หยางฉิงยิ้มเย็นในใจ ‘สิ่งที่ข้าทำไว้คงออกฤทธิ์แล้วสินะ’ นางกล่าวเสียงเรียบ “ท่านแม่กล่าวหาอะไรข้ากัน? คนที่ควรจ่ายเงินควรเป็นท่านแม่มากกว่า เพราะลูกสาวสุดที่รักของท่านแม่มาทำร้ายข้าถึงหน้าบ้าน จนปากข้ามีเลือดออก หน้าข้าก็มีรอยแดงจากนิ้วมือของลูกท่าน ชาวบ้านทุกคนเห็นกันทั่ว ว่าใครเป็นฝ่ายถูกกระทำ”
จางเฟิงโต้กลับด้วยความโมโห “เจ้าเป็นลูกสะใภ้ ไม่ว่าลูกหรือครอบครัวแม่สามีจะทำอะไรกับเจ้าก็ได้ทั้งนั้น! ตั้งแต่วันที่ลูกข้าตบตีกับเจ้า นางก็เจ็บท้องอย่างหนัก! ถ้าไม่ใช่เจ้าทำ แล้วใครจะทำ!” หลี่เซิงที่ฟังสองคนทะเลาะกัน รู้สึกปวดหัวหนักขึ้น เขาคิดในใจว่าทำไมแม่ของเขาถึงได้เป็นแบบนี้ ทั้งที่เขายอมแยกบ้าน ยอมยกเงินทั้งหมดที่เขามีให้แม่ เพื่อแลกกับที่ดินผืนนี้เพียงอย่างเดียว และเขาก็ไม่เคยไปรบกวนบ้านหลักเลยแม้แต่ครั้งเดียว “ท่านแม่มาที่นี่ ท่านพ่อรู้หรือไม่? ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูชาวบ้าน ท่านแม่คิดว่าจะหาใครมาแต่งงานให้พี่หลี่เจิงได้อีกหรือ? ท่านแม่ลองคิดดูให้ดี ถ้าไม่อยากโดนท่านพ่อว่า” เขาเอาท่านพ่อมาอ้าง เพราะรู้ว่าท่านแม่กลัวท่านพ่อที่สุด จางเฟิงได้ฟังที่หลี่เซิงพูด นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้าชาวบ้านรู้ คนที่นางหาให้แต่งกับลูกสาวต้องไม่แต่งแน่ ถ้าหลี่เจิงไม่ได้แต่งกับคนนี้ พ่อของนางจะจับนางแต่งงานกับพ่อม่าย จางเฟิงยืนกำมือแน่น ตาของนางเบิกโพลงด้วยความโกรธ “หึย!” นางโมโหมากที่ทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ “จำไว้ ต่อไปนี้ถ้าพวกเจ้าจะเป็นจะตายก็ไม่ต้องมาเรียกข้า!” จางเฟิงพูดจบกำลังจะเดินออกไป ยังไม่ทันพ้นประตูดี นางก็ได้ยินเสียงดังไล่หลังมา “ข้าจะเป็นจะตาย ท่านแม่เคยสนใจข้าด้วยหรือ? ต่อจากนี้ท่านแม่ก็อย่ามาที่นี่อีกเลย ถือว่าลูกชายคนนี้ของท่านตายไปเสียเถอะ!” จางเฟิงได้ยินเสียงของหลี่เซิง นางหยุดเท้าที่กำลังเดินด้วยใจที่รู้สึกสับสน แต่เพียงครู่เดียว นางก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองทั้งสองคนอีก หยางฉิงเห็นบรรยากาศเศร้าหมองของครอบครัวหลี่เซิง นางรู้สึกสงสารเขา แต่ทันทีที่นางหันไปเห็นบาดแผลของหลี่เซิงที่มีเลือดไหลออกมา นางรีบพูดขึ้น “ท่านทำไมถึงเป็นแบบนี้? ทำไมไม่ระวังตัวเองเสียบ้าง! ข้าจะไปเอายามาทำแผลให้ท่าน ส่วนเรื่องที่ท่านแม่พูดก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย” นางพูดจบก็เดินออกจากห้องไป