“เย็นนี้เจ้าอยากกินอะไรหรือไม่ เเม่จะทำให้เจ้าเอง” เหวยผิงหันมาถามอี้เหวิน เพราะนางกำลังจะพาอี้เหวินไปซื้ออาหารตุนไว้
“อะไรก็ได้ขอรับ ท่านแม่ทำอะไรก็อร่อย”
“หืม…ลูกใครเนี่ย ช่างปากหวานเสียจริง” เหวยผิงก้มหอมแก้มอี้เหวินด้วยความหมั่นเขี้ยว
เหวยผิงพาอี้เหวินมาตรงพวกขายของกิน เนื่องจากเป็นเวลาช่วงเช้าๆ ทำให้มีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมาก
“เนื้อหมู เนื้อหมูสด พึ่งฆ่าเลย มาเลือกซื้อกันได้เลย” เสียงแม่ค้าส่งเสียงเรียกผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมา
“ขายอย่างไรเจ้าค่ะ” เหวยผิงพาอี้เหวินเดินเข้าไปร้านขายหมูที่ดูใหญ่ที่สุด
“เนื้อล้วนชั่งละสามร้อยอีแปะ เนื้อติดมันชั่งละสองร้อยห้าสิบอีแปะ ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการแบบไหน”
“ข้าเอาเนื้อติดมันสองชั่ง ข้าอยากจะรู้ว่ามีส่วนที่เป็นมันล้วนหรือไม่” เหวยผิงเอ่ยถามแม่ค้าดู เพราะนางไม่มั่นใจว่าคนที่นี่จะกินล้วนหรือไม่
“มันล้วนหรือ แม่นางจะเอามันไปทำอะไร มันไม่อร่อยเลย” แม่ค้ามองเหวยผิงด้วยความแปลกใจ เหวยผิงเป็นคนแรกที่มาถามหามันล้วน
“ข้ามีวิธีของข้าเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านมีหรือไม่เจ้าค่ะ”
“มี ข้ามีเยอะเลย คนส่วนมากไม่ค่อยซื้อมันทำให้ข้าต้องปาดมันทิ้งทุกวัน ว่าแต่แม่นางต้องการเท่าไหร่”
“สี่ชั่งเจ้า” ตามจริงเหวยผิงก็อยากได้มากกว่านี้ แต่ติดที่ว่านางนั่งเกวียนคนอื่นมากลัวซื้อไปเยอะแล้วจะมีพวกปากมากคอยถากถางนาง
“ได้…ห้าร้อยอีแปะ ส่วนมันพวกนี้ข้าไม่คิดเงิน คราวหน้าหากเจ้าใจดีก็บอกข้าก็ได้ว่ามันพวกนี้จะทำอันใดได้”
“เจ้าค่ะ คราวหน้าข้าจะเอามาให้ลองกิน” เหวยผิงกล่าวพลางรับเนื้อหมูมาจากแม่ค้า
หลังจากซื้อหมูแล้วเหวยผิงก็ตรงไปร้านขายผัก ก็พบว่ามีคนมาร้านขายผักน้อยมาก คาดว่าน่าจะพึ่งพ้นฤดูหนาวคงมีแต่ส่วนที่ปลูกเก็บไว้ จากที่ดูผ่านๆ สภาพผักไม่ค่อยน่ากินสักเท่าไหร่ และดูเหมือนว่าราคาจะแพงมากกว่าปกติ
นางจึงเดินเลี่ยงออกไป แล้วมุ่งตรงไปร้านขายข้าว
“เถ้าแก่ ข้าวพวกนี้ขายอย่างไรเจ้าค่ะ” เหวยผิงชี้ไปที่ข้าวตั้งรวมกันหลายกระสอบ
“ข้าวหยาบชั่งละสามสิบอีแปะ ข้าวขาวชั่งละแปดสิบอีแปะ”
“ข้าเอาข้าวขาวสี่ชั่ง น้ำตาลสี่จิน แล้วก็แป้งขาวสามจินเจ้าค่ะ” เหตุที่เหวยผิงเลือกข้าวขาวเพราะข้าวหยาบแข็งเกินไปแค่นั้นแหละ
เหวยผิงยืนรอเถ้าแก่จัดเตรียมของให้ นางก็เดินดูของในร้านก็พบเป็นวัตถุดิบทั่วไป และราคาค่อนข้างถูกนางเห็นชาวบ้านหลายคนมาซื้อ
“ทั้งหมดแปดร้อยเก้าสิบห้าอีแปะ”
น้ำตาลและเกลือในยุคนี้เป็นสิ่งหายาก ทำให้มีราคาที่แพงแต่เหวยผิงก็ต้องจำใจซื้อมา
