระเซ้าเท่านั้นเอง ไม่ได้ล่วงรู้ไปทุกเรื่องหรอกพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าทรงมาที่ตำหนักวันนี้เป็นเรื่องอื่น” รับสั่งถามกลับไปด้วยความใคร่รู้ เหยี่ยนฮองเฮาแย้มพระสรวลออกมาบางๆ พระนางทอดพระเนตรโอรสองค์โปรดอยู่เพียงครู่ พร้อมมีรับสั่งขึ้น “ลูกของแม่ปีนี้มีอายุเข้าปีทียี่สิบเอ็ดแล้วและกำลังก้าวเข้าปีที่ยี่สิบสอง นับวันอายุก็มากยิ่งขึ้นไปทุกที เหตุใดหนอลูกรักของแม่จึงมิยอมมีพระชายาเพื่อสืบสายพระโลหิตของตระกูลฉินอีกเล่า เจ้าพึงพอใจหญิงงามจากแคว้นใดอยู่รึ บอกแม่เถิด ขอเพียงล่วงรู้ออกจากปากของเจ้า แม่จะส่งทูตไปเจรจาเพื่อสู่ขอนางให้มาเป็นพระชายาของเจ้าทันที” รับสั่งของเหยี่ยนฮองเฮาทำให้องค์ชายรองทรงดีพระทัยอย่างยิ่งยวด หากแต่เพียงครู่สีพระพักตร์กลับต้องสลดลงทันใดจนพระมารดาสังเกตได้อย่างชัดเจน “ดูรึทำท่าเหมือนดีใจอยู่เมื่อครู่ แต่ตอนนี้กลับมีสีหน้าเป็นทุกข์อีกแล้ว อาการแบบนี้เหมือนคนไม่สมหวังในรักอย่างไรก็อย่างนั้นเลยนะ” เหยี่ยนฮองเฮารับสั่งออกไป พระพักตร์หล่อเข้มก้มขึ้นลงติดๆ กัน เป็นการยอมรับในสิ่งที่พระมารดารับสั่งทุกประการ “ลูกมีหญิงในหัวใจแต่ไม่รู้ว่าจะมีวาสนาได้ครองคู่กับนางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่” รับสั่งขององค์ชายรองทำให้เหยี่ยนฮองเฮาขมวดพระขนงเข้าหากันทันที “ถึงเพียงนั้นเชียวรึ! หญิงผู้นั้นอยู่ที่แคว้นใดกันเล่า มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่องค์ชายรองแห่งแค้วนฉินมิอาจได้นางมาเป็นพระชายาได้อย่างนั้นเลยรึ” รับสั่งถามด้วยความอยากรู้ “ลูกก็มิล่วงรู้ว่ามาจากแคว้นใด แต่นางอยู่ในความฝัน ความทรงจำและในหัวใจมาโดยตลอด” รับสั่งรำพึงถึงนางในดวงใจก่อนจะเปลี่ยนเรื่องทันที “อย่าใส่พระทัยเลย ว่าแต่เสด็จแม่มาถึงพระตำหนักมีเพียงเรื่องนี้เองเหรอพ่ะย่ะค่ะ” รับสั่งถามกลับไป เหยี่ยนฮองเฮาได้แต่ทรงยืนทอดพระเนตรโอรสองค์โปรด พระนางทรงครุ่นคิดอยู่ภายในพระทัยอยู่เพียงครู่พร้อมมีรับสั่งออกไปทันที “แม่ก็จะมาถามเจ้าเรื่ององค์หญิงเจ๋อฉีจากแคว้นหาน เจ้าคิดเห็นประการใดลูกแม่ ทางนั้นก็อยากรู้ว่าแคว้นฉินของเรากับแคว้นหานจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันเมื่อไร” รับสั่งของพระมารดาทำให้องค์ชายรองถอนพระทัยออกมาเบาๆ “ลูกให้คำตอบเหมือนเดิมพ่ะย่ะค่ะ ยังไม่ต้องการหญิงใดเป็นชายา เสด็จแม่ให้คำตอบไปเถิด หรือจะรับนางไปเป็นพระชายาของเสด็จพี่ก็ได้ ทางแคว้นหานจะได้ไม่ต้องรอฟังคำตอบอีกต่อไป” องค์ชายฉินเสวี้ยนกงรับสั่งตัดบทออกไปทันที “หากเป็นเช่นนั้นก็ดีน่ะสิ แต่องค์หญิงเจ๋อฉีมิยอมอภิเษกกับผู้ใดเช่นกัน หากคู่อภิเษกไม่ใช่เจ้านะลูกแม่ ดูก็รู้ว่านางหลงรักเจ้าตั้งแต่มีโอกาสได้พบกันในงานฉลองของเจ็ดแคว้น แม่เองก็พึงพอใจนางเช่นกัน จะไม่ลองไตร่ตรองดูอีกรึ” เหยี่ยนฮองเฮาพยายามเกลี้ยกล่อมพระโอรสให้พระทัยอ่อน พระเศียรขององค์ชายรองส่ายไปมาเป็นการปฏิเสธโดยมิต้องเสียเวลาครุ่นคิดแต่อย่างใด “อย่าให้นางเสียเวลารอเลยพ่ะย่ะค่ะ ลูกมิได้รักนางแม้แต่น้อย คิดเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น