Se connecterหลังจากที่ลู่หยวนซีเดินมาถึงหน้าเรือนหลังเล็กตามความทรงจำที่ได้รับมา นางคิดจะผลักประตูหน้าเรือนเข้าไป แต่แล้วก็ได้ยินเสียงไอราวกับจะขาดใจดังแว่วมา ก่อนเสียงตุ๊บ!จะดังขึ้นให้ได้ยิน ร่างบางรีบผลักประตูรั้วเข้าไป ก่อนวิ่งตามเสียงนั้นไปยังห้องเล็กห้องหนึ่งที่อยู่ริมสุดทางเดิน
เมื่อนางผลักประตูเข้าไป กลิ่นเหม็นสายหนึ่งก็โชยออกมาทำเอาลู่หยวนซีต้องรีบยกมือขึ้นปิดจมูก กลิ่นเหม็นภายในห้องนั้นทำให้นางเกือบจะอาเจียน “กลิ่นเหม็นอะไรกันเนี่ย” ร่างบางก้าวเข้าไปในห้องเล็กมืดและเหม็นเน่าก่อนจะสังเกตเห็นบางอย่างนอนอยู่ที่พื้น ร่างผอมแห้งที่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกกำลังคลานมาที่เท้าของนางช้าๆ ลู่หยวนซีเห็นภาพนั้นก็ตกใจจนกรีดร้องออกมาไม่เป็นภาษา “กรี๊ด!!!!ผีหลอก” ยังไม่ทันที่นางจะทันได้วิ่งหนีออกไปจากห้อง เสียงแหบแห้งก็ดังตะคอกกลับมาก่อน “หุบปาก!!แล้วไสหัวออกไปจากห้องนี้ซะ” เสียงที่ได้ยินทำเอาลู่หยวนซีต้องหยุดชะงักไป เขาเป็นคนหรือผีกันแน่ เหตุใดถึงได้ดูดุร้ายเพียงนี้ ร่างบางค่อยๆ หันกลับไปมองช้าๆ แสงที่ส่องลอดจากบานประตูทำให้นางมองเห็นบุรุษที่ผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกนอนอยู่บนพื้นได้อย่างชัดเจน บนใบหน้าของเขามีผ้าสีขาวพันเอาไว้เหลือเพียงจมูกและปากที่โผล่ออกมา ร่างกายส่วนล่างของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยสิ่งปฏิกูลสีเขียวคล้ำ และมันยังส่งกลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง “เขาคงจะไม่ใช่ตัวร้ายคนนั้นหรอกใช่ไหม” ลู่หยวนซีพึมพำออกมาเสียงเบา แต่คนที่นอนอยู่บนพื้นกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน “หูหนวกหรืออย่างไร!! ข้าบอกให้ไสหัวออกไปจากห้องนี้” เสียงดุดันตะคอกนางขึ้นมาอีกครั้ง ลู่หยวนซีได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ คนผู้นี้พูดเป็นอยู่คำเดียวหรือไงนะ ลู่หยวนซีไม่สนใจเขา นางมองออกไปนอกเรือนเวลานี้ดวงอาทิตย์ยังคงลอยเด่นอยู่เหนือท้องฟ้าน่าจะยังพอมีเวลาอยู่ อาบน้ำให้เขาสักหน่อยแล้วกัน ในเมื่อรับงานมาแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุดจะปล่อยให้เขาตายไปได้อย่างไร ลู่หยวนซีไม่สนใจเสียงตะคอกของชายหนุ่ม นางเดินออกจากห้องนั้นและเดินตรงไปยังหลังเรือนที่ที่มีโอ่งดินเผาใส่น้ำเอาไว้ แต่เมื่อนางชะโงกมองลงไป มันกลับว่างเปล่าไม่มีน้ำแม้สักหยด เป็นไปได้ยังไงกันที่นี่เป็นที่ที่คนใช้อยู่อาศัยจริงๆ อย่างนั้นหรือ นางถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะคว้าถังไม้สองถังเดินตรงไปยังลำธารที่ไหลผ่านหมู่บ้าน ผ่านไปนานกว่าที่โอ่งดินเผาทุกใบในเรือนจะเต็ม