เหวยผิงรับของมาแล้วก็จ่ายเงินให้กับเถ้าแก่ นางคิดในหัวสิ่งที่ต้องซื้อก็ซื้อครบหมดแล้ว ดูเวลาก็เหลือประมาณอีกสองเค่อเห็นจะได้
“เจ้าอยากได้ไปไหนหรือไม่” เหวยผิงหันมาถามอี้เหวิน ยังพอมีเวลาเหลืออยู่หากอี้เหวินจะอยากไปไหนนางจะได้พาไป
“ไม่ขอรับ ท่านแม่ไปไหนข้าก็ไปกับท่าน” อี้เหวินส่ายหัวไปมา เขาเองก็เข้ามาในตัวอำเภอครั้งแรกกับท่านแม่ทำให้ไม่รู้จะไปที่ไหนดี ในตลาดท่านแม่ก็พาเดินดูหมดแล้ว
“งั้นเราก็กลับไปที่เกวียนกันเถิด เดินจากตรงนี้ไปถึงเกวียนน่าจะได้เวลาพอดี” เหวยผิงพาอี้เหวินเดินหวนกลับมาทางเดิม นี่ก็ใกล้ยามอู่ผู้คนมาเดินตลาดน้อยลง ทำให้สองแม่ลูกเดินได้อย่างสบายใจ
จนมาถึงที่เกวียนก็พบว่าทุกคนมารอครบแล้ว เป็นสองแม่ลูกนั้นเองที่มาเป็นคนสุดท้าย
“ซื้อของขนาดนี้เอาเงินที่ไหนไปซื้อ หรือว่าไปถอดกายให้กับเจ้าของร้านเสียล่ะ” ยังไม่ทันที่เหวยผิงจะขึ้นเกวียนฟางซินก็เอ่ยถากถางด้วยความอิจฉา ที่เห็นบนตัวสองแม่ลูกมีเสื้อผ้าตัวใหม่ซึ่งดูเหมือนจะมีราคามากๆ อีกทั้งของเต็มไม้เต็มมือนั้นอีก นางเห็นเนื้อหมูด้วยดูท่าจะแพงไม่น้อย
“ท่านสติไม่ดีหรือ ข้าซื้อของพวกนี้ได้หมายความว่าข้ามีเงิน แล้วอย่าเอาความคิดต่ำตมแบบนั้นมาแปดเปื้อนข้า” เหวยผิงชักจะรำคาญฟางซินเสียแล้ว เป็นอันใดกับนางมากนัก
“ถ้าไม่ใช่แล้วเจ้าจะเอาเงินมาจากไหนซื้อของมาเยอะแยะขนาดนี้” ฟางซินก็ยังไม่ยอมแพ้
“……” เหวยผิงเลือกที่จะเงียบ นางเริ่มจะรำคาญเสียแล้ว หากคราวหน้าเจออีกนางจะเดินหนีเสีย
“เงียบทำไม หรือข้าพูดถูก หญิงหม้ายอย่างเจ้าก็คงมีดีแค่นี้แหละ” ฟางซินแสยะยิ้มอย่างชนะ
“ครบกันแล้ว ก็ออกเดินทาง” ไป๋ซานที่เดินกลับมาที่เกวียนก็เห็นว่าคนครบแล้วจึงออกเกวียน โดยไม่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่
ตลอดทางทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบไม่มีใครพูดคุยกัน มีเพียงเสียงล้อเกวียนที่ดัง จวบจนถึงหมู่บ้านเหวยผิงก็พาอี้เหวินตรงกลับบ้านทันที ดีไม่น้อยที่บ้านนางอยู่ห่างจากหมู่บ้าน
พอถึงบ้านนางก็ตรงเข้าไปในครัวจัดของที่ซื้อมาให้เข้าที่ ส่วนอี้เหวินเองก็ถือเสื้อและรองเท้าคู่ใหม่เข้าห้องไปที่เรียบร้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น…
เหวยผิงตื่นแต่เช้าตรู่เตรียมตัวไปเก็บหยางเหมย เพราะเมื่อตอนที่นางไปจับปลานางเห็นต้นหยางเหมยออกผลแล้ว คาดว่าตอนนี้น่าจะมีบางส่วนที่สุกแล้ว
นางสะพายตะกร้าขึ้นหลัง ครั้งนี้เหวยผิงพาอี้เหวินไปด้วยเนื่องจากไม่ไกลบ้านมากนัก
