로그인หลังจากจบการแสดงเหล่านักแสดงก็ลงจากเวที พวกเขาจำเป็นต้องออกจากพื้นที่โรงละครก่อนที่ผู้คนที่มาชมการแสดงจะหลั่งไหลกันออกมา ดังนั้นนักแสดงทุกคนจึงต้องออกทางประตูหลัง
เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อจบการแสดงแล้วทั้งเหล่านักแสดงและทีมงานก็จะมีงานเลี้ยงเล็ก ๆ เพื่อเป็นการขอบคุณของผู้จัดและฉลองในความสำเร็จ เป็นที่แน่นอนว่าหยางจื้อเจ๋อเองก็ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย จะขาดเขาไปได้ยังไงในเมื่อเขาเป็นนักแสดงนำที่มีบทบาทสำคัญ
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากโรงละครมากนัก บรรยากาศของงานเลี้ยงเป็นไปอย่างสนุกสนาน งานนี้ทุกคนต่างก็กินดื่มกันอย่างเต็มที่ยกเว้นก็แต่หยางจื้อเจ๋อที่จิบไวน์พอเป็นพิธีเพราะพรุ่งนี้ต้องบินแต่เช้าเพื่อไปถ่ายทำซีรี่ย์ที่เหิงเตี้ยนต่อ
หยางจื้อเจ๋อเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของจีน ตอนนี้อายุสามสิบสองปีแล้ว หากจะเทียบดาราคนอื่นที่อายุน้อยกว่าเขาเองก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่มาก ไม่ใช่แค่เพราะหน้าตาที่หล่อเหลาแต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมาก ตั้งใจทำงานเป็นที่สุดจนผลงานของเขาทุกเรื่องนั้นออกมาดีและเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง เขามีแฟนคลับมากมายเฉพาะแค่ในจีนก็ปาเข้าไปสามสิบกว่าล้านคนแล้ว ไหนจะแฟนคลับที่อยู่ในประเทศอื่น ๆ อีก
"คุณหยางครับ ผมไปเอากระป๋าที่บ้านมาเรียบร้อยแล้วนะครับ คุณหยางจะไปที่โรงแรมตอนนี้เลยไหม" ผู้จัดการส่วนตัวของหยางจื้อเจ๋อบอกกับเขา
เนื่องจากวันนี้งานเลี้ยงคงจะเลิกดึกชายหนุ่มจึงคิดว่าจะไปพักที่โรงแรมใกล้ ๆ กับสนามบิน พรุ่งนี้เช้าจะได้เดินทางง่าย ๆ อีกอย่างเขาเองก็จะได้มีเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ด้วย ดังนั้นจึงทำการเก็บกระเป๋าไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วให้ผู้จัดการไปเอาหลังจากที่เขาแสดงเสร็จ
นักแสดงหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาก็พบว่านี่เป็นเวลาสามทุ่มกว่า "ยังหรอกพี่เหว่ย เดี๋ยวอยู่ในงานต่อสักพัก กลับเร็วเกินไปมันน่าเกลียด"
"ถ้าอย่างนั้นพี่กลับก่อนนะครับ คุณหยางดูแลตัวเองด้วยอย่าดื่มเยอะล่ะ พรุ่งนี้เจอกันที่สนามบิน"
ผู้จัดการบอกพลางลุกจากเก้าอี้ อู๋เหว่ยต้องรีบกลับเพราะว่าทั้งวันตัวเองมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานเลยยังไม่ได้เก็บของ เขาเองก็ต้องบินไปกับเจ้านายในวันพรุ่งนี้ด้วยเพราะว่ามีเรื่องเอกสารสัญญาที่ต้องเซ็นต์กับผู้สร้าง
"ครับ พรุ่งนี้เจอกันครับพี่" หยางจื้อเจ๋อตอบ