แม้จะไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าสักเท่าใดทั้งที่เดินไปกลับตั้งหลายเที่ยว แต่ลู่หยวนซีก็แอบพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย มีงานอะไรง่ายๆ สำหรับนางบ้างไหม เจ้าระบบบ้านั่นส่งนางมายังที่ที่แม้แต่น้ำประปาก็ยังไม่มี มันน่านัก ลู่หยวนซีต้มน้ำในห้องครัวเอาไว้หลายถัง ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องเล็กห้องนั้นอีกครั้ง ถึงแม้ชายหนุ่มจะตาบอดและขาพิการมาสองปี แต่หูทั้งสองข้างกลับใช้งานได้อย่างดีเยี่ยมเป็นการตอบแทน หลังจากที่ลู่หยวนซีออกจากห้องไป ร่างผอมแห้งของชายผู้นั้นก็พลิกตัวนอนหงาย เขาจดจำมันได้เป็นอย่างดีเสียงฝีเท้าของหญิงผู้นั้น สาวใช้ที่บ้านใหญ่ส่งมาดูแลเขา แต่ความจริงคือพวกเขาส่งนางมาทรมานตนเองให้ตายไปอย่างช้าๆ ต่างหาก วันนี้เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ เขาได้ยินเสียงนางเดินเข้าออกเรือนพร้อมกับถังน้ำตั้งหลายรอบ หัวของนางคงไม่ได้ถูกลาเตะมากระมัง ถึงได้อยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาทำงานเช่นนี้ สตรีที่ขี้เกียจสันหลังยาวอย่างนางไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่ บางทีเขาคงจะหูฝาดไปเอง ลู่หยวนซีไม่รู้ความคิดของตัวร้ายที่อยู่ในความดูแลของตน นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกก่อนเดินเข้าไปในห้องอีกครั้ง โดยไม่สนใจเสียงโวยวายของอีกฝ่าย แม้เขาจะตัวสูงมากแต่ก็ผอมมากเช่นกัน นางที่ยังเป็นคนปกติทั้งยังมีกำลังมากกว่าเดิมมีหรือจะสู้แรงเขาไม่ได้ “ปล่อยข้านะ!!! สตรีร้ายกาจเช่นเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ อย่าเอามือสกปรกของเจ้ามาแตะตัวข้า” ลู่หยวนซีไม่สนใจเสียงโวยวายของเขา ถึงอย่างไรก็มีเพียงแค่มือเท่านั้นที่เขาสามารถขยับได้ ส่วนท่อนล่างนั้นนิ่งสนิท ร่างบางอุ้มคนที่ตัวสูงกว่าตนลอยติดมือขึ้นมาราวกับร่างของเขานั้นไร้น้ำหนัก แม้เสียงโวยวายจะดังอยู่ข้างหูไม่หยุดแต่นางก็ไม่สนใจ ยังคงพาร่างผอมแห้งเดินไปยังหลังเรือน สถานที่ที่เตรียมเอาไว้สำหรับอาบน้ำให้เขา “น้องๆ ที่บ้านเด็กกำพร้าล้วนผ่านมือข้ามาทั้งนั้น และเจ้าก็จะต้องเป็นรายต่อไป เลิกโวยวายเสียก่อนที่ข้าจะจับเจ้ากดน้ำ” น้ำเสียงเรียบเฉยที่ต่างจากในยามปกติที่มักจะเอ่ยประชดประชันเขา ทำให้กู้จิ่งเหยียนหยุดชะงักไป หญิงผู้นี้ใช่คนเดิมที่เคยอาศัยอยู่ในเรือนเดียวกันกับเขาแน่อย่างนั้นหรือ แม้นำเสียงของนางจะเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างที่เขารู้สึกว่ามันเปลี่ยนไป หลังจากที่นางขู่ว่าจะจับเขากดน้ำกู้จิ่งเหยียนก็เลิกต่อต้านไปทันที