LOGINที่โรงละครผู้คนก็ยังเนืองแน่นกันอยู่เพราะการทยอยออกจากโรงละครนั้นต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง ระหว่างที่รอเดินออกไปนั้นพวกเขาต่างก็พากันกล่าวถึงละครเวทีเรื่องนี้กันอย่างออกรส บ้างก็กล่าวชื่นชมว่าทีมผู้จัดสามารถรังสรรค์ละครเวทีในครั้งนี้ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม บ้างก็ว่านักแสดงที่มาแสดงละครเวทีในครั้งนี้มีแต่นักแสดงที่มีคุณภาพทำให้ละครเวทีเรื่องนี้ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ ซูเฟยเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน
ซูเฟยนั่งอยู่โซนที่ติดกับเวทีมากที่สุดซึ่งค่อนข้างไกลจากทางออกจึงไม่ได้รีบร้อนเท่าไร เธอยังคงนั่งรอให้คนอื่นออกไปให้หมดก่อนจากนั้นจึงค่อยออกไปเป็นคนสุดท้าย ระหว่างที่นั่งรอก็นั่งมองรูปของหยางจื้อในโทรศัพท์มือถือไปด้วย ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกชื่นชม ยิ่งรักเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
ออกมาโรงละครมาซูเฟยก็มานั่งทานอาหารที่ร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่ง จนถึงเวลาดึกแล้วจึงได้เรียกแท็กซี่กลับบ้าน ไกลจากร้านอาหารพอสมควรก็พบเห็นว่าข้างทางมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น มีซากรถตู้สีดำคันหนึ่งชนอัดเข้ากับต้นไม้จนหน้ารถบุบบู้บี้ไปหมด ทว่าคนเจ็บถูกนำไปส่งโรงพยาบาลแล้ว ที่เกิดเหตุจึงเหลือเพียงแต่ซากรถและเจ้าหน้าที่ที่กำลังเคลียร์พื้นที่ภายในเทปที่ล้อมสถานที่เอาไว้ อีกทั้งยังไม่มีคู่กรณี
เมื่อวิเคราะห์จากภาพที่อยู่ตรงหน้าซูเฟยก็คิดว่าอาจจะเป็นอุบัติเหตุจำพวกสนัขวิ่งตัดหน้าอะไรประมาณนี้คงไม่น่าจะใช่อุบัติเหตุใหญ่อะไร แต่เธอหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้มาก
"เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณลุง ขามาคุณลุงได้ผ่านทางนี้ไหม" ซูเฟยถามลุงคนขับแท็กซี่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเผื่อว่าเขาอาจจะรู้อะไรบ้าง
"ลุงก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ดูจากลักษณะการชนแล้วคนขับน่าจะหักหลบอะไรสักอย่างถึงได้ไปชนต้นไม้เข้า แต่ตอนขามาลุงเห็นเขาเอาคนเจ็บขึ้นรถพยาบาลไปแล้วน่าจะไม่เป็นอะไรหรอก" ลุงคนขับแท็กซี่ตอบ
“มีคนเจ็บเยอะไหมคะ” หญิงสาวถามอีก
“อืม” ลุงคนขับแท็กซี่ครุ่นคิดเล็กน้อย “ตอนที่ลุงมาลุงเห็นเขาเอาขึ้นรถฉุกเฉินไปคนเดียวนะ สงสัยคนอื่น ๆ คงไม่เป็นอะไรมากมั้ง”
"อย่างนั้นก็ดีแล้วค่ะ ขอให้พวกเขาไม่เป็นอะไร" ซูเฟยพูด
“ขอให้พวกเขาปลอดภัยก็แล้วกันนะ” ลุงคนขับแท็กซี่กล่าวเช่นกัน
ซูเฟยถึงบ้านจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วนึกครึ้มอกครึ้มใจเปิดทีวีดู ปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยดูทีวีสักเท่าไรแต่ทว่าวันนี้มีความสุขมากเป็นพิเศษจึงได้อยากทำอะไรครึกครื้นบ้าง เธอส่งข้อความเรียกเสี่ยวปิงให้มากินเบียร์เป็นเพื่อนกันที่ห้อง แต่เสวี่ยวปิงก็ส่งข้อความกลับมาว่าคืนนี้ไม่ว่างขอเป็นวันหลังก็แล้วกัน ซูเฟยจึงไม่ได้คะยั้นคะยอน้องสาวคนนี้แต่อย่างใดเพียงแต่เดินไปหยิบเบียร์จากในตู้เย็นมากระป๋องหนึ่งแล้วนั่งลงซดเบียร์ไปด้วยดูทีวีไปด้วย
แต่สิ่งที่เห็นในทีวีก็ถึงกับทำเอากระป๋องเบียร์ที่อยู่ในมือของซูเฟยหลุดลงพื้น เมื่อข่าวที่กำลังปรากฏขึ้นบนจอนั้นเป็นภาพของรถตู้คันที่พุ่งชนต้นไม้ที่อยู่ระหว่างทางตอนที่ซูเฟยกำลังนั่งรถกลับมาที่บ้าน ที่มุมบนซ้ายของจอทีวีปรากฏใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งแล้วผู้ประกาศข่าวก็บอกว่าเขาเสียชีวิตแล้ว