หยางจื้อเจ๋ออยู่ต่อให้งานเลี้ยงสักพัก ในระหว่างที่อยู่นั้นก็มีผู้ใหญ่หลายคนเข้ามาพูดคุยกับเขาเพื่อทาบทามให้เขาเล่นเป็นพระเอกในซีรี่ย์เรื่องที่พวกเขาจะสร้างต่อไป เขาเองก็พูดคุยกับผู้จัดพวกนั้นด้วยความยินดีแต่ว่าจะรับเล่นหรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง เขาเป็นคนที่เลือกบทมาก เขาจะไม่เล่นเรื่องนั้น ๆ เพราะเพียงแค่เป็นซีรี่ย์แนวที่เป็นกระแสแต่เขาจะรับเล่นก็ต่อเมื่อบทนั้นน่าสนใจ ท้าทาย และสามารถทำให้เขาพัฒนาฝีมือทางด้านการแสดงให้ดีขึ้นได้จริง ๆ
เขาขอตัวกลับก่อนงานเลี้ยงเลิกเล็กน้อย นี่ก็เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้วหากกลับดึกว่านี้เกรงว่าคงพักผ่อนไม่เต็มที่ เมื่อกล่าวลาทุกคนเสร็จก็เดินมาขึ้นรถตู้ของตัวเอง ลุงเถียนคนขับรถสตาร์ทเครื่องรออยู่แล้ว
"ไปโรงแรมเลยใช่ไหมครับ" ลุงเถียนถามหลังจากที่หยางจื้อเจ๋อขึ้นมาบนรถ
"ครับลุงเถียน ไม่ต้องแวะที่ไหนแล้ว" ชายหนุ่มตอบ
จากนั้นลุงเถียนก็ไม่รอช้ารีบขับรถออกจากโรงแรมทันที เมื่อรถออกมาแล้วก็มีรถเก๋งอีกสี่ห้าคันขับตามมา เป็นเรื่องปกติที่หยางจื้อเจ๋อมักจะเจอ พวกที่ขับรถตามมานี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกซาแซงที่อยากได้รูปได้ข้อมูลของเขา พวกนี้จะตามติดแทบจะตลอดเวลาทั้งตอนทำงาน ตอนกินข้าว ตอนไปไหนมาไหนหรือแม้กระทั่งตอนกลับบ้าน กล่าวได้ว่ารูปถ่ายของหยางจื้อเจ๋อหากพวกเขาสามารถถ่ายมาได้ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็สามารถขายได้ทุกใบ
"เมื่อไหร่พวกเขาจะหยุดตามผมสักทีนะ ไม่เหนื่อยกันหรือยังไง" หยางจื้อเจ๋อบ่นให้ลุงเถียนฟัง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาบ่นแบบนี้ เพราะเจอมาแทบทุกครั้งจนชีวิตแทบไม่เป็นอันทำอะไร บางครั้งงานของเขาก็ถึงกับสะดุดเมื่อมีคนพวกนี้มาขวางทำให้เขาตกเครื่องบ้าง รถของเขาไม่สามารถออกจากพื้นที่ได้บ้าง ทำเอาทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวปั่นป่วนไปหมด แต่เขาก็ไม่เคยว่าเลยสักครั้ง
"คิดในแง่ดีครับคุณหยาง อย่างน้อยพวกเขาตามมาก ๆ คุณหยางก็ยิ่งดังขึ้น" ลุงเถียนบอกอย่างอารมณ์ดี
"อยู่กับลุงนี่ผมสดใสขึ้นเยอะเลยนะ ไม่ว่าเรื่องอะไรลุงก็มองในแง่ดีไปหมด" หยางจื้อเจ๋อว่า
ลุงเถียนหัวเราะเล็กน้อย "มองในแง่ดีไว้ก่อนดีกว่ามองในแง่ร้ายนะครับ”
เมื่อเป็นดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดังมีแฟนคลับมากมาย แต่ว่าทุกอย่างเมื่อมีบวกก็ต้องมีลบ มีขาวก็ต้องมีดำ เขาเองก็เช่นกัน เขาไม่ได้มีแต่แฟนคลับดีดีที่ติดตามผลงานของเขาเท่านั้น เขายังมีพวกแอนตี้ที่คอยจะเล่นงานเขาด้วย บางคนถึงขั้นไม่ชอบเขาเอามาก ๆ อิจฉา อยากทำลายชีวิตของเขา แต่เขาไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเพราะไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นอันทำมาหากินแน่
ต่อให้เขาไม่สนใจก็จริงแต่พวกแอนตี้พวกนี้ก็ยังรังควานอยู่ อย่างเช่นวันนี้มีรถเก๋งหนึ่งคันที่กำลังตามมา
ลุงเถียนขับรถในระดับความเร็วที่ค่อนข้างเร็วพอสมควรเพราะเวลาทุกวินาทีของเจ้านายนั้นมีค่า และนี่ก็เลยเวลาเที่ยงคืนแล้วสมควรเป็นเวลาพักผ่อนดังนั้นลุงเถียนจึงเร่งความเร็วขึ้นอีกเพื่อที่จะให้ถึงโรงแรมเร็ว ๆ แต่ว่าจากเดิมที่ถนนโล่งก็ปรากฏรถเก๋งคันหนึ่งวิ่งแซงขึ้นมา
