คำพูดนั้นราวกับน้ำเย็นถังใหญ่ที่สาดใส่หน้าทุกคนจนชาไปทั้งตัว
ผู้ใหญ่บ้านสือไม่กล่าวอะไรอีก เขาหันหลังกลับและเดินจากไป ทิ้งให้เหล่าหนุ่มสาวผู้สูงศักดิ์จากเมืองใหญ่ยืนเผชิญหน้ากับชะตากรรมอันโหดร้ายของตนเอง
สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านช่องโหว่ของกระท่อมเข้ามา วูบหนึ่งราวกับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยในโชคชะตา เหล่ายุวชนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก บางคนเริ่มน้ำตาซึม บางคนก็ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง
และเมื่อร่างของผู้ใหญ่บ้านสือลับหายไป ความเงียบอันน่าอึดอัดก็เข้าปกคลุมบ้านยุวชนหลังใหม่แห่งนี้ชั่วครู่ ก่อนที่มันจะพังทลายลงด้วยเสียงโวยวายของเหล่าปัญญาชนผู้สิ้นหวัง
“สวรรค์! นี่มันที่ซุกหัวนอนของคนหรือนี่!”
“ดูฝุ่นนั่นสิ หนาเป็นนิ้ว ฉันจะนอนลงไปได้ยังไง”
ภายในกระท่อมดินขนาดใหญ่ มีเพียง¹เตียงดินที่ก่อขึ้นจากดินเหนียวเรียงรายอยู่หลายแท่น แต่ละแท่นมีสภาพแตกต่างกันไป บางแท่นอยู่มุมอับชื้น บางแท่นอยู่ใต้รอยรั่วบนหลังคาที่เห็นได้อย่างชัดเจน และมีเพียงไม่กี่แท่นที่ดูแห้งสนิทและอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด บริเวณที่ห่างจากประตูซึ่งมีลมโกรกและอยู่ลึกเข้าไปด้านใน
กฎของผู้แข็งแกร่งกว่าย่อมปรากฏผลในยามคับขัน กลุ่มหนุ่มสาวที่แข็งแรงและว่องไวกว่าต่างกรูกันเข้าไปจับจองพื้นที่ที่ดีที่สุดอย่างไม่รีรอ กลุ่มของชิงเหอก็เช่นกัน เธอและสหายอีกสองคนรีบพุ่งไปยึดครองเตียงดินที่ดูสะอาดและมั่นคงที่สุด พลางวางสัมภาระของตนลงแสดงความเป็นเจ้าของ
หลังจากที่ได้ที่นอนอันน่าพึงพอใจแล้ว ชิงเหอก็หันกลับมามองหลินเสวี่ยหรงที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กลางห้องด้วยสายตาหยามเหยียด เมื่อเห็นโอกาสที่จะได้เอาคืนความอัปยศบนรถไฟแล้ว
“โอ๊ย ดูสิ! ยังมีที่ว่างตรงมุมนั้นอีกที่หนึ่ง” ชิงเหอแสร้งร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงดัดจริต พลางชี้ไปยังเตียงดินที่อยู่มุมในสุด ติดกับผนังที่มีรอยแตกและคราบน้ำซึมเป็นทางยาว “ช่างเป็นทำเลทองเสียนี่กระไร”
สหายของเธอรีบกล่าวเสริมอย่างรู้งาน
“เหมาะกับคุณหนูผู้บอบบางอย่างสหายหลินนัก เผื่อร้อนจะได้มีลมโกรกให้เย็นสบายตลอดคืน” คำพูดนั้นช่างเสียดสีจนคนโง่ก็ยังฟังออก
หลินเสวี่ยหรงปรายตามองไปยังจุดที่พวกเธอชี้ ก่อนจะหันไปมองกลุ่มของชิงเหอที่กำลังส่งยิ้มเยาะมาให้ เธอไม่ได้โต้เถียงหรือแสดงความไม่พอใจใด ๆ
กลับกัน เธอทำเพียงเดินตรงไปยังมุมนั้นอย่างว่าง่าย ท่าทางนั้นทำให้ชิงเหอรู้สึกเหมือนตนเป็นฝ่ายชนะอย่างใสสะอาด
ทว่าเสวี่ยหรงก็หยุดเดิน ก่อนที่เธอจะหันกลับมา เดินตรงไปยังเตียงดินที่กลุ่มของชิงเหอยึดครองอยู่ สายตาของเธอไม่ได้มองพวกชิงเหอแม้แต่น้อย แต่กลับแหงนขึ้นมองคานไม้เก่าแก่ที่พาดอยู่เหนือศีรษะของพวกเธอ
เธอก้มลงหยิบแท่งไม้ไผ่ยาวที่วางพิงผนังอยู่ขึ้นมา แล้วค่อย ๆ ยื่นปลายไม้ไผ่ขึ้นไปกระทุ้งเบา ๆ ที่คานไม้เส้นนั้น
พรึ่บ!