เขาต้องการดูว่าสตรีร้ายกาจผู้นี้คิดจะทำสิ่งใดกันแน่ และลู่หยวนซีไม่ปล่อยให้เขาต้องสงสัยนาน นางวางร่างผอมแห้งลงด้านข้างถังไม้ขนาดใหญ่ที่ใส่น้ำอุ่นเอาไว้ ก่อนจะถอดชุดสีขาวที่ยามนี้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองคล้ำส่งกลิ่นเหม็นโชยออกมาที่เขาสวมใส่ออก “นี่!! หยุดเดี๋ยวนี้!! เจ้าคิดจะทำอะไร ปล่อยข้านะ” ลู่หยวนซีถอนหายใจออกมาอย่างรำคาญ แต่มือของนางก็ไม่ได้หยุดทำหน้าที่ของตน แม้มือผอมแห้งของอีกฝ่าจะจับสาบเสื้อเอาไว้แน่น แต่ก็ไม่สามารถต่อต้านพละกำลังของลู่หยวนซีได้เลย “เลิกโวยวายเสียที ข้ากำลังจะอาบน้ำให้เจ้า ไม่รู้ตัวหรืออย่างไรว่าตัวของเจ้ากำลังจะเน่าหมดแล้ว” สิ้นเสียงของนาง กู้จิ่งเหยียนก็ชะงักไปอีกครั้ง เขายอมตายไปเสียตอนนี้เลยยังจะดีกว่าถ้าต้องมาถูกนางหยามเกียรติเช่นนี้ ร่างสูงพยายามต่อต้านจนถึงที่สุด ลู่หยวนซีเห็นว่าเขาคงไม่มีทางยอมง่ายๆ นางจึงฉีกชุดที่เขาใส่ทิ้งเสียเลย แควก!!! นางดึงชุดที่กู้จิ่งเหยียนใส่เอาไว้จนขาดไปทั้งตัว ตอนนี้เหลือเพียงกายเปลือยเปล่าล่อนจ้อนที่มีเพียงหนังหุ้มกระดูก นางไม่ใส่ใจว่าเขาจะอายหรือรู้สึกอะไรหรือไม่ ลู่หยวนซีอุ้มร่างผอมวางลงไปในถังน้ำอุ่นเบาๆ ก่อนเดินไปหยิบสบู่มาเพื่ออาบน้ำให้เขา หลังจากเปลี่ยนน้ำอุ่นไปหลายครั้ง ร่างกายที่เคยเปรอะเปื้อนไปด้วยสิ่งปฏิกูลก็กลับมาสะอาดอีกครั้ง ลู่หยวนซีค่อยๆ แกะผ้าสีขาวที่พันบนใบหน้าของเขาออก เพราะคิดที่จะสระผมให้เขาด้วย แต่แล้วเมื่อนางได้เห็นใบหน้าภายใต้ผ้าพันแผล ลู่หยวนซีถึงกับตกตะลึงจนอ้าปากค้าง มิน่าเล่าเหตุใดเจ้าระบบถึงได้ดูคลั่งไคล้เขาขนาดนั้น ดวงตาสีม่วงภายใต้เรียวคิ้วเข้มหนาที่โก่งรับกับจมูกโด่งเป็นสัน รวมกับใบหน้าคมที่ด้านข้างมองเห็นสันกรามได้อย่างชัดเจน ริมฝีปากบางที่เม้มน้อยๆ แลดูเอาแต่ใจของเขาทำให้เวลานี้นางมิอาจละสายตาได้ ไรหนวดที่ขึ้นเขียวบางๆ ทำให้ใบหน้านั้นดูหล่อเหลาและยั่วยวนในเวลาเดียวกัน ลำคอยาวรับกับลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างพอดี ผิวขาวดูเรียบลื่นของหน้าอกเลยลงไปถึงหน้าท้องแม้จะผอมมากแต่เขาก็ยังคงดูดีอยู่ เขาช่างเป็นชายหนุ่มรูปงามที่หาตัวจับได้ยากเสียจริงลู่หยวนซีมิได้ตอบคำถามของเขา นางพูดเรื่องอื่นขึ้นเพื่อเบี่ยงประเด็นคำถามของเขาออกไป และกู้จิ่งเหยียนรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่นางถนัดนัก เขาที่รู้ทันก็มิได้เปิดโปงหรือเอ่ยเซ้าซี้นางอีก เอาเถอะเอาไว้รอให้นางพร้อมเมื่อใดนางคงจะพูดออกมาเอง“ได้ เรื่องนี้ข้าให้เจ้าตัดสินใจ”ตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ทั้งสองคนพูดคุยกันมากขึ้น กู้จิ่งเหยียนเองก็เหมือนจะเปิดใจให้นางมากกว่าเดิม