รถทั้งสองคันขับอยู่ไล่เรี่ยกันสักพัก ลุงเถียนเริ่มรู้สึกแปลกใจว่าทำไมรถเก๋งคันนี้ถึงไม่แซงไปสักทีเอาแต่ขับหยั่งเชิงกับเขาอยู่ได้
"คุณหยางครับ รถเก๋งคันที่อยู่ข้าง ๆ นี่ดูแปลก ๆ นะครับ จะใช่พวกซาแซงหรือเปล่า" ลุงเถียนถาม
"ช่างมันเถอะลุงเถียน เขาอยากตามก็ปล่อยให้เขาตามไป เดี๋ยวเราถึงที่เขาก็กลับไปเองแหละ" หยางจื้อเจ๋อบอก ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าไม่ได้กังวลอะไรเพราะเจอเรื่องแบบนี้มาจนชินแล้ว
"ลุงว่ามันไม่ใช่แค่ตามแล้วนะครับ แต่ว่า…เฮ้ย!" ลุงเถียนพูดยังไม่ทันจบก็ต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
อยู่ดี ๆ รถเก๋งคันนั้นก็หักเลี้ยวขวากระทันหันเข้ามาปาดหน้ารถตู้ของหยางจื้อเจ๋อ ลุงเถียนตกใจมากจึงหักรถเลี้ยว รถตู้วิ่งลงข้างทางด้วยความเร็วสูง ลุงเถียนไม่สามารถควบคุมรถได้ทำให้รถพุ่งไปชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างทางเข้าอย่างจัง
เสียงโครมดังสนั่นลุงเถียนที่เป็นคนขับถูกถุงลมนิรภัยยันตัวเอาแต่ด้วยแรงกระแทกทำให้ด้านหน้าของรถตู้บุบเข้ามาทับขาลุงเถียนจนไม่สามารถเอาตัวเองออกมาจากรถได้ ด้วยความที่ยังมีสติอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมาจะถามหยางจื้อเจ๋อว่าเป็นยังไงบ้างแต่ภาพที่อยู่ต่อหน้าก็ทำเอาลุงเถียนหัวใจสลายลงตรงนั้น
ตรงหน้าเป็นร่างของหยางจื้อเจ๋อที่เต็มไปด้วยเลือดนอนอยู่บนกระโปรงรถส่วนที่ติดกับต้นไม้ แรงกระแทกในการชนนั้นแรงมากจนหยางจื้อเจ๋อที่นั่งอยู่เบาะหลังคนขับกระเด็นทะลุกระจกหน้าออกมาแล้วกระแทกเข้ากับต้นไม้อย่างแรง ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรเพราะลุงเถียนเองก็ไม่สามารถขยับไปช่วยเจ้านายได้
"คุณหยางครับ ได้ยินผมไหม"
หยางจื้อเจ๋อไม่ตอบ ไม่เพียงแต่ไม่มีเสียงตอบเท่านั้นแต่ว่าไม่มีสัญญาณใด ๆ ส่งมาจากตัวเขาเลย
รถฉุกเฉินมาถึงนำพาเอาร่างของหยางจื้อเจ๋อไปโรงพยาบาล ตอนที่เอาเขาขึ้นรถไปนั้นยังมีลมหายใจอยู่แต่ว่าก็รวยรินเต็มที โรงพยาบาลอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณหนึ่ง พยาบาลที่อยู่บนรถพยายามช่วยเขาอย่างเต็มที่เพื่อที่จะยื้อชีวิตเขาไว้ก่อนที่จะถึงมือหมอ แต่ก็ไม่สามารถยื้อเอาไว้ได้เมื่อเขาหมดลมหายใจอยู่บนรถฉุกเฉินไปแล้ว
ตอนพิเศษ 3 เจ้าก้อนแป้งอีกสามก้อน เมื่อฟางหนิงฮวาตรวจพบว่าตนเองตั้งครรภ์อีกครั้ง เซียวป๋อเหวินถึงกับยิ้มไม่หุบตลอดทั้งวัน เขาหวังไว้อย่างแรงกล้าว่าครั้งนี้จะได้ลูกสาวสักคน คนที่มีใบหน้าอ่อนหวานเหมือนภรรยา เดินเตาะแตะมาตบไหล่เขาเรียก “ท่านพ่อ” เสียงใสเหมือนระฆังเงิน ความฝันนั้นทำให้เขาเพ้อไปไกลถึงขั้นนั่งวางแผนจะสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ สีชมพูไว้ข้างจวน