เศษดินและฝุ่นผงร่วงกราวลงมาบนหัวของชิงเหอ และสหายราวกับหิมะถล่มย่อม ๆ ทำเอาพวกเธอร้องวี้ดว้ายกันยกใหญ่
“ว้าย!!!”
หลินเสวี่ยหรงลดไม้ไผ่ลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ฉันไม่ได้มีความรู้เรื่องการก่อสร้างมากนัก” เธอเว้นจังหวะ ปล่อยให้สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เธอ “แต่เสียงคานไม้เหนือหัวพวกเธอตรงนั้น ฟังดูกลวง ๆ พิกลนะ”
หัวใจของชิงเหอและสหายกระตุกวูบ
หลินเสวี่ยหรงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มบางเบา “ฉันตัวเบา คงไม่เป็นไรหรอก แต่น้ำหนักของพวกเธอสามสี่คนรวมกัน.. ก็ไม่แน่”
เธอทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ทำให้ทุกคนขนลุกซู่ “ระวังนอน ๆ ไปแล้วจะได้สนิทกับ²พระแม่ธรณีเร็วกว่าที่คิดล่ะ”
เพียงเท่านั้น!
ใบหน้าของชิงเหอและสหายก็ซีดเผือดเป็นไก่ต้ม พวกเธอรีบแหงนมองคานไม้เหนือหัวด้วยความหวาดผวา ความคิดที่ว่ามันอาจจะถล่มลงมาทับพวกเธอจนแบนแต๊ดแต๋นั้นน่ากลัวกว่าการนอนในมุมอับชื้นเป็นร้อยเท่า
“ย..ย้าย! รีบย้ายเร็วเข้า!”
กลุ่มของชิงเหอรีบคว้าข้าวของของตนเผ่นออกจากเตียงดินนั้นราวกับหนีตาย ปล่อยให้มันว่างลงในทันที
ทว่าหลินเสวี่ยหรงกลับไม่ได้สนใจจะเข้าไปยึดครองบัลลังก์ที่ว่างเปล่านั้น เธอเพียงเดินอย่างสงบไปยังเตียงดินแท่นหนึ่งที่อยู่ถัดเข้ามา ซึ่งแม้จะไม่ใช่จุดที่ดีที่สุด แต่ก็แห้งสนิทและดูมั่นคงปลอดภัย เธอวางสัมภาระของตนลงเบา ๆ เป็นการประกาศอาณาเขตของตนโดยสมบูรณ์
ยามค่ำคืนในหมู่บ้านต้าซานนั้นเงียบสงัด มืดมิดยิ่งกว่าก้นบ่อไร้แสงจันทร์ เสียงลมหวีดหวิวนอกกระท่อมผสานกับเสียงกรน เสียงละเมอของเหล่าสหายยุวชนที่หลับใหลด้วยความอ่อนเพลีย แต่สำหรับหลินเสวี่ยหรงแล้ว ค่ำคืนนี้กลับยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
ร่างกายของเจ้าของร่างเดิมนี้ช่างอ่อนแอยิ่งนัก ทั้งความเครียดจากการเดินทาง อาหารที่ขาดแคลน และการที่ต้องปะทะคารมตลอดทั้งวัน ส่งผลให้ศีรษะของเธอปวดร้าวราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
เธอรู้ดีว่าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็ว ร่างกายนี้จะต้องล้มป่วยลงอย่างแน่นอน และในยุคสมัยที่ขาดแคลนยารักษาโรคแบบนี้ การเจ็บป่วยธรรมดาก็อาจหมายถึงความตายได้