หลังจากหยางฉิงเดินออกไป หลี่เซิงก็นั่งนิ่ง จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ‘อย่างที่นางบอก เขาควรปล่อยวางได้แล้ว ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง’ หยางฉิงกลับไปที่คอนโด หยิบสิ่งของที่ใช้ทำแผลออกมา แม้รูปลักษณ์ของมันจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าให้แผลของเขาติดเชื้อ นางได้เตรียมอุปกรณ์มาครบแล้ว จากนั้นจึงเดินกลับไปยังห้องของหลี่เซิง “ข้ามาแล้ว ท่านเจ็บแผลหรือไม่?” หยางฉิงนั่งลงข้างเตียง แกะผ้าพันแผลออกจนหมด เมื่อเห็นว่าเลือดไหลออกมาไม่มาก นางก็โล่งใจ “ยังดีที่แผลของท่านไม่เป็นอะไรมาก เลือดก็ออกไม่เยอะ แถมรอบ ๆ บาดแผลก็ยุบลงแล้ว แสดงว่ายาที่ท่านหมอให้มานั้นเห็นผลดี” นางก้มหน้าทำแผล พร้อมอธิบายให้เขาฟัง หลี่เซิงนั่งอยู่บนเตียงอย่างสงบนิ่ง เขามองดูท่าทางเอาใจใส่ของนางแล้วรู้สึกดีกับนางมากขึ้นไปอีก เขาคิดว่า หากขาเขาเดินได้ เขาคงปกป้องนางได้มากกว่านี้ “ข้าจะล้างแผล อาจจะแสบนิดหน่อยนะ” หยางฉิงใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดรอบ ๆ บาดแผล จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดซ้ำอีกครั้ง นางไม่ได้ใส่ยา เพราะต้องรอให้บาดแผลติดกันดีก่อน จากนั้นจึงพันแผลที่ขาเขาจนเสร็จ “ข้าทำแผลเสร็จแล้วนะ ระวังแค่อย่าให้โดนน้ำก็พอ” นางพูดพร้อมเงยหน้ามองหลี่เซิง และสบตาเขาพอดี นางรู้สึกเหมือนเขาสังเกตนางอยู่ตลอด นางทำตัวไม่ถูก หน้านางร้อนขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ข้าไปทำอาหารให้ท่านกินดีกว่า” นางรีบเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาเขา ไม่รอให้เขาตอบ นางรีบเดินออกจากห้องทันที เมื่อมาถึงคอนโด นางเอามือจับที่หัวใจตัวเอง ‘ทำไมถึงได้เต้นเร็วขนาดนี้กันเนี่ย’ นางคิดในใจ อาจจะเพราะตกใจจึงเป็นเช่นนั้น หยางฉิงยกมือเรียวตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติ ก่อนจะจัดอุปกรณ์ทำแผลให้เรียบร้อย วันนี้นางตั้งใจทำอาหารปลอบใจหลี่เซิง นางเปิดตู้เย็น พบเส้นก๋วยเตี๋ยวสองถุงที่ยังไม่ได้กิน นางเทน้ำซุปลงหม้อ ตั้งไฟให้เดือด แล้วใส่เส้นบะหมี่ขาวลงในถ้วย พอน้ำซุปเดือด นางเทมันลงบนเส้นที่เตรียมไว้ จากนั้นต้มไข่สี่ฟอง โดยให้ไข่ข้างในยังไม่สุกดี นางผ่าไข่เป็นสองซีก จัดใส่จานอย่างสวยงาม เติมหมูชิ้นเพิ่มเข้าไป เพราะนางเชื่อว่าการกินของอร่อยจะช่วยให้คนสบายใจขึ้น ‘ฝีมือของเราก็ดูน่ากินเหมือนกันนะเนี่ย’ หลี่เซิงกินคงทำให้อารมณ์ดีขึ้น เตรียมของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หยางฉิงก็นำถ้วยก๋วยเตี๋ยวของหลี่เซิงไปให้ถึงในห้องนอน หลี่เซิงตอนนี้ดูดีขึ้นมาก หลังจากได้ฟังคำพูดปลอบใจของหยางฉิง กลิ่นหอมจากอาหารลอยเข้ามาถึงหน้าประตูห้อง เขาสงสัยว่าวันนี้นางทำอะไรมาให้กิน เพราะกลิ่นหอมน่าลิ้มลองยิ่งนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาหารฝีมือของนางอร่อยทุกอย่าง หยางฉิงเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้ามา ในมือของนางถือถ้วยก๋วยเตี๋ยวขนาดใหญ่ที่หามาได้จากในครัว “ข้ามาแล้ว ท่านหิวมากหรือไม่ วันนี้ข้าทำอาหารสุดฝีมือเลยนะ เขาว่าการกินอาหารอร่อยจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ท่านลองกินดูสิว่าอร่อยหรือยังขาดอะไรอีกหรือเปล่า” นางวางถ้วยอาหารไว้บนโต๊ะเล็กข้างตัวเขา หลี่เซิงมองถ้วยอาหารในมือของนาง มันเป็นหมี่น้ำ แต่หน้าตาดูแตกต่างจากที่เขาเคยกิน ด้านบนมีทั้งเนื้อและไข่ ดูน่ากินจนอดไม่ได้ที่จะลองชิม เขาตักก๋วยเตี๋ยวขึ้นมากิน พร้อมกับสายตาที่เหลือบมองหยางฉิงซึ่งจ้องเขาอยู่ไม่ห่าง “ของเจ้าไม่มีหรือ?” เขาไม่ชอบให้ใครมานั่งจ้องตอนเขากินแบบนี้ “ของข้าก็มีเหมือนกัน” นางตอบพร้อมรอยยิ้ม “แต่ข้าก็แค่อยากรู้ว่าท่านกินแล้วถูกใจหรือไม่” “ถ้าเจ้าคอยมองข้ากินเช่นนี้ ข้าก็คงไม่กล้ากิน ถ้าอย่างไร เจ้าก็เอาอาหารของเจ้ามากินพร้อมข้าดีกว่า” เขาพูดพลางรู้สึกเกือบหลุดปากว่าเหงา “ข้ามากินพร้อมท่านได้หรือ? ท่านกินคนเดียวคงจะไม่อร่อยสินะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเอาของข้ามากินด้วย” หยางฉิงเดินกลับไปในครัว หยิบถ้วยก๋วยเตี๋ยวของนาง และนำจานใส่พริกกับน้ำตาลติดมือมาด้วย “ข้ามาแล้ว ท่านชอบกินรสเผ็ดไหม?” นางถามด้วยความตื่นเต้น เพราะนางเป็นคนชอบกินเผ็ด“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”หยางฉิงได้สติกลับมา “ไม่มีอะไรหรอก” นางไม่อยากบอกความในใจให้เขาไม่สบายใจในเมื่อนางไม่พูด เขาก็ไม่เซ้าซี้ถามอะไรต่อ ยิ่งคุยเรื่องนี้ในโรงเตี๊ยม ยิ่งเสี่ยงอันตราย“ถ้าเจ้าไม่กินแล้ว เรากลับบ้านกันดีกว่า”หยางฉิงพยักหน้า นางเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว นางกินอาหารที่นี่ไม่ลงจริง ๆหลี่เซิงจ่ายเงินค่าอาหาร แล้วสั่งให้ทางโรงเตี๊ยมห่ออาหารทุกอย่างบนโต๊ะกลับไป แม้เขาจะกินไม่ได้ แต่ที่บ้านยังมีสัตว์ที่กินได้ก่อนออกจากเมือง หยางฉิงบอกให้หลี่เซิงหยุดรถแวะซื้อบ๊วยสดกับเกลือ นางซื้อมาค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้บอกว่าเอาไปทำอะไร เมื่อซื้อเสร็จ ทั้งสองก็เดินทางกลับบ้าน...“หยางฉิง เจ้าหิวมากหรือไม่? เจ้ายังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่หรือ?” หลี่เซิงเอ่ยถามด้วยความกังวล กลัวว่านางจะหิวก่อนถึงบ้าน“ถ้าอย่างนั้น ท่านหยุดรถแอบไว้สักครู่เถอะ ข้าจะเข้าไปในมิติเพื่อทำก๋วยเตี๋ยวให้ท่านกิน ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่”หลี่เซิงพยักหน้า หาที่ปลอดภัยแล้วหยุดรถ รอให้นางเข้าไปในมิติ ไม่นานนัก นางก็ออกมาพร้อมก๋วยเตี๋ยวกลิ่นหอมกรุ่น แค่ได้กลิ่นก็ทำให้เขาน้ำลายสอ“ดีที่ในตู้เย็นมีก๋วยเตี๋ยวอยู่พอดี จึง
แต่หากเลือกได้ นางยังคงชอบบ้านที่อยู่ในสวนมากกว่า นางไม่ค่อยถูกใจกับการใช้ชีวิตในเมือง แม้ว่ามันจะสะดวกสบายกว่าก็ตามนางจึงหันไปถามความเห็นของหลี่เซิง หากเขาชอบอยู่ในเมือง นางก็จะอยู่กับเขา“หลี่เซิง ท่านคิดว่าที่นี่ดีหรือไม่?” นางถามพลางลอบสังเกตสีหน้าเขาหลี่เซิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “ข้าชอบบ้านสวนของเรามากกว่า ถึงที่นี่จะเจริญก็จริง แต่ข้ารู้สึกว่ามันวุ่นวาย ไม่สงบร่มเย็นเหมือนบ้านของเรา”‘เขาคิดเหมือนข้า’ นางพึมพำในใจโลกก่อนที่นางจากมา นางเคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย บางที การมีชีวิตอยู่ถึงสองชาติอาจทำให้นางโหยหาความสงบก็เป็นได้...นางหันไปยิ้มให้เขา “ข้าก็ชอบบ้านสวนของเราเช่นกัน เอาไว้ถ้าพวกเราเก็บเงินได้ ค่อยสร้างบ้านหลังใหม่ดีหรือไม่? สร้างเผื่อลูกน้อยของเราด้วยเลย”แล้วนางก็เอียงคอถามเขา “ท่านอยากมีลูกกี่คน?”หลี่เซิงเดินไปจับมือนาง มองด้วยสายตาลึกซึ้ง “เจ้าอยากมีกี่คนก็ได้ทั้งนั้น ข้าไม่เหนื่อยอยู่แล้ว ถ้าเจ้าอยากมีสักห้าคน ข้าก็ยินดี”เขายิ้มเจ้าเล่ห์ หยอกล้อนางหยางฉิงฟังแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ นางตีแขนเขาเบา ๆ “ท่านเห็นข้าเป็นแม่วัวหรืออย่างไร