ไม่เคยคิดที่จะครองคู่ด้วยเลย หญิงเดียวที่ลูกต้องการให้เป็นพระชายา นางอยู่ในหัวใจของลูกอยู่ในขณะนี้ และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป หากแม้นชาตินี้เทพจันทราทรงไม่ให้มีวาสนาครองคู่กับนาง ลูกก็จะขออยู่โดยไม่มีพระชายาเช่นนี้ตราบชั่วชีวิตพ่ะย่ะค่ะ” “หา! เจ้าคิดเยี่ยงนั้นจริงๆ เหรอ” เหยี่ยนฮองเฮารับสั่งถามย้ำไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ “ลูกกล่าวสิ่งใดแล้วไม่เคยคืนคำ เสด็จแม่ก็ทรงล่วงรู้ดี” องค์ชายหนุ่มรูปงามกราบทูลกลับไป ก่อนจะหันกลับไปทอดพระเนตรทางหน้าประตูเมื่อขันทีคนสนิทของฉินอ๋องปรากฏกายขึ้น “กราบทูลองค์ชาย ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าที่พระตำหนักทรงงานพ่ะย่ะค่ะ” พระพักตร์หล่อเหลาพยักขึ้นลงเป็นสัญญาณของการรับรู้ “ข้ากำลังคุยกับเสด็จแม่ บอกพระบิดาว่าอีกสักเพียงครู่จะไปเข้าเฝ้า” “พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนดังกล่าวรับคำสั่งพร้อมล่าถอยกลับไป พร้อมสุรเสียงของเหยี่ยนฮองเฮาดังแทรกขึ้น “เสด็จพ่อคงมีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษากับเจ้า ถ้าเช่นนั้นแม่ก็จะกลับตำหนักแล้วละ เอาเป็นว่าคู่หมายที่แม่หมายตาเอาไว้ให้เจ้าอย่าเพิ่งปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยเลยนะ แม่จะรักษามิตรภาพอันดีของแคว้นทั้งสองไปก่อน เผื่อบางทีเจ้าจะเปลี่ยนความคิดที่จะมีชายาดั่งเช่นบุรุษอื่นพึงมี อะไรกันบุรุษอื่นมีคู่ตั้งแต่เยาว์แต่เจ้าสิจนป่านนี้หามีไม่” เหยี่ยนฮองเฮารับสั่งพลางส่ายพระเศียรไปมาด้วยรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ ไม่ว่าจะรับสั่งสิ่งใดโอรสองค์โปรดก็ยังคงยืนกรานไม่ยอมอภิเษกกับหญิงใดอยู่เช่นเดิม ก่อนจะค่อยๆ เสด็จออกจากพระตำหนักจันทรากลับไปยังตำหนักของพระนางโดยมีสายพระเนตรขององค์ชายรองทอดพระเนตรตามหลัง ภายในพระตำหนักจันทราในขณะนี้ ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง เมื่อเหยี่ยนฮองเฮาเสด็จกลับไป พระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายฉินเสวี้ยนกงทรงยืนทอดพระเนตรสายลมที่กำลังพัดพากลิ่นหอมของดอกโบตั๋นและเสียงกระดิ่งลมกระทบเข้าหากันด้วยสายพระเนตรที่มีแต่ความหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด “องค์ชาย” เสียงของเฮ่าหรานขันทีคนสนิทเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้วยรู้สึกเป็นทุกข์กับพระอาการที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ “เจ้าจะถามอะไรข้าอีกอย่างนั้นรึ” รับสั่งถามออกไป ขันทีผู้ซื่อสัตย์ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เมื่อองค์ชายของตนรับสั่งถามอย่างรู้เท่าทัน “กระหม่อมแค่อยากจะบอกว่า อย่าทรงตรอมพระทัยเช่นนี้อีกเลย มีรับสั่งให้สายข่าวที่แทรกซึมอยู่ทุกแคว้นออกค้นหานางในพระทัยขององค์ชาย ว่าพำนักอยู่ที่แคว้นใดจนกว่าจะพบดีกว่าไหมพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนซื่อออกความคิดเห็นด้วยความหวังดี “ไม่มีประโยชน์หรอกเฮ่าหราน” รับสั่งตอบกลับไปสั้นๆ “ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ บางทีหากค้นหาทั่วทุกแคว้นสักวันจะต้องได้พบนางเป็นแน่แท้” พระพักตร์หันกลับไปทอดพระเนตรขันทีคนสนิทพร้อมแย้มพระสรวลบางๆ พระเนตรคู่สวยยังคงหมองหม่นอยู่เช่นเดิม “ข้ามีคำสั่งให้สายข่าวออกค้นหานางไปทั่วทุกแคว้น นับตั้งแต่ที่พระบิดาทรงมอบกองทัพให้ข้าดูแลแปดปีแล้วที่เพียรตามหานางแต่ก็ไม่มีวี่แวว ได้แต่ฝันเห็นจนถึงขณะนี้สิบสองปีเข้าไปแล้ว เป็นสิบสองปีที่ข้ารอคอยทนทรมานหัวใจจนมิอาจเอื้อนเอ่ยกับผู้ใดได้” รับสั่งเพียงเท่านั้นพระพักตร์หันกลับไปทอดพระเนตรดอกโบตั๋นและกระดิ่งลมที่กำลังส่งเสียงก้องกังวานเช่นเดิม “คิดถึงเจ้าเหลือเกิน เจ้าจะรู้บ้างไหมว่าข้าคิดถึงและโหยหามากเพียงใด ชิงเชียงจ๋า ชิงเชียงของข้า” รับสั่งรำพึงกับสายลมที่พาดผ่านไปมาอยู่ในขณะนั้น ราวกับว่าทรงต้องการฝากความรักและความคิดถึงที่นับวันยิ่งทวีมากขึ้นไปกับสายลม หวังให้นางได้ยินว่าทรงโหยหาและคิดถึงเจ้าอย่างยิ่งยวด“ไม่เลยยายหนู มีน้อยมากแต่หนึ่งในนั้นมีตระกูลฟ่าน ของเราที่ยังคงเก็บรักษาของโบราณที่ตกทอดกันมาแต่ครั้งอดีต ในบ้านนี้มีของล้ำค่านับหลายพันปีของตระกูลเก็บรักษาเอาไว้ ตั้งแต่ยุคก่อนแผ่นดินจิ๋นซีฮ่องเต้เสียอีก เพราะตระกูลฟ่านของเราในสมัยอดีตกาลเคยเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นฟ่านก่อนจะถูกแคว้นเว่ย ฉี และฉิน ตีเอาแคว้นและแบ่งดินแดนถือครอง” “โอ้โห! นี่ตระกูลของคุณพ่อมีประวัติยาวนานขนาดนั้นเลยเหรอคะ” คนงามกล่าวออกมาด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่กำลังได้ยิน ก่อนจะรีบเอ่ยถามกลับไปเมื่อนึกถึงโปรเจกต์งานของเธอ “เอ่อคุณพ่อคะ แล้วศิลปะการสร้างสมัยนั้นเป็นแบบไหน อย่างเช่นหน้าตาพระราชวังของจิ๋นซีฮ่องเต้หรือพระราชวังโบราณในอดีต มีการเก็บรักษาหลงเหลือเอาไว้ไหมคะ” แม่สาวน้อยถามยาวรวดเดียวด้วยความอยากรู้ ก่อนจะได้ยินเสียงของคนเป็นพ่อตอบกลับมา “ไม่มีหรอกยายหนู ถ้าศิลปะโบราณอื่นๆ ก็เข้าไปดูได้ตามมิวเซียม สำหรับซีอานก็ที่สุสานของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่ถ้าเป็นพระราชวังโบราณแล้วละก็ไม่มีหลงเหลืออยู่เลย นอกจากพระราชวังต้องห้ามที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ก็เป็นศิลปะที่พบเห็นได้ในปัจจุบันนี้ แตกต่างจากศิลปะสมัยก่อนจิ๋นซ
ประเทศจีน มณฑลส่านซี ณ เมืองซีอาน ท่าอากาศยานนานาชาติซีอานเสียนหยาง [1] ร่างงามระหงของริณรณีย์หรือฟ่านชิงเชียง กำลังก้าวเดินออกมาจากบริเวณประตูผู้โดยสารขาออกจากสายการบินที่มาจากต่างประเทศ พร้อมด้วยกระเป๋าลากขนาดย่อม ดวงตาคู่สวยกำลังสอดส่ายสายตาคล้ายกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่ในขณะนั้น “ยายหนู!” เสียงที่คุ้นหูมาตั้งแต่เกิดเรียกเธอจากจุดที่ยืนอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก ใบหน้าสวยหันกลับไปยังทิศที่เสียงดังกล่าวเรียกหาเธอทันที พร้อมรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “คุณแม่!” หญิงสาวตะโกนร้องเรียกพร้อมวิ่งเข้าไปหาร่างอวบอิ่มที่กำลังยืนรอรับลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว แม่สาวน้อยโผเข้าสวมกอดคุณแม่ของเธอพร้อมหอมแก้มซ้ายขวาเป็นการใหญ่ “คิดถึงคุณแม่จังเลยค่ะ... คุณแม่ขา” คำหวานออดอ้อนออกมาทันที คุณวิลาสินียิ้มแก้มปริเมื่อลูกสาวสุดที่รักหยอดลูกอ้อนทันทีที่มาถึง “จ๋าลูก... รู้แล้วว่ายายหนูของแม่คิดถึง... แหมอะไรกัน คุยโทรศัพท์แทบจะทุกวันยังจะบ่นคิดถึงกันอยู่อีกเหรอ” “ก็ริณคิดถึงนี่คะ... คิดถึง... คิดถึง... ทุกวันทุกคืนเลย” หญิงสาวพร่ำบอกคิดถึงมารดาไม่ขาดปาก ทันใดนั้นเอง “คิดถึง! ข้าคิดถ
ในขณะเดียวกัน ยุคอดีตกาล พระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายรองฉินเสวี้ยนกงแห่งแคว้นฉิน ทรงยืนทอดพระเนตรดอกโบตั๋นหลากสีมากมายภายในพระตำหนักจันทรา ด้วยพระอารมณ์ที่แลดูแจ่มใสเป็นพิเศษ พระพักตร์คมคายหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มเยือนอยู่ตลอดเวลาเมื่อทรงหวนคิดคำนึงถึงความฝันเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา กลิ่นหอมละมุนจากแก้มเนื้อนวลยังติดอยู่ที่ปลายพระนาสิกอยู่ตลอด เวลา พระเนตรคู่สวยเปล่งประกายระยิบระยับอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะปิดพระเนตรลงด้วยความคิดถึงโฉมงามในหัวใจ “ชิงเชียงจ๋า” สุรเสียงรำพึงออกมาเบาๆ พระอารมณ์ที่แลดูแจ่มใสและพระพักตร์หล่อเหลาที่ปรากฏรอยแย้มสรวลอยู่ตลอดเวลานั้น ทำให้เฮ่าหรานขันทีผู้ใกล้ชิดซึ่งคอยถวายการรับใช้มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ อดไม่ได้ที่จะทูลถามเมื่อสังเกตเห็นองค์ชายรองของตนที่วันนี้ทรงมีสีพระพักตร์แจ่มใสเป็นยิ่งนักผิดกับทุกวันที่ผ่านมา “วันนี้องค์ชายทรงแลดูพระเกษมสำราญ ผิดกับทุกๆ วันเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” คำกราบทูลของขันทีคนสนิท ทำให้พระเนตรที่ปิดลงเมื่อครู่ที่ผ่านมาค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ พระเนตรคู่สวยยังคงเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ตลอดเวลา “เจ้าสังเกตข้าด้วยอย่างนั้นเหรอ” รับสั่งถามโดยมิได้ห
หกเดือนผ่านไป ร่างระหงกำลังหลับสนิทท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีและอากาศอันหนาวเหน็บ ด้วยภายนอกปรากฏหิมะตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทั่วบริเวณมีแต่สีขาวโพลนดาษดื่นเต็มไปหมด ภายในห้องนอนมีเครื่องทำความร้อนเพื่อเพิ่มไออุ่นผ่อนคลายความหนาวเหน็บลงไปได้มากเลยทีเดียว จึงทำให้สาวสวยคนงามหลับสนิทอย่างมีความสุข และเธอกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน ในฝันนั้นร่างระหงกำลังก้าวเดินอยู่ในท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้หลากสี กลิ่นหอมโรยรื่นส่งกลิ่นรัญจวนอยู่ตลอดเวลา มือเรียวสวยสัมผัสดอกตูมของดอกไม้งามตรงหน้าด้วยความชื่นชม “หอมจัง!” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ “กลิ่นหอมของดอกไม้ใด ก็ไม่หอมเท่ากลิ่นกายของเจ้าแม้แต่น้อยชิงเชียง” เสียงทุ้มกังวานแทรกดังขึ้น ใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ กาย ทว่ากลับมิปรากฏผู้ใดแม้แต่น้อย คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีเมื่อมองหาเท่าไรก็ไม่พบต้นตอของเสียง “แปลกจังเลย... ได้ยินแต่เสียงแต่ทำไมไม่เห็นตัวคนนะ” เสียงหวานเอ่ยพึมพำ ร่างระหงก้าวเดินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดยืนตรงหน้าประตูขนาดใหญ่ ศิลปะการออกแบบอยู่ในยุคสมัยโบราณแลดูเหมือนที่พักอาศัยที่มักเห็นในหนังและตามซีรีส์จีนที่เคยดูผ่านทางทีวี