‘ไม่ได้ ฉันจะมาตายอีกครั้งในสภาพที่น่าสมเพชแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด’
รุ่งเช้ามาเยือนพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านรอยรั่วบนหลังคาลงมา
เหล่ายุวชนเริ่มทยอยตื่นขึ้นด้วยสภาพอิดโรย อวี๋ซินที่นอนอยู่ไม่ไกลสังเกตเห็นใบหน้าซีดเผือด และเหงื่อที่ผุดซึมตามไรผมของหลินเสวี่ยหรง จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“สหายหลิน เธอไม่สบายเหรอ? สีหน้าของเธอตอนนี้ดูไม่ดีเลย”
หลินเสวี่ยหรงใช้หลังมือแตะหน้าผากของตนเบา ๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ฉันปวดหัวนิดหน่อย” เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับกำลังอดทนต่อความเจ็บปวด “สงสัยเมื่อคืนจะโดนลมมากไปหน่อย คงต้องขอพักสักครู่”
เมื่อเห็นว่าหลินเสวี่ยหรงดูท่าจะไม่ไหวจริง ๆ ประกอบกับวีรกรรมที่เธอสร้างไว้เมื่อวาน ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งวุ่นวาย ทุกคนจึงทยอยกันออกไปทำธุระส่วนตัว และรอรับการมอบหมายงานจากผู้ใหญ่บ้าน ทิ้งให้หลินเสวี่ยหรงนอนพักอยู่ในกระท่อมที่ว่างเปล่าตามลำพัง
ทันทีที่แน่ใจว่าปลอดคนแล้ว หลินเสวี่ยหรงก็รีบลุกขึ้นนั่งทันที
สีหน้าอ่อนแอเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น เหลือเพียงแววตาที่มุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว เธอหลับตาลง รวบรวมสมาธิทั้งหมดไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว..
วูบ
ความรู้สึกราวกับถูกดูดเข้าไปในอุโมงค์ที่เต็มไปด้วยแสงสีขาวสว่างจ้าเกิดขึ้นชั่วพริบตา เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทิวทัศน์รอบกายก็แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
จากกระท่อมดินที่มืดมิดและอับชื้น บัดนี้กลับกลายเป็นพื้นที่กว้างขวางสว่างไสวภายใต้ท้องฟ้าจำลองสีครามสดใส อากาศบริสุทธิ์ และสดชื่นจนเธอต้องสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อซึมซับความรู้สึกที่ห่างหายไปนาน เบื้องหน้าของเธอคืออาณาจักรฟาร์มอัจฉริยะแห่งศตวรรษที่ยี่สิบห้า ของเธอ!