“คนเยอะมากๆ ท่านแม่ซื้อถังหูลู่ให้ข้าด้วย” เสียงของอี้เหวินพูดคุยกับเฟยฮวาด้วยความสนุกสนาน ตัวเฟยฮวาก็เป็นผู้ฟังที่ดี
“อร่อยเหมือนน้ำผึ้งหรือไม่”
“อร่อย น้ำผึ้งก็อร่อย ถังหูลู่ที่ท่านแม่ซื้อให้อร่อย” อี้เหวินผู้ที่ไม่รู้ว่ามันอร่อยเหมือนน้ำผึ้งเป็นอย่างไร จึงตอบว่าอร่อยทั้งสองอย่าง
“ครั้งหน้าข้าจะไปด้วย ข้าอยากของกินที่เรียกว่าถังหูลู่”
“ได้เลย ครั้งหน้าเฟยฮวาต้องขอท่านแม่ไปด้วย” เสียงของอี้เหวินดังเจื้อยแจ้วตลอดทางจนมาถึงลำธาร
“พวกเรามาเก็บอะไรหรือขอรับ” อี้เหวินเอ่ยถาม
“นั้นไงเจ้าเห็นต้นไม้ตรงนั้นหรือไม่ นั้นหยางเหมย เจ้าต้องเก็บผลที่เป็นสีนี้เท่านั้น ส่วนลูกที่เป็นสีเขียวๆยังไม่สุกต้องรออีกสองสามวันถึงจะเก็บได้” เหวยผิงสาธิตการเก็บลูกหยางเหมย (เบย์เบอร์รีจีน) ให้อี้เหวินดู
“มันกินได้หรือไหมขอรับ” มือน้อยๆ ของอี้เหวินเด็ดลูกหยางเหมยลงมาดู สีแดงเข้มดูน่ากลัวอย่างไรไม่รู้
“กินได้สิ อร่อยมากด้วย มันจะออกเปรี้ยวๆ หวานๆ เจ้าลองกินดู” เหวยผิงนำหยางผิงไปล้างน้ำแล้วยืนใส่ปากอี้เหวิน
“……” ปากเล็กกัดลงไปที่ผลหยางเหมย น้ำหวานทะลักเข้าปากมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย เมื่อเคี่ยวๆ รวมกันช่างอร่อยมากๆ
“เป็นอย่างไร” เหวยผิงเอ่ยถามเมื่อเห็นอี้เหวินตาโต
“อร่อยขอรับท่านแม่ มันหวานๆ เปรี้ยวเล็กน้อย ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันกินได้” อี้เหวินหยิบส่วนที่เหลือเข้าปากทันที
“อร่อยก็กินอีก” เหวยผิงกล่าว ก่อนจะหันมาเริ่มเก็บผลหยางเหมย ส่วนอี้เหวินนางไม่ได้เคร่งว่าจะเก็บช่วยนางขนาดนั้น นางแค่ไม่อยากให้อี้เหวินต้องอยู่บ้านคนเดียว
ซึ่งดูจากเมล็ดที่ร่วงอยู่ใต้ต้น นางคาดว่าน่าจะมีชาวบ้านมีเก็บมันไปกินบ้าง
ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามผลหยางเหมยที่เต็มต้น ถูกสองแม่ลูกเก็บไปจนหมด
“เหนื่อยหรือไม่” เหวยผิงใช้ชายเสื้อซับเหงื่อที่หน้าผากของอี้เหวินด้วยความเอ็นดู นางไม่คิดว่าอี้เหวินจะช่วยนางเก็บจนหมดต้นขนาดนี้
“ไม่ขอรับ ออกจะสนุกด้วยซ้ำ” อี้เหวินเอ่ยพลางส่งยิ้มให้เหวยผิง ก่อนจะหันไปดูผลหยางเหมยที่เต็มตะกร้า
เหวยผิงเองก็มองไปตามอี้เหวิน หยางเหมยที่พวกนางเก็บมาคาดว่าประมาณเกือบสามสิบจินเห็นจะได้เมื่อนั่งพักเรียบร้อยทั้งสองจึงมุ่งตรงกลับบ้าน