หลี่เซิงจึงพูดขึ้นมา “ทำสัญญาวันนี้เลยก็ดี เราจะได้เริ่มปรับปรุงร้านได้เร็วขึ้น ร้านนี้เจ้าเป็นคนซื้อ เป็นชื่อเจ้าถูกต้องแล้ว ภรรยา” เขาพูดพร้อมกับลูบอกตัวเองเบา ๆหยางฉิงยิ้มมุมปาก ‘เขานี่ช่างเอาตัวรอดเก่งซะจริง’“เรื่องย้ายโฉนดที่ดิน ข้าต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง?” นางเลิกสนใจหลี่เซิง แล้วหันไปพูดกับนายหน้าขายที่ดินแทน“ท่านเพียงแค่จ่ายเงินเพิ่มอีกห้าตำลึงทองเพื่อดำเนินการออกโฉนดที่ดิน เดี๋ยวข้าจะจัดการย้ายชื่อให้ พวกท่านสามารถไปจ่ายเงินที่สำนักทะเบียนที่ดินได้เลย” เขาอธิบายอย่างละเอียด วันนี้เขาช่างโชคดีที่ได้พบเจอคนซื้อง่ายหลี่เซิงยิ้ม ก่อนจะเดินไปหานายหน้าพร้อมยื่นถุงเงินให้ “ข้าขอฝากเรื่องนี้กับท่านด้วย”เงินห้าตำลึงเงินถูกส่งไป นายหน้ารับถุงเงินมา เขย่าดูเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ ‘เงินไม่น้อยเลย’ เขานึกในใจ แล้วตอบกลับไปด้วยอารมณ์ดี “ข้าจะรีบไปดำเนินการออกโฉนดให้พวกท่านเดี๋ยวนี้”จากนั้น ทั้งสามคนก็นั่งรถเกวียนวัวกลับไปยังสำนักทะเบียนที่ดินอีกครั้ง หยางฉิงเข้าไปดำเนินการจ่ายเงิน ไม่นานก็ได้รับโฉนดที่ดินของร้านค้า ซึ่งเป็นชื่อของนางเรียบร้อยแล้วโฉนดนี้มีสองฉบับ ฉบับจริงอยู่กั
หยางฉิงพยักหน้าเบา ๆ รู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงปลอบโยนจากหลี่เซิงไม่นานก็ถึงคิวของพวกเขา ทั้งสองเดินเข้าไปด้านใน พบว่ามีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นผู้ช่วย ส่วนอีกคนเป็นหัวหน้า สังเกตได้จากการแต่งตัวที่แตกต่างกันเจ้าหน้าที่เหลือบมองทั้งสอง ก่อนเอ่ยถามโดยไม่รีรอ“พวกเจ้าต้องการเช่าหรือซื้อ?”หลี่เซิงเป็นคนตอบ “ข้ามาซื้อร้านค้าขอรับ”เจ้าหน้าที่มองพวกเขาเต็มตาขึ้น ก่อนพยักหน้าให้ผู้ช่วยอีกคน“ในเมืองยังมีร้านค้าว่างอยู่หลายแห่ง พวกเจ้าต้องการให้นายหน้าพาไปดู หรือจะดูแค่โฉนดที่ดิน? แต่หากต้องการให้พาไปดู เจ้าต้องจ่ายสามตำลึงทอง”หยางฉิงคิดว่าการได้เห็นหน้าร้านจริง ๆ น่าจะดีกว่า นางจึงบอกให้หลี่เซิงจ่ายเงินห้าตำลึงทองหลี่เซิงที่เตรียมเงินไว้แล้ว จึงทำตามที่นางต้องการ“ข้าน้อยอยากไปดูหน้าร้านขอรับ” เขายื่นถุงเงินสองถุงออกไป “เป็นค่านายหน้าและค่ารบกวนเวลาของนายท่านขอรับ”เจ้าหน้าที่รับถุงเงินมา ก่อนแบ่งอีกหนึ่งถุงให้ผู้ช่วยนำไปจ่ายค่านายหน้า จากนั้นจึงหันมาพูดกับทั้งสองด้วยท่าทีเป็นมิตรขึ้นเล็กน้อย“พวกเจ้าออกไปรอหน้าห้อง จะมีเจ้าหน้าที่พาไปดูร้านค้า” พูดจบก็โบกมือไล่พวกเขา