ชั้นวางสำหรับปลูกพืชไร้ดินเรียงรายสุดลูกหูลูกตา ผักผลไม้ทุกชนิดล้วนแต่สมบูรณ์ เปล่งประกายสีสันสดใสดุจอัญมณี เสียงหึ่ง ๆ ของระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นดังคลอเบา ๆ ราวกับเสียงดนตรีขับกล่อมสวรรค์ น้ำในลำธารจำลองใสสะอาดราวกับกระจกเงา
“ในที่สุด..” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือด้วยความตื้นตัน “สมบัติของฉัน แกตามฉันมาจริง ๆ ด้วย”
หลินเสวี่ยหรงไม่รอช้า เธอเดินตรงไปยังส่วนที่เป็นคลังพัสดุ และห้องทดลองขนาดเล็กที่อยู่มุมหนึ่งของมิติ บนชั้นวางเต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์พืชที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม ปุ๋ยชีวภาพสูตรเข้มข้น และเครื่องมือการเกษตรล้ำสมัย แต่เป้าหมายแรกของเธอในตอนนี้คือตู้เก็บยาและอาหารเสริม
เธอเปิดตู้ออก หยิบขวดวิตามินรวมสูตรเข้มข้นออกมาหนึ่งขวด และโปรตีนบาร์ให้พลังงานสูงอีกหนึ่งแท่ง เธอแกะโปรตีนบาร์เข้าปากทันที รสชาติหวานมัน และสารอาหารที่เปี่ยมล้นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายที่หิวโหย ความรู้สึกมีเรี่ยวมีแรงกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตามด้วยวิตามินรวมอีกหนึ่งเม็ดเพื่อฟื้นฟูร่างกายจากภายใน
“เอาล่ะ ต่อไปนี้จะไม่มีใครมารังแกฉันได้อีก” แววตาของหลินเสวี่ยหรงทอประกายคมปลาบ
เธอใช้เวลาอีกเล็กน้อยสำรวจอาณาจักรของตนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจำใจต้องออกจากมิติไป เพราะไม่สามารถเสี่ยงให้ใครมาพบเห็นได้
เมื่อกลับสู่กระท่อมดินอันซอมซ่ออีกครั้ง ความรู้สึกอึดอัดก็กลับมาเยือน แต่ภายในใจของหลินเสวี่ยหรงนั้นแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง เธอทอดกายลงบนเตียงดินแข็งกระด้าง หลับตาลงอย่างสงบ แต่ในใจนั้นกำลังวางแผนการใหญ่อยู่
…
ช่วงบ่ายของวันนั้น ขณะที่คนอื่น ๆ ถูกเกณฑ์ไปทำงานในไร่นาจนเหงื่อไหลไคลย้อย หลินเสวี่ยหรงก็ค่อย ๆ ลุกจากเตียงดิน เธอเดินไปหาอวี๋ซินที่กำลังนั่งซ่อมเสื้อผ้าอยู่เงียบ ๆ
“สหายอวี๋ ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังเจือความอ่อนเพลียเล็กน้อย “การนอนอุดอู้อยู่แต่ในห้องคงไม่ดีแน่ ฉันว่าจะลองออกไปเดินเล่นในป่าแถวนี้สักหน่อย เผื่อจะหาผักหญ้าอะไรกลับมาทำอาหารเย็นได้บ้าง”
อวี๋ซินเงยหน้าขึ้น มองเธอด้วยความเป็นห่วง “แต่เธอเพิ่งจะฟื้นไข้ จะไหวเหรอ?”
“ไม่เป็นไร ฉันจะไปแค่บริเวณชายป่าเท่านั้น” หลินเสวี่ยหรงส่งยิ้มบางเบาเพื่อให้เธอสบายใจ
ชิงเหอที่นั่งพักอยู่ไม่ไกลได้ยินบทสนทนาก็แค่นเสียงหยัน
“เหอะ! ไปเดินเล่นหรือไปหลงป่ากันแน่ ระวังจะกลายเป็นอาหารเย็นให้หมาป่าเสียล่ะ!”