เช้าวันรุ่งขึ้น…ในตำหนักของหนิงเซียนต่างวุ่นวายตามหาหมอหลวงอย่างเร่งรีบ เมื่อพบว่าหนิงเซียนโดนทำลายร้ายตอนนี้ทั้งวังหลวงต่างอยู่ในความตื่นตระหนก เหตุใดเมื่อคืนถึงบังอาจมีผู้ลักลอบเข้ามาทำลายว่าที่ฮองเฮาได้“ฝ่าบาทหมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ” เข่อซิงวิ่งมาพร้อมกับหมอหลวง เข้ามาในห้องของที่มีร่างของหนิงเซียนนอนเจ็บอยู่ที่แขนของนางนั้นยังมีเลือดซึมอยู่ตลอดหมอหลวงเข้ามาแล้วก็รีบจัดการกับแผลของหนิงเซียน “ฝ่าบาทพระองค์โปรดออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าต้องใช้สมาธิอย่างมากในการรักษาคุณหนูหนิงเซียน” หมอหลวงหันมาบอกจางหมิงที่ยังยืนอยู่ในห้องดู“ข้า…” ทีแรกจางหมิงมีท่าทียึกยัก แต่พอคิดว่าจะต้องรีบรักษาหนิงเซียนให้เร็วที่สุดจึงตัดสินใจออกจากห้องไปพอหมองหลวงเห็นว่าฝ่าบาทออกไปแล้วก็หันมารักษาให้กับหนิงเซียน หยิบยาขึ้นมาก่อนจะป้อนให้กับหนิงเซียน ดวงตาที่หลับอยู่ของหนิงเซียนเปิดขึ้นทันทีคว้ายาในมือของหมอหลวงก่อนจะป้อนใส่ปากของหมอหลวงอย่างรวดเร็วนางตวัดร่างขึ้นก่อนจะล็อกร่างของหมอหลวงไว้ให้กลืนยาเม็ดนั้นลงไป ด้วยความที่ร่างหมอหลวงบอบบางเกือบเท่านางทำให้หมอหลวงไม่สามารถขัดขืนได้เลยทำใจต้องกลืนยาเม็ดนั้นลงไป“เจ
“เจ้าหัวเราะอันใด” ซูเม่ยมองไปที่หนิงเซียนอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดมันจึงไม่เป็นไปตามที่นางคาดไว้“ข้าแค่เพียงชื่นชมในบทละครที่คุณหนูซูเม่ยตั้งใจเล่นเป็นอย่างมาก แต่เพียงคุณหนูบทของท่านกลับไม่เป็นจริงสักเรื่อง”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”“ท่านยังต้องถามข้าอีกหรือ ข้าอยากจะรู้นักว่าคนที่ไปสืบเรื่องนี้มาเหตุใดจึงสืบมาได้เพียงแค่นี้ เรื่องราวที่เหตุขึ้นที่ซีฉินออกจะใหญ่โต งั้นตัวข้าหนิงเซียนจะเล่าให้ทุกคนฟังในเรื่องที่ถูกต้อง จะได้เล่าเรื่องของตระกูลข้าได้อย่างตรงไปตรงมาไม่บิดเบือน” หนิงเซียนไล่สายตาไปหาผู้คนในงานนี้ ผู้ที่เผลอสบสายตากับนางก็รีบหลบสายตาหนีทันที“เรื่องที่ตระกูลหม่าของข้าถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏนั้นเป็นความจริง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ตระกูลข้าถูกใส่ร้ายเท่านั้น พวกบ้าหลงระเริงอยู่ในอำนาจหวาดกลัวต่อตระกูลของข้าที่ย่อมสละเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดิน คุณหนูซูเม่ยต่อจากนี้ท่านจงตั้งใจฟังให้ดี… “หนิงเซียนจ้องเข้าไปในดวงตาของซูเม่ยที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก” ตัวข้ากองทัพทมิฬของท่านพ่อข้าและยังมีกองทัพหนันเหลียงร่วมจัดการโค่นบัลลังก์ตระกูลราชวงศ์องค์ก่อนนั้นคือสิ่งที่คุณหนูซูเม่ยขาดหายไป” หลังจาก