แยกจากเรือนใหญ่ให้ลูกสาวอยู่โดยเฉพาะแต่แล้ววันคลอดก็มาถึง ท่ามกลางความตื่นเต้นของทั้งบ้าน เสียงเด็กร้องแหลมสูงดังลั่นห้องคลอดไม่ใช่เพียงหนึ่ง แต่ถึงสองเสียงติดกัน แม่เฒ่าหลิวที่ทำหน้าที่เป็นหมอตำแยถึงกับตะโกนลั่นด้วยความประหลาดใจ“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินคลอดบุตรชายฝาแฝดเจ้าค่ะ”เซียวป๋อเหวินที่ยืนรอฟังอยู่นอกห้องถึงกับยืนนิ่งไปพักหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งดีใจและผิดหวังในเวลาเดียวกัน เขาได้ยินเสียงเด็กร้องสองคน ใจหนึ่งก็ปลื้มใจที่ได้ลูกชา
ตอนพิเศษ 2 แขกผู้มาเยือน เซียวป๋อเหวินควบม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าห้องเต้ ส่วนรถม้านั้นเคลื่อนตัวเข้ามายังประตูหน้าของจวนตระกูลเซียว จวนที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้แม่ทัพเซียวป๋อเหวินเป็นกรณีพิเศษเพื่อเป็นเกียรติในความชอบ ความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินฟางหนิงฮวาอุ้มเซียวจ้านลงจากรถม้า สายตากวาดมองจวนหลังใหญ่เบื้องหน้า ตัวอาคารโอ่อ่า แฝงกลิ่นอายของตระกูลขุนนางชั้นสูง ผนังปูนสีขาวสลับไม้สักแดงสนิท ประตูใหญ่ตั้งตระหง่าน เสาหินแกะสลักลวดลายมังกรรายเรียงอย่างสง่างามทว่าทันทีที่สายตาของนางเหลือบไปทางหน้าประตูจวนนางก็ต้องขมวดคิ้วทันทีหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมสีม่วงอ่อนยืนรออยู่หน้าจวน ใบหน้างามสง่าแลดูอ่อนวัย เรือนผมดำขลับถูกรวบไว้เรียบร้อยด้วยปิ่นทองรูปผีเสื้อ ชุดแต่งกายบ่งบอกถึงฐานะไม่ธรรมดา นางยืนสงบตรงนั้นราวกับกำลังเฝ้ารอใครสักคนมาเนิ่นนานเมื่อหญิงสาวเห็นฟางหนิงฮวาและเด็กน้อยเดินเข้ามา นางก็ยิ้มบางแล้ว
ตอนพิเศษ 1 เดินทางกลับเมืองหลวง ยามเช้าตรู่ของฤดูใบไม้ผลิ อากาศเย็นสบายท่ามกลางหมอกจาง ๆ ที่ลอยอยู่เหนือพื้นดิน เซียวป๋อเหวิน ฟางหนิงฮวา และเซียวจ้านน้อย บุตรชายวัยห้าขวบของพวกเขา กำลังออกเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างช้า ๆ ด้วยรถม้าที่มีธงเครื่องหมายตระกูลกองทัพรักษาดินแดนเหนือประดับอยู่ข้างตัวรถหลังจากได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้พักผ่อนสักระยะ ก่อนจะกลับไปรับตำแหน่งในราชสำนัก เซียวป๋อเหวินจึงตัดสินใจพาภรรยาและบุตรชายเดินทางอย่างไม่รีบร้อน แวะพักตามเมืองต่าง ๆ เพื่อให้ลูกชายได้เรียนรู้โลกกว้างและให้ตนเองได้พักใจจากความวุ่นวายที่ผ่านมารถม้ามาถึงเมืองซีเป่ย เมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอวิ๋นเผิง ทิวทัศน์โดยรอบงดงามด้วยภูเขาสีเขียวที่ทอดยาวกับแม่น้ำใสสะอาด เซียวป๋อเหวินเคยมาเยือนเมืองนี้เมื่อครั้งที่เขาวางแผนรบกับพวกเฮยจั้ง เห็นว่าทิวทัศน์ที่นี่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจยิ่งนักเลยชวนภรรยากับบุตรชายพักค้างคืนกันสักคืนสองคืน“หน