หลินเสวี่ยหรงทำเพียงปรายตามองเธอแวบหนึ่งราวกับมองธาตุอากาศ ก่อนจะหันไปหยิบตะกร้าสานใบเล็กแล้วเดินออกจากกระท่อมไป ทิ้งให้ชิงเหอกระทืบเท้าปึงปังด้วยความขัดใจที่เธอไม่ยอมตกหลุมพรางทางอารมณ์
เมื่อเข้าสู่เขตป่าทึบ บรรยากาศรอบกายก็พลันเปลี่ยนไป
แสงแดดที่สาดส่องลงมาถูกบดบังด้วยเรือนยอดของต้นไม้สูงใหญ่ บรรยากาศเย็นชื้นและเงียบสงัด มีเพียงเสียงนกและแมลงที่ดังระงมอยู่เป็นระยะ ธรรมชาติพวกนี้ช่างแตกต่างจากระบบนิเวศจำลองอันสมบูรณ์แบบในมิติของเธอโดยสิ้นเชิง
ทว่าด้วยความรู้ด้านพฤกษศาสตร์จากโลกอนาคต ป่าที่ดูรกชัฏในสายตาคนอื่น กลับกลายเป็นคลังสมบัติในสายตาของหลินเสวี่ยหรง
เธอเดินไปไม่นานก็พบต้นชิงไช่ ซึ่งเป็นผักป่ารสขมที่ชาวบ้านส่วนใหญ่มักเมิน แต่หลินเสวี่ยหรงรู้ดีว่าหากนำไปต้มให้ถูกวิธีรสขมจะหายไป และมันยังอุดมไปด้วยวิตามิน เธอจึงเก็บมันมาหนึ่งกำมือ นอกจากนี้เธอยังขุดหัวซานเย่า ซึ่งเป็นสมุนไพรบำรุงร่างกายขึ้นมาได้อีกจำนวนหนึ่ง
หลังจากเก็บของป่าได้พอประมาณแล้ว เธอก็เดินลึกเข้าไปยังบริเวณที่ลับตาคน เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้ว จึงหลับตาเข้าสู่มิติของตนเอง
เธอเลือกสรรเห็ดหอมสดใหม่ดอกอวบอ้วนขนาดเท่าฝ่ามือเด็กออกมาหนึ่งกำใหญ่ เห็ดเหล่านี้มีเนื้อแน่นและส่งกลิ่นหอมเย้ายวน เป็นของดีที่ไม่มีทางจะหาพบได้ง่าย ๆ ในป่าธรรมชาติแบบนี้อย่างแน่นอน เธอนำเห็ดออกมาคลุกกับดินเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง ก่อนจะนำไปวางแอบไว้ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ แล้วจึงแสร้งทำเป็นเดินไปค้นพบมันโดยบังเอิญ
เมื่อกลับถึงบ้านยุวชนในตอนเย็น ตะกร้าของหลินเสวี่ยหรงก็สร้างความฮือฮาขึ้นมาทันที
“สวรรค์! สหายหลิน เธอไปเจอเห็ดหอมพวกนี้มาจากที่ไหนกัน!?” ชายหนุ่มคนหนึ่งร้องถามด้วยความตกตะลึง ขณะที่คนอื่น ๆ มองมาที่เธอด้วยสายตาเหลือเชื่อ
หลินเสวี่ยหรงยิ้มบาง ๆ ตอบด้วยท่าทีถ่อมตน
“ฉันเองก็โชคดีน่ะสิ พอดีมันขึ้นอยู่หลังโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่ง แต่ไม่มีใครเห็น”
คำตอบที่ดูเหมือนจะธรรมดาแต่กลับน่าทึ่งยิ่งนัก การเข้าป่าเพียงครั้งแรกก็ได้ของดีกลับมามากมายแบบนี้ จะเรียกว่าโชคดีอย่างเดียวคงไม่ได้เสียแล้ว
“เหอะ! ก็แค่โชคช่วยเท่านั้นแหละ!” ชิงเหอพึมพำด้วยความอิจฉา แต่ก็ไม่สามารถหาข้อโต้แย้งใด ๆ มาหักล้างภาพตรงหน้าได้ เพราะเห็ดหอมดอกงามเหล่านั้นเป็นของจริงอย่างแน่นอน
หลินเสวี่ยหรงไม่สนใจคำแขวะของเธอ เธอยื่นตะกร้าให้กับหญิงสาวที่รับหน้าที่ทำอาหารเย็น
“ฉันเจอมันมานิดหน่อย เอาไปทำซุปบำรุงร่างกายให้ทุกคนเถอะ จะได้มีแรงทำงานในวันพรุ่งนี้”
การกระทำที่แสดงความมีน้ำใจนี้ ทำให้สายตาที่คนอื่นมองเธอยิ่งเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ความรู้สึกนับถือเริ่มเข้ามาแทนที่ความระแวงสงสัย