คริสต์ศักราช 2015ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ “กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!” เสียงกระดิ่งลมพัดพลิ้วต้องกับกระแสลมแรง พร้อมกลิ่นหอมรัญจวนจิตของหมู่มวลดอกไม้หอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางดอกไม้หลากสี รูปร่างแลให้ชวนมองน่าหลงใหล มองเลยไปปรากฏประตูที่มีลวดลายสะท้อนอารยธรรมของชนชาติจีน ทว่าสถาปัตย-กรรมดังกล่าวกลับมิใช่สมัยใหม่แต่แลดูคล้ายสมัยโบราณเสียนี่กระไร ประตูตรงหน้าปิดสนิทถูกฉาบด้วยสีแดง พร้อมแผ่นป้ายชื่อขนาดใหญ่วางตั้งเหนือไว้บนขอบประตูเบื้องบน เขียนด้วยตัวอักษรจีนโบราณระบุว่า เฉี่ยนเก้อลากุง แปลว่า “ตำหนักจันทรา” “ชิงเชียง! ชิงเชียงจ๋า” เสียงทุ้มละมุนกระซิบแผ่วเพรียกหาเจ้าของนามดังกล่าว ใบหน้าละมุนสวยคมเซ็กซี่รับกับผมสีดำขลับขึ้นเป็นมันเงางดงามประดุจดั่งเช่นชาวเอเชียหากแต่มีเลือดผสมสองชาติคือไทยและจีน ดวงหน้าเริ่มส่ายไปมาเมื่อได้ยินเสียงเพรียกหานั้นราวกับว่าเสียงดังกล่าวอยู่แนบชิดริมหูของเธอก็ว่าได้ “จ๋า!” เสียงหวานตอบเสียงเพรียกหาปริศนานั้นกลับไปทั้งๆ ที่กำลังหลับสนิท “ชิงเชียงจ๋า มาหาข้าเถิด ข้ารอคอยเจ้ามานานแสนนานแล้วรู้หรือไม่” เสียงเพรียกหานั้นยังคงกล่าวกับเธอ
แคว้นฉิน ณ เมืองหลวงเสียนหยาง ตำหนักเฉี่ยนเก้อลากุง (ตำหนักจันทรา) ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ภายในพระราชวังหลวงกำลังอยู่ในระหว่างเปลี่ยนเวรยาม ทหารรักษาการณ์ผลัดใหม่ต่างเริ่มทยอยมาสับเปลี่ยนเวรยามเพื่อคอยถวายอารักขา เจ้าผู้ครองแคว้นและเชื้อพระวงศ์ซึ่งประทับอยู่ภายในพระราชวังหลวงเมืองเสียนหยาง ทหารยามต่างทยอยแยกย้ายไปตามแต่ละตำหนักทั้งด้านนอกและด้านใน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกโบตั๋นหลากสีส่งกลิ่นรัญจวนฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณตำหนักเฉี่ยนเก้อลากุงหรือตำหนักจันทรา ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ชายรอง พระนาม ฉินเสวี้ยนกง โอรสองค์ที่สองของฉินมู่กงซึ่งประสูติจากเหยี่ยนฮองเฮา ในยามนี้ทั่วพระตำหนักเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกโบตั๋นกำลังส่งกลิ่นขจรกระจายไปทั่วบริเวณ ประตูพระตำหนักปิดสนิทด้วยเวลานี้คือยามวิกาล ภายในห้องพระบรรทม องค์ชายรองซึ่งมีพระชันษาก้าวเข้าสู่ปีที่ยี่สิบ กำลังบรรทมอยู่ภายในตำหนักดังกล่าว “กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!” กระแสลมอ่อนๆ พัดพลิ้วไหวไปมาจนเหล่าดอกโบตั๋นเอนไหวลู่ลม และเสียงกระดิ่งลมที่ทำมาจากดินเผาถูกแขวนไว้ตรงหน้าพระตำหนักเพื่อใช้สังเกตทิศทางลมดังก้องกังวานอยู่เป็น