บทที่ 55 ข่าวดีอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงของอาวุธทกระทบกันที่เกิดจาการซ้อมรบในค่าย นายทหารส่งสารผู้หนึ่งขี่ม้าวิ่งเข้ามาในค่ายด้วยความเร็วสูงก่อนที่จะหยุดลงที่หน้ากระโจมบัญชาการของท่านแม่ทัพ เซียวจ้านวัยห้าขวบเห็นม้าวิ่งมาจนฝุ่นตลบก็ตื่นเต้นดีใจ คิดว่าต้องมีเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างเช่นข้าศึกบุกมาอย่างแน่นอน เมื่อทหารส่งสารผู้นั้นขออนุญาตเข้ามาในกระโจมเขาก็มองจดหมายในมือของนายทหารผู้นั้นไม่วางตา “มีคำสั่งจากวังหลวงขอรับท่านแม่ทัพ” นายทหารผู้นั้นยื่นจดหมายในมือให้กับเซียวป๋อเหวิน เซียวป๋อเหวินรับจดหมายนั่นมาก่อนจะเปิดดู เขากวาดสายตาอย่างรวดเร็วอ่านจดหมายนั้น เมื่ออ่านจบก็ถึงกับยิ้มขึ้นมา “มีอะไรหรือเจ้าคะท่านพี่ เป็นเรื่องดีใช่หรือไม่” ฟางหนิงฮวาถาม&nbs
บทที่ 54 แม่ทัพน้อย หลายเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟางหนิงฮวาผู้เคยสง่างามบัดนี้มีท้องนูนโต เดินเหินลำบาก แม้จะพยายามรักษาท่าทีให้สงบงดงามเหมือนเดิมแต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าเซียวป๋อเหวินที่ครั้งหนึ่งเคยคร่ำเคร่งอยู่ในสนามรบ บัดนี้กลับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นสามีผู้เฝ้าดูแลภรรยาไม่ห่าง สายตาเขาอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่อนุญาตให้นางทำอะไรหนักเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ยื่นมือไปหยิบน้ำชาเองเขายังรีบเข้ามาช่วย“เหนื่อยหรือไม่” เขามักจะถามทุกครั้งที่เห็นนางลูบท้องเบา ๆฟางหนิงฮวาเพียงยิ้มจาง ๆ พลางตอบเสียงเบา “ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ เพียงแต่หิวบ่อยไปหน่อย”“หิวหรือ ข้าจะไปสั่งให้แม่ครัวต้มโจ๊กให้เดี๋ยวนี้” ไม่รอคำตอบเขาก็ลุกขึ้นแล้วออกไปทันทีฟางหนิงฮวามองตามแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างซาบซึ้ง หัวใจอบอุ่นทุกครั้งที่เห็นเขาเป็นห่วงตนถึงเพียงนี้วันเวลาผ่านไปจนกร
บทที่ 53 คืนเข้าหอที่รอคอย หลังจากที่ดื่มกับเหล่าทหารพอหอมปากหอมคอแล้วเซียวป๋อเหวินก็กลับเข้ามาที่จวน เพราะสิ่งที่เขารอคอยอยู่ตรงหน้านั้นสำคัญยิ่งกว่าการการดื่มฉลองเป็นไหน ๆ เจ้าสาวของเขายังคงนั่งรออยู่ในห้องหอ รอให้เข้าไปเปิดผ้าคลุมหน้าและครองรักชื่นมื่นกันภายใต้ห้องหอที่มีเพียงแต่พวกเขาสองคน เซียวป๋อเหวินกระโดดลงจากหลังม้าแล้วมุ่งตรงไปยังห้องหอทันที เขาจินตนาการถึงใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวอันเป็นที่แล้วก็อดไม่ไหวที่จะเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงห้องหอโดยเร็ว เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามทีก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดประตูเข้ามา เข้าก้าวเท้าเข้ามาอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะปิดประตูลงอย่างแผ่วเขาเช่นกัน “รอนานหรือไม่” เขาเอ่อยถาม &ldquo