ค่ำคืนนั้น กลิ่นหอมของซุปเห็ดก็ลอยฟุ้งไปทั่วบ้านยุวชน เป็นมื้ออาหารที่ดีที่สุดนับตั้งแต่พวกเขาเดินทางมาถึงหมู่บ้านต้าซานแห่งนี้ ขณะที่ทุกคนกำลังซดซุปร้อน ๆ อย่างเอร็ดอร่อย ไม่มีใครสังเกตเห็นรอยยิ้มอันชาญฉลาดที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเสวี่ยหรงเลยสักคน
วิสัยทัศน์ของเธอทำให้ทุกคนที่ได้ฟังต้องนิ่งอึ้งไปด้วยความทึ่ง พวกเขาคิดถึงแค่เพียงปากท้องในวันนี้ แต่เธอกลับมองการณ์ไกลไปถึงอนาคตของคนรุ่นต่อไปแน่นอนว่าข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ย่อมได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ไม่นานนัก โรงเรียนหลังเก่าที่ทรุดโทรมก็ได้ถูกแทนที่ด้วยอาคารเรียนอิฐแดงสองชั้นที่แข็งแรงและสว่างไสว เด็ก ๆ ทุกคนมีโต๊ะเรียนและหนังสือเล่มใหม่ เสียงอ่านหนังสือที่ดังกังวานของพวกเขาในทุก ๆ เช้า นับเป็นเสียงอนาคตที่สดใสของหมู่บ้านต้าซานแต่การลงทุนที่สำคัญที่สุดของหลินเสวี่ยหรงนั้น คือน้องสาวสามีของเธอเอง“หลานเอ๋อร์” วันหนึ่งเธอเอ่ยขึ้นกับเว่ยเหอหลานที่บัดนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งดงามและเฉลียวฉลาด “เธอเป็นเด็กที่ขยันหมั่นเพียร ตอนนี้ทางการได้เปิดการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งแล้ว เธออยากจะลองสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงดูหรือเปล่า?”แววตาของเว่ยเหอหลานเป็นประกายขึ้นมาด้วยความหวัง แต่ก็เจือปนไปด้วยความไม่มั่นใจ“ฉัน.. ฉันจะทำได้หรือคะพี่สะใภ้? การสอบแข่งขันนั้นยากมากนะ”“ทำไมจะไม่ได้?” หลินเสวี่ยหรงกล่าวให้กำลังใจอย่างหนักแน่น “ขอแค่เธอตั้งใจจริง เรื่องตำราเรียนและค
ความโกลาหลที่ถูกเตรียมการมาอย่างดีก็ได้เริ่มต้นขึ้น!เว่ยหลงผู้เคยตื่นตูม บัดนี้กลับมีสติและทำตามขั้นตอนที่หลี่ซินอี๋เคยซักซ้อมไว้เป็นอย่างดี เขารีบประคองภรรยาไปยังห้องนอนที่ถูกเตรียมไว้เป็นห้องคลอดโดยเฉพาะ ส่วนชุนฮวาก็รีบไปต้มน้ำและเตรียมผ้าสะอาด ในขณะที่เว่ยเหอหลานก็วิ่งหน้าตาตื่นไปตามหมอตำแยในหมู่บ้านมาเป็นผู้ช่วยเว่ยหลงถูกกันให้ออกมารออยู่หน้าห้องด้วยใจที่ร้อนรนราวกับไฟเผา เขาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูราวกับหนูติดจั่น ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของภรรยาดังเล็ดลอดออกมา หัวใจของเขาก็ราวกับถูกมีดกรีด เขารู้สึกไร้กำลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตภายในห้องคลอด สถานการณ์ก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน การคลอดติดขัดเล็กน้อยทำให้หมอตำแยเริ่มหน้าซีด“แย่แล้ว! เด็กไม่ยอมกลับหัว!”“ทุกคนอยู่ในความสงบ!” เสียงที่สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยอำนาจของหลี่ซินอี๋ดังขึ้นมา “พี่สะใภ้ฟังฉันนะ หายใจเข้าลึก ๆ ทำตามที่ฉันบอก”แพทย์สาวผู้มีความรู้ที่ทันสมัยกว่า ใช้เทคนิคการนวดและการจัดท่าทางช่วยให้หลินเสวี่ยหรงผ่อนคลายและทำให้ทารกกลับเข้าสู่ตำแหน่งที่ถูกต้องได้ในที่สุด“เบ่งอีกครั้งค่ะพี่สะใภ้! ฉันเห็นหั