บางครั้งต่อให้นางยังไม่ได้พูดกับเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายที่เริ่มประโยคสนทนาขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ทำให้ลู่หยวนซีเบาใจลงไม่น้อยเพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางอาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงคุณชายจากจวนขุนนาง หากวันหน้าเขาหายดีนางก็คงจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อเขาอยู่กระมัง“ข้าหิวแล้ว เจ้าทำอาหารง่ายๆ สักสองสามอย่างมาทานด้วยกันดีหรือไม่”กู้จิ่งเหยียนเองก็พยายามเพื่อนางเช่นกัน เขาไม่อยากให้สตรีผู้นี้รู้สึกไม่สบายใจหรือทุกข์ใจ หาอะไรให้นางทำเผื่อว่านางจะลืมเรื่องที่อยู่ในใจไปได้บ้าง“ท่านหิวแล้วหรือเจ้าคะ”ลู่หยวนซีมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเบี่ยงไปอีกด้านเล็
สิ่งที่ระบบยังไม่ทันได้บอกลู่หยวนซีก่อนที่เขาจะหายไปคือ การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเป็นตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่งที่กำลังจะทำให้เนื้อเรื่องในนิยายเปลี่ยนไปลู่หยวนซีพูดคุยกับเฮ่อเหวินเจ๋ออยู่ภายในศาลาหน้าเรือนอยู่นาน นางพยายามพูดวกไปวนมาเพื่อให้เขาลืมเรื่องการรักษาของนาง และก็เป็นไปตามที่ลู่หยวนซีต้องการ เขาไม่เซ้าซี้ถามนางอีกว่าเหตุใดบาดแผลของเขาถึงได้หายดีในชั่วพริบตาแต่กลับมีบุคคลอีกคนหนึ่งที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ภายในห้อง การมาของเฮ่อเหวินเจ๋อเขาสามารถรับรู้ได้ก่อนลู่หยวนซีเสียอีก ฝีเท้าแผ่วเบาที่ก้าวอย่างมั่นคงเข้ามาในลานเรือน เขารู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีวรยุทธกู้จิ่งเหยียนสามารถจดจำเสียงฝีเท้าของบุรุษทั้งหกที่เข้าไปในป่าก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งร่างกายและประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาเฉียบคมขึ้นทุกที ตั้งแต่......ตั้งแต่ที่เขาดื่มเลือดของนางเข้าไป ทุกอย่างที่ผ่านตาของและเสียงทั้งหมดที่ได้ยินเขาสามารถจดจำและรับรู้ได้ไม่ลืม ความรู้สึกนี้มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก“ข้าสั่งให้พักผ่อนเหตุใดถึงได้ยังนั่งคุยกับผู้อื่นอยู่อีก”กู้จิ่งเหยียนเอ่ยออกมาด้วยความหงุดหงิด สตรีผู้นี้ดูแล้วเห