ภายในท้องพระโรง“ฝ่าบาทมีม้าเร็วจากซีฉินส่งสารมาว่าเหล่าคณะขุนนางของซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนหนันเหลียงในอีกห้าวันข้างหน้าขอรับ” สิ้นสุดเสียงของนางกองทำให้เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างถกเถียงกันกับการมาเยือนของคณะซีฉินในครั้งนี้ เพราะทั้งสองแคว้นนั้นก็นับว่าไม่ได้ปรองดองกันถึงขนาดที่ว่าจะไปมาหาสู่กันได้แต่ข้อถกเถียงก็ข้อถกเถียงเมื่อจางหมิงสั่งให้ขุนนางทุกคนเตรียมความพร้อมให้ดีในการมาเยือนของคณะซีฉินอีกห้าวันข้างหน้า“คุณหนูเจ้าคะ คณะจากซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนที่นี่ในอีกห้าวันข้างหน้า” เหมยฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“ท่านลุงจะมาที่นี่หรือ” หนิงเซียนแปลกใจเหตุใดนางถึงไม่รู้ข่าวเกี่ยวกับซีฮัน“ใช่เจ้าค่ะ ตอนนี้ฝ่าบาทสั่งให้เหล่าขุนนางเตรียมความพร้อมต่างๆ ท่านซ่งเสี่ยนเองก็เริ่มสั่งให้นางกำนัลเตรียมการสถานที่วังหลวงรอแล้วเจ้าค่ะ”หนิงเซียนพยักหน้าเข้าใจ นางก็อยากรู้ว่าที่ซีฮันมาเยือนหนันเหลียงครั้งนี้ด้วยเหตุอันใด “คงจะมีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกแล้ว”ห้าวันผ่านไปตลอดเวลาที่ซีฉินส่งมาแล้วมาว่าจะมาเยี่ยมเยือนให้อีกห้าวันข้างหน้า คนในวังหลวงต่างมีหน้าที่จัดเตรียมสถานที่ให้พร้อม และวันนี้เป็นวันที่คณะของ
“คุณหนูเกิดเรื่องใหญ่เข้าเจ้าค่ะ” เสียงของเข่อซิงดังมาตั้งแต่หน้าตำหนัก ทำให้หนิงเซียนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องยาต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น“เกิดอะไรขึ้นหรือเข่อซิง” ท่าทีของเข่อซิงดูร้อนรนไม่น้อย“ข่าวเกี่ยวกับท่านเจ้าค่ะ ตอนนี้ในเมืองต่างกล่าวถึงตัวท่านอย่างสนุกเลยเจ้าค่ะ เกี่ยวกับที่ตระกูลหม่าของท่านเป็นตระกูลแม่ทัพที่ก่อกบฏร้ายแรงสังหารชาวบ้านไม่เว้น แต่ดีที่ราชวงศ์ของตงหยางสั่งประหารได้ทัน พวกเขายังเล่นกันอีกกว่าเป็นท่านที่หนีรอดมาได้” เข่อซิงที่ออกไปซื้อของให้กับลี่หลิน นางจึงบังเอิญได้ยินเข้าหนิงเซียนได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปมากนัก” งั้นหรือเจ้าจะตกใจไม่ใย “ทำให้เข่อซิงสงสัยไม่น้อยตอนนี้ตระกูลของท่านกำลังถูกมองไม่ดีอยู่นะเจ้าคะ” แต่… “” มันไม่ใช่ความจริง เหตุใดข้าต้องเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องพวกนั้นด้วยล่ะ“เรื่องที่กล่าวมาไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น เหตุใดจึงไม่บอกไปด้วยละว่านางคนนี้ที่เป็นคนล้มราชวงศ์ซีฉินกับมือเอง” เจ้าค่ะ “เข่อซิงพยักหน้าตอบรับ ในเมื่อหนิงเซียนไม่ดูเดือดร้อนกับข่าวที่เกิดขึ้นเลยนางก็หาได้เดือดร้อนไม่“ขบวนองค์หญิงสามเสด็จ” เสียงของใครบางคนดัง