ในการพบปะกันครั้งล่าสุดที่โรงน้ำชาผิงอัน บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองจึงได้เปลี่ยนไป มันไม่ใช่การเจรจาซื้อขายระหว่างผู้ผลิตและผู้รับซื้อ แต่เป็นการประชุมทางธุรกิจที่จริงจัง“คุณลุงคะ ขอบคุณคุณลุงเสมอมาที่คอยช่วยเหลือและให้การสนับสนุนกิจการของหมู่บ้านของฉัน” หลินเสวี่ยหรงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ “วันนี้ฉันมีข้อเสนอทางธุรกิจที่ใหญ่กว่าเดิมมานำเสนอ”เธอได้อธิบายถึงโครงการโรงงานแปรรูปอาหาร วิสัยทัศน์ และศักยภาพในการเติบโตของตลาดให้เขาฟังอย่างละเอียด ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นสำคัญ“แต่โครงการนี้ใหญ่เกินกว่าที่หมู่บ้านของเราจะทำได้เพียงลำพัง ฉันจึงอยากจะเรียนเชิญคุณลุงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับเราอย่างเป็นทางการค่ะ”พ่อค้าจ้าวผู้มีสายตาแหลมคมดุจสุนัขจิ้งจอก เมื่อได้ฟังข้อเสนอของเธอก็ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เขารอคอยประโยคนี้จากเธอมานานแล้ว“แม่หนู ในที่สุดเธอก็เอ่ยปากเสียที” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี “ว่ามาสิ เธอต้องการจะแบ่งหุ้นส่วนกันยังไง?”นี่คือช่วงเวลาที่หลินเสวี่ยหรงจะได้แสดงทักษะการเจรจาธุรกิจจากศตวรรษที่ยี่สิบห้า ของเธอออกมาอย่างเต็มที่“ทางสหกรณ์หมู่บ้านต้าซานจะรับผิดชอบในส่วนของก
เธอเรียกประชุมทีมงานหลักอีกครั้งที่บ้านของตนเอง ในครั้งนี้มีพ่อค้าจ้าวเข้าร่วมด้วยในฐานะที่ปรึกษาด้านการตลาด“สหายทุกคนตอนนี้เรามีสินค้าที่ดีที่สุด แต่เราจะทำยังไงให้คนอื่นรู้ว่าสินค้าของเราแตกต่างและดีกว่าของคนอื่นอย่างไร?” เธอเริ่มต้นด้วยคำถามที่กระตุ้นความคิดทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ ของดีก็คือของดี จะต้องทำอะไรอีกเล่า?“เราต้องสร้างตราสินค้า หรือที่คนในเมืองใหญ่เรียกว่าแบรนด์ขึ้นมา” เธออธิบายแนวคิดที่ล้ำยุคนี้ “มันเป็นสัญลักษณ์ที่จะทำให้ทุกคนจดจำได้ว่าเห็ดที่ดีที่สุด มาจากที่ไหน”เธอเสนอแนวคิดเรื่องการออกแบบโลโก้ และบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามและถูกสุขลักษณะ“โลโก้ของเราจะเป็นรูปภูเขาต้าซานที่มียอดเป็นรูปเห็ดที่กำลังงอกงาม” เธอร่างภาพคร่าว ๆ ให้ทุกคนดู “ส่วนเห็ดตากแห้งของเรา แทนที่จะขายแบบกองรวมกัน เราจะนำมันมาบรรจุในถุงกระดาษที่สะอาดและปิดผนึกอย่างดี บนถุงจะมีตราสินค้าของเราพิมพ์อยู่”พ่อค้าจ้าวผู้คร่ำหวอดในวงการค้าขายมาทั้งชีวิต เมื่อได้ฟังความคิดของเธอก็ถึงกับตาโตเป็นประกาย“แม่หนู! เธอช่างเป็นอัจฉริยะ! ฉันค้าขายมาทั้งชีวิต ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน!” เขากล่าวด้วยความต