“คุณชายท่าน...มองเห็นข้าหรือเจ้าคะ”กู้จิ่งเหยียนรีบมองไปด้านหน้าเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตน“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ลู่หยวนซีเห็นสายตาที่เขามองไปด้านหน้า นางก็ยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อทดสอบดูว่าเขามองเห็นหรือไม่ แต่ดวงตากู้จิ่งเหยียนไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าคงจะคิดมากไปเอง เห็นดวงตาของคุณชายกลับมาเป็นสีปกติ คิดว่าท่านอาจจะกลับมามองเห็นได้แล้วเสียอีก”ท่าทางของนางทำให้กู้จิ่งเหยียนรู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ ในใจ หรือว่านางเบื่อที่จะดูแลคนพิการอย่างเขาแล้ว ร่างสูงที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางน้อยใจ“เจ้าเหนื่อยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ไม่ต้องดูแลข้าแล้ว พาข้ากลับไปที่เตียงแล้วเจ้าก็ไปพักเถอะ”ลู่หยวนซีมองชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ก็เห็นนั่งเงียบไม่ตอบโต้อะไร พอมาตอนนี้กลับพูดเสียยาวเหยียด ทั้งยังแสดงท่าทางห่วงใยกลัวว่านางจะเหนื่อยอีก คนผู้นี้ยังใช่กู้จิ่งเหยียนคนเดิมอยู่หรือไม่ ท่าทางของเขาช่างดูแปลกตานักลู่หยวนซีไม่กล้าขัดใจคุณชายผู้เอาแต่ใจของนาง หลังจากพาร่างสูงไปส่งยังเตียงนอนในห้องใหญ่ นางก็ออกมาข้างนอกเพื่อยกชามโจ๊กท
“โอ้ย!! หนิงเอ๋อเหตุใดเจ้าถึงทำร้ายข้า”ลู่หยวนซีส่งเสียงหึ!ออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนใช้สายตามองต่ำลงไปยังบัณฑิตชุดขาวที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น“กล้าเอ่ยวาจาล่วงเกินคุณชายของข้า ลองเป็นง่อยดูบ้างเป็นอย่างไร บางทีอาจจะทำให้เจ้าเลิกปากเสียแล้วเอาเวลาไปดูแลขาของเจ้าแทน”เอ่ยจบร่างบางที่แบกชายหนุ่มเอาไว้บนหลังก็เดินจากไป ทิ้งให้บุรุษอีกหกคนที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ตกตะลึงกับการกระทำของนาง สตรีผู้นี้ฝีเท้ารวดเร็วเหลือเกิน ปากไม่พูดแต่กลับตีคนอย่างหน้าตาเฉย ลู่หยวนซีเดินไปได้สักพัก นางก็หันกลับไปมองพรรคพวกอีกหกคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม“พวกท่านไม่ไปหรือ”นางตะโกนถามพวกเขาก่อนออกเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ เฮ่อเหวินเจ๋อและคนของเขาได้สติกลับมาหลังจากเสียงเรียกของนางดังขึ้น ทุกคนรีบก้าวยาวๆ ตามไปเพื่อเดินให้ทันนาง“คุณชายท่านอย่าได้ใส่ใจคำพูดที่ออกมาจากปากเน่าๆ ของเจ้าบัณฑิตนั่นเลยนะเจ้าคะ เมื่อก่อนข้าอาจเลอะเลือนและดูแลท่านได้ไม่ดี แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ข้าสัญญาว่าจะหาทางรักษาท่านให้หายดี ขอเพียงท่านเชื่อมั่นในตัวข้าก็พอ”ลู่หยวนซีเอ่ยเสียงเบากับคนที่นางกำลังแบกเอาไว้บนหลัง ไร้เสียงตอบกลับ