ใบหน้าที่ปรากกอยู่บนจอทีวีนั้นก็คือหยางจื้อเจ๋อ ซูเฟยนั่งตัวแข็งค้างอยู่อย่างนั้น ไม่คิดไม่ฝันว่าอุบัติเหตุเมื่อสักครู่นี้จะเป็นเขาและก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุที่ร้ายแรงถึงขนาดนี้ เธอโกรธแค้นซาแซงคนที่ขับรถปาดหน้านักแสดงในดวงใจของเธอเป็นอย่างมาก แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อตัวเองก็ไม่ได้มีอำนาจจะไปจัดการอะไรคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจไป
เบียร์ที่พื้นไหลนองจนมาถึงเท้า แต่ทว่ากลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอะไรทั้งนั้น ตอนนี้จิตใจของซูเฟยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว น้ำตาไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง ความรู้สึกเสียใจมันถาโถมมาเสียยิ่งกว่าคลื่นทะเลที่ซัดเข้าสู่ชายหาดเสียอีก
จากนั้นทั้งคืนก็มีแต่เสียร้องไห้ของหญิงสาว เธอร้องไห้ฟูมฟายจนเหมือนกับคนไม่ได้สติ การจากไปของหยางจื้อเจ๋อในครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนขาดคนที่เป็นที่พึ่งหรือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไป เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเธอยึดถือเอาเขาเป็นไอดอลมาตลอด เมื่อไอดอลจากไปแล้วจึงทำให้เสียใจและรู้สึกเคว้งคว้าง
คนที่ไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้องสักคนอย่างเธอมีชีวิตอยู่มาอย่างลำบาก ตั้งแต่เล็กจนโตในช่วงเวลาที่ทุกข์ยากจะหากำลังใจจากใครสักคนยังไม่มี เมื่อได้มาเป็นแฟนคลับของหยางจื้อเจ๋อเธอก็รู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้ส่งพลังบวกให้เธอเสมอ ถึงแม้จะไม่เคยพบกันจริง ๆ ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง แต่ผู้ชายคนนี้ก็ทำให้เธอมีความสุขได้ เขามักจะให้กำลังใจแฟนคลับของเขาเสมอ และอีกอย่างคือความคิดและทัศนคติของเขาจะช่วยจุดประกายความตั้งใจในตัวของแฟนคลับทุกคน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ชื่นชอบเขาเพียงเพราะเขาเป็นศิลปินแต่สำหรับเธอแล้วเขาเป็นพลังในการมีชีวิตต่อไป
เธอคิดว่าจะขอเวลาทำใจสักพักจึงจะส่งอีเมลไปลางานเพราะตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาติดต่อกับใครจริง ๆ จนเวลาผ่านไปสองสามวันเธอก็ยังทำใจไม่ได้ ซูเฟยเศร้าเสียใจจนถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ หลายวันเข้าร่างกายก็ทนไม่ไหวจนถึงกับหมดสติไป
'พี่ซูเฟย วันนี้ร้านปิดเร็วฉันซื้อเบียร์ไปกินที่ห้องพี่นะ' เสียงข้อความดังขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือ เป็นข้อความของเสี่ยวปิงนั่นเอง
วันนี้ที่ร้านปิดเร็วเป็นพิเศษเพราะว่าวัตถุดิบขาดตลาดจึงขายได้แค่ไม่กี่เมนูเท่านั้น เถ้าแก่เจียงเจ้าของร้านเห็นว่าไม่คุ้มค่าที่จะเปิดร้านนานจึงได้ให้พนักงานทุกคนกลับบ้านเร็วได้ ส่วนซูเฟยที่ลาหลายวันเพราะไม่สบายเขาก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรเพียงแค่ให้เธอรักษาตัวให้หายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน
นี่ไม่ใช่ข้อความแรกที่เสี่ยวปิงส่งมาในสองสามวันมานี้ เมื่อวานกับเมื่อวันก่อนเธอก็ส่งข้อความมาเหมือนกันทว่าซูเฟยไม่ได้ตอบ เธอจึงคิดไปว่าพี่สาวคนนี้คงจะไม่สบายจริง ๆ จึงไม่อยากรบกวน แต่นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้วหากไม่เข้าไปดูสักหน่อยก็กลัวว่าซูเฟยจะเป็นอะไรไป