หนิงเซียนที่ได้ฟังเรื่องราวของก็รู้สึกสงสารจางหมิงไม่น้อย เป็นถึงเชื่อราชวงศ์ใช่ว่าจะสุขสบาย ต้องคอยระวังภัยกันเอง“แล้วฝ่าบาทจะตื่นจากบรรทมเมื่อใด”“หากไม่มีดอกไม้นั้นแล้ว กว่าพิษที่อยู่ในร่างกายของจางหมิงจะหายหมด ข้าคิดว่าอย่างต่ำสี่ถึงห้าวัน”ซ่งเสี่ยนพยักหน้าอย่างโล่งใจ คิดว่าจางหมิงจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้เสียอีกเมื่อจัดการตรงนี้เสร็จรีบร้อยนางจึงลาซ่งเสี่ยนกลับตำหนักวันนี้นางคิดที่จะไปเยี่ยมพวกเสี่ยวเปาเสียหน่อย นางเดินมาถึงทางออกเห็นว่ามู่เฉินยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้านิ่งเรียบ” มีอันใดหรือมู่เฉิน “” คุณหนูท่านจะกลับตำหนักแล้วหรือขอรับ “” ใช่ ว่าแต่เกิดอันใดขึ้น “” ตอนนี้เหล่าขุนนางต่างหมายจะเข้ามาเยี่ยมฝ่าบาทขอรับ “ตอนนี้มีเหล่าขุนนางประมาณหกเจ็ดคนยืนรออยู่หน้าตำหนักของจางหมิงเพื่อหวังจะเข้ามาดูอาการ” มีทางออกอื่นหรือไม่ “หนิงเซียนเองก็ไม่อยากปะทะขุนนางพวกนั้นในตอนนี้หรอกมู่เฉินได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้า ทางลับของตำหนักของฝ่าบาทย่อมมีอยู่แล้ว” ตามข้ามาขอรับ “หนิงเซียนเดินตามมู่เฉินออกไปทางลับที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของตำหนัก” ทางเดินไปทางนี้แล้วเลี้ยวซ้าย ท่านจะไปออกหลังน้ำตกใ
ทันทีที่นางเข้ามาในห้องบรรทมของจางหมิง สิ่งที่ทำให้นางขมวดคิ้วอย่างแรกก็คือกลิ่นของกำยานนางรู้สึกว่าในกลิ่นของกำยานนี้มีบางอย่างแอบแฝงอยู่ แต่นางปล่อยผ่านมองไปที่เตียงก็เห็นร่างอันคุ้นเคยนอนแน่นิ่งอยู่กับเตียง ผิวกายซีดขาวราวกับคนตายระหว่างนั้นนางก็ยืนรอเพราะตอนนี้กำลังมีหมอหลวงคอยตรวจอาการของจางหมิงอยู่“หมอหลวงอาการของฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่หมอหวังเหว่ยตรวจเสร็จแล้วก็เข้าไปถามหมอหลวงหันมาพบว่ามีหญิงสาวผู้หญิงยื่นจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเรียบนิ่งก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบหวังเหว่ย “อาการฝ่าบาทคล้ายคนปกติ ชีพจรเต้นมั่นคงดูเหมือนคนแข็งแรงทั่วไปแต่ที่ข้าสงสัยคือผิวที่ซีดราวกับคนตายของฝ่าบาท ข้าคงต้องขอไปปรึกษาหารือกลับหมอหลวงคนอื่นๆเสียก่อน ท่านองครักษ์หวังเหว่ยท่านโปรดวางใจ” หมองหลวงเอ่ยตอบพลางเหลือบตาไปมองหญิงสาวที่ยืมอยู่ในห้องนี้อีกคน“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก คุณหนูเชิญท่านตรวจดูอาการของฝ่าบาทได้เลย” หวังเหว่ยเอ่ยขอบคุณหมอก่อนจะหันมาบอกกับหนิงเซียน“ไม่ได้ ท่านหวังเหว่ยนางเป็นใครกล้าดีอย่างไรถึงให้นางมาจับตัวฝ่าบาทท่านไม่รู้หรือว่าตอนนี้ฝ่าบาทกำลังจะประชวรอยู่” หมอหลวง