ชายชุดดำที่หายจากอาการตกตะลึง รีบออกคำสั่งให้พวกของตนรีบตามคนทั้งสองไป ลู่หยวนซีออกวิ่งเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นสี่คนที่ใช้วิชาตัวเบาทะยานตามมาได้ กระบี่สีขาววาววับที่สะท้อนแสงแดดส่องกระทบดวงตาของนาง ร่างบางที่แบกกู้จิ่งเหยียนเอาไว้ ด้านหลังหลับตาลงคิดว่าตนเองคงจะหลบการแทงนี้ไม่พ้นแล้วแต่เสียงเคร้ง!!ก็ดังขึ้นข้างหูของนาง อาวุธลับสีนิลลอยกระเด็นไปปักอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป ลู่หยวนซีที่เตรียมใจตายเอาไว้แล้วหรี่ตาขึ้นมองเหตุการณ์ตรงหน้า พบว่าชายชุดดำทั้งสี่ถูกปลิดชีพลงอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของใครบางคน และเมื่อลู่หยวนซีได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“เป็นท่านเองหรือ”กู้จิ่งเหยียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย สายตาจับจ้องไปยังชายร่างสูงใหญ่ในชุดอาภรณ์สีนิลพร้อมกับผู้ติดตามทั้งหก พลางคิดในใจว่านางไปรู้จักกับคนน่าสงสัยเหล่านี้ได้อย่างไร“แม่นางข้าให้คนตามหาเจ้าตั้งหลายวัน หากไม่ได้ยินเสียงร้องของมือสังหารเหล่านั้นคงตามมาที่นี่ไม่ทันการณ์เป็นแน่”ลู่หยวนซียิ้มรับคำพูดของเขาอย่างยินดี นางไม่คิดว่าที่ระบบสั่งให้นางช่วยชีวิตเขา จะทำให้นางได้รับการตอบแทนเป็นความช่วยเ
ลู่หยวนซีถามกู่จิ่งเหยียนอย่างหน้าตาเฉย เมื่อก่อนเขามองไม่เห็นก็แล้วไป แต่ตอนนี้ดวงตาของเขากลับมามองเห็นเป็นปกติแล้วจะให้นางช่วยเรื่องนั้นได้อย่างไร กู้จิ่งเหยียนส่ายหน้าปฏิเสธถึงแม้เขาจะเริ่มรู้สึกปวดเบาขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะปล่อยต่อหน้านางเป็นแน่ ลู่หยวนซีพยักหน้ารับรู้ก่อนวางกระโถนเอาไว้มุมหนึ่งของถ้ำ จากนั้นจึงหันไปล้มตัวลงนอนบนที่นอนของตนที่ปูเอาไว้คนละฟากของกองไฟเสียงลมหายใจที่ดังอย่างสม่ำเสมอทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่านางนั้นได้หลับไปแล้ว กู้จิ่งเหยียนกำลังจะคลานไปที่กระโถนใบนั้นแต่แล้วลู่หยวนซีก็ลุกขึ้นนั่ง นางหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังค้างอยู่ในท่าจับขอบกระโถนเอาไว้ด้วยสายตามึนงง ก่อนจะถามเขาออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงีย“คุณชายท่านปวดเบาหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านไม่ปลุกข้า ข้าเองก็ลืมว่ายังมิได้เปลี่ยนชุดให้ท่านเลย มาเถอะข้าช่วย”กู้จิ่งเหยียนยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากปฏิเสธ ลู่หยวนซีก็ถึงตัวเขาเสียแล้ว ความอับอายที่มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้มันถูกอัดแน่นอยู่ภายในอก นางช่วยเขาถ่ายเบาทั้งยังจับเขาเปลื้องผ้าและเช็ดตัวให้ หญิงผู้นี้ไม่รู้จักคำว่าอายหรืออย่างไร นางเป็นสตรีนะหลังเปลี่ยนชุดให

![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)