นางเดินนำทุกคนไปด้านหลังบ้านดีที่ก่อนหน้านี้นางเก็บเจ้าตัวแสบทั้งหลายเข้าไปในมิติแล้ว ตอนนี้จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหลี่จงเดินตามแนวลำธารมายังสวนหลังบ้านของหลี่เซิง เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตาโตด้วยความตกตะลึงเขาไม่คิดเลยว่าด้านหลังบ้านของหลี่เซิงจะเขียวชอุ่มขนาดนี้!“ดินที่บ้านเจ้าคงดีมากจริง ๆ ถึงได้ปลูกผักผลไม้ได้งอกงามขนาดนี้” เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกไปหลี่อี้เหลือบมองต้นมะพร้าวที่ขึ้นเป็นแถวสูงเพียงไม่มากนัก‘ต้นมะพร้าวที่ข้าให้นาง สูงแค่นี้เองหรือ?’ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพวกมันขึ้นจริง ๆหลี่เซิงมองเพื่อนของเขาพลางยิ้มขำ คงจะตกใจไม่น้อย“นี่คือต้นมะพร้าวที่ข้าได้มาจากเจ้า ข้าได้นำมันมาขยายพันธุ์จนเติบโตหมดแล้ว” เขาอธิบายให้ทั้งสองคนฟังหยางฉิงจึงเสริมขึ้น “ที่พวกท่านเห็นอยู่ตรงนี้เป็นผักและผลไม้ที่เจริญเติบโตได้เร็วเมื่ออยู่ในดินที่ดี ข้าปลูกข้าวไม่เป็น จึงเลือกปลูกแต่พืชผักผลไม้ที่ให้ผลตลอดปี อีกทั้งที่บ้านของข้า ดินก็ดีและมีแม่น้ำไหลผ่าน ทำให้สามารถปลูกพวกมันให้มีรสชาติอร่อยได้ แต่ก็ใช่ว่าใครจะปลูกขึ้นง่าย ๆ ทุกอย่างต้องอาศัยการดูแลหลายอย่าง”นางหันไปมองหลี่อี้กับลุงผู้ใหญ
หยางฉิงเหลือบมองหลี่เซิง ก่อนจะหันกลับมาสบตาผู้ใหญ่บ้าน นางพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เพียงแต่ไม่คิดว่าชาวบ้านจะให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนออกหน้ามาเจรจาแทน“แล้วพวกเขาต้องการสิ่งใดหรือ?” นางเอ่ยถามพลางเอียงคอเล็กน้อย “ผลไม้ที่ข้าปลูกมีมากมายนัก พวกเขาสนใจอยากปลูกชนิดไหน? หรือว่าอยากปลูกทั้งหมด?”หลี่จงกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าหยางฉิงในตอนนี้ช่างน่าเกรงขามนัก...“เอ่อ...พวกชาวบ้านอยากได้วิธีปลูกต้นมะพร้าวของเจ้า และอยากขอพันธุ์ต้นมะพร้าวคนละหนึ่งลูก" เขากล่าวเสียงเบา "แต่ถ้าเจ้าลำบากใจก็ไม่เป็นไร...”หลี่เซิงฟังแล้วถึงกับอดทนไม่ไหว เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“เหตุใดชาวบ้านพวกนั้นถึงได้เห็นแก่ตัวเช่นนี้? พวกข้าต้องใช้ความพยายามและความอดทนมากกว่าจะสร้างทุกอย่างขึ้นมาได้ แล้วพวกเขายังอยากให้ข้าช่วยถึงเพียงนี้อีก? ข้าคงให้ไม่ได้!” คำพูดของผู้ใหญ่บ้านในวันนี้ทำให้เขารู้สึกขัดหูนักหยางฉิงเอื้อมมือไปแตะแขนหลี่เซิงเบา ๆ เมื่อหลี่เซิงหันมามอง นางก็ส่ายหน้าให้เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร“ข้ารู้ว่าท่านลุงผู้ใหญ่บ้านเองก็ไม่ได้เต็มใจมาหาข้าเท่าไรนัก หากไม่ใช่เ