‘บ้านหลังนี้เคยเป็นทั้งกรงทองและขุมนรกของฉัน’ เธอคิดในใจ ‘แต่วันนี้ มันจะเป็นเพียงเวทีสำหรับละครฉากสุดท้ายเท่านั้น’เว่ยหลงเป็นผู้ที่เคาะประตูเมื่อประตูเปิดออก หญิงรับใช้ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เธอมองหลินเสวี่ยหรงด้วยความตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปรายงานนายหญิงของตนไม่นานนัก ร่างของแม่เลี้ยงก็รีบวิ่งออกมาด้วยท่าทีที่เสแสร้ง “ใครมา อ๊ะ! หรงเอ๋อร์!” เธอทำท่าจะโผเข้ามาสวมกอดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจอมปลอม “เธอกลับมาแล้ว! ในที่สุดเธอก็กลับมาช่วยแม่กับน้อง!”แต่เธอก็ต้องชะงักงัน เมื่อได้เห็นหลินเสวี่ยหรงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวที่เคยผอมแห้งและมีแววตาหวาดกลัวอยู่เสมอ บัดนี้กลับกลายเป็นสตรีที่สง่างามและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แม้เธอจะสวมเพียงเสื้อผ้าผ้าฝ้ายธรรมดา ๆ แต่มันกลับดูดีและสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณของเธอเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และที่สำคัญที่สุดคือดวงตาของเธอ มันไม่ได้มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงความเย็นชาและเฉยเมยที่มองมายังเธอราวกับเป็นเพียงคนแปลกหน้าและที่ข้างกายของเธอยังมีบุรุษร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบทหารยืนค้ำตระหง่านอยู่ แววตาของเขาคมกริบและเย็นชา
“มันหนีไปแล้ว! รีบจับมันไว้!”เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับที่ชาวบ้านกรูกันไล่ตามไปทันที การวิ่งหนีของเขานั้นคือคำสารภาพที่ชัดเจนที่สุดทว่าคนขี้ขลาดที่ตื่นตระหนกจนเสียสติจะไปสู้แรงของเหล่าเกษตรกรที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต และทหารผู้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีได้ยังไง?เพียงไม่นาน เว่ยหลงก็วิ่งตามไปทันและใช้เท้าเตะเข้าที่ข้อพับของหลี่กังจนเขาล้มหน้าคะมำลงไปกองกับพื้น ชาวบ้านคนอื่น ๆ รีบกรูกันเข้าไปจับตัวเขาไว้แล้วใช้เชือกมัดอย่างแน่นหนา“ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน!” เขาดิ้นรนอย่างน่าสมเพชชาวบ้านลากตัวหลี่กังกลับมาที่ลานหมู่บ้าน ท่ามกลางสายตาที่เคียดแค้นของทุกคนที่เขาพยายามจะทำร้าย“สารภาพมา! ทำไมนายถึงได้กล้าทำเรื่องเลวทรามแบบนี้?!” ผู้ใหญ่บ้านสือตวาดถามเมื่อจนมุมอย่างสิ้นเชิงแล้ว ความกล้าทั้งหมดของหลี่กังก็มลายหายไป เหลือไว้เพียงความหวาดกลัว“ฉะ ฉันผิดไปแล้ว! ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วย!” เขาร้องไห้ฟูมฟายน้ำมูกน้ำตาไหล “ฉันแค่อิจฉา ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใคร ฉันแค่.. ฉันแค่อยากจะสั่งสอนนังหลินเสวี่ยหรงเท่านั้น!”แม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ยังคงพยายามจะป้ายความผิดให้ผู้อื่นขณะนั้นเอง หลินเสวี่ยหรงก็ได้เดิ