เวลาผ่านไปห้านาทีแต่ซูเฟยก็ยังไม่ส่งข้อความตอบกลับมา เสี่ยวปิงที่อยู่บนรถไฟฟ้าตอนนี้ร้อนใจแล้วกลัวว่าซูเฟยจะไม่สบายหนัก นี่ถึงขนาดไม่ตอบข้อความถึงสามวันติดคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วแน่ ๆ เธอจึงตัดสินใจส่งข้อความไปอีกครั้ง
'พี่ซูเฟย พี่เป็นอะไรหรือเปล่า ไหวไหม ทำไมไม่ตอบข้อความฉันเลย'
เวลาผ่านไปอีกห้านาทีก็ไม่มีข้อความตอบกลับมาอีกเช่นกัน
เสี่ยวปิงร้อนใจมากเมื่อรถไฟฟ้าถึงสถานีที่หมายแล้วก็รีบวิ่งออกไปทันทีแล้วมุ่งตรงไปยังตึกที่เป็นบ้านของซูเฟย มาถึงแล้วก็เคาะประตูอยู่พักใหญ่ทว่าไม่มีเสียงตอบรับ
เมื่อร้อนใจจนทนไม่ไหวจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากนิติบุคคลที่ชั้นล่าง เธอเล่าทุกอย่างให้เจ้าหน้านิติบุคคลฟังว่าติดต่อซูเฟยไม่ได้มาสามวันแล้ว พวกเขาจึงเปิดดูกล้องวงจรปิดปรากฏว่าตั้งแต่วันที่ซูเฟยกลับมาจากดูละครเวทีก็ไม่ได้ออกไปไหนอีกเลย ทุกคนในที่นั้นจึงร้อนใจรีบหากุญแจไปเปิดห้องของเธอทันที
พอเปิดเข้าไปแล้วก็เป็นไปตามคาดซูเฟยนอนซมไม่ได้สติอยู่บนโซฟา ลมหายใจแผ่วเบามากไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้มากี่วันแล้ว เจ้าหน้าที่นิติบุคคลรีบโทรเรียกรถพยาบาลมาโดยด่วน
ซูเฟยเข้าห้องฉุกเฉินไปตั้งนานสองนานแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา หมอเองก็พยายามช่วยอย่างเต็มที่ เธอยังคงมีลมหายใจอยู่และหัวใจก็ยังคงเต้น แต่ทว่าร่างกายกลับไม่ปฏิกิริยาการเคลื่อนไหวใด ๆ อีก เธอหลับไปทั้งที่ในมือยังกำรูปของนักแสดงหนุ่มไว้แน่น
ตอนพิเศษ 3 เจ้าก้อนแป้งอีกสามก้อน เมื่อฟางหนิงฮวาตรวจพบว่าตนเองตั้งครรภ์อีกครั้ง เซียวป๋อเหวินถึงกับยิ้มไม่หุบตลอดทั้งวัน เขาหวังไว้อย่างแรงกล้าว่าครั้งนี้จะได้ลูกสาวสักคน คนที่มีใบหน้าอ่อนหวานเหมือนภรรยา เดินเตาะแตะมาตบไหล่เขาเรียก “ท่านพ่อ” เสียงใสเหมือนระฆังเงิน ความฝันนั้นทำให้เขาเพ้อไปไกลถึงขั้นนั่งวางแผนจะสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ สีชมพูไว้ข้างจวน แยกจากเรือนใหญ่ให้ลูกสาวอยู่โดยเฉพาะแต่แล้ววันคลอดก็มาถึง ท่ามกลางความตื่นเต้นของทั้งบ้าน เสียงเด็กร้องแหลมสูงดังลั่นห้องคลอดไม่ใช่เพียงหนึ่ง แต่ถึงสองเสียงติดกัน แม่เฒ่าหลิวที่ทำหน้าที่เป็นหมอตำแยถึงกับตะโกนลั่นด้วยความประหลาดใจ“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินคลอดบุตรชายฝาแฝดเจ้าค่ะ”เซียวป๋อเหวินที่ยืนรอฟังอยู่นอกห้องถึงกับยืนนิ่งไปพักหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งดีใจและผิดหวังในเวลาเดียวกัน เขาได้ยินเสียงเด็กร้องสองคน ใจหนึ่งก็ปลื้มใจที่ได้ลูกชา
ตอนพิเศษ 2 แขกผู้มาเยือน เซียวป๋อเหวินควบม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าห้องเต้ ส่วนรถม้านั้นเคลื่อนตัวเข้ามายังประตูหน้าของจวนตระกูลเซียว จวนที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้แม่ทัพเซียวป๋อเหวินเป็นกรณีพิเศษเพื่อเป็นเกียรติในความชอบ ความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินฟางหนิงฮวาอุ้มเซียวจ้านลงจากรถม้า สายตากวาดมองจวนหลังใหญ่เบื้องหน้า ตัวอาคารโอ่อ่า แฝงกลิ่นอายของตระกูลขุนนางชั้นสูง ผนังปูนสีขาวสลับไม้สักแดงสนิท ประตูใหญ่ตั้งตระหง่าน เสาหินแกะสลักลวดลายมังกรรายเรียงอย่างสง่างามทว่าทันทีที่สายตาของนางเหลือบไปทางหน้าประตูจวนนางก็ต้องขมวดคิ้วทันทีหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมสีม่วงอ่อนยืนรออยู่หน้าจวน ใบหน้างามสง่าแลดูอ่อนวัย เรือนผมดำขลับถูกรวบไว้เรียบร้อยด้วยปิ่นทองรูปผีเสื้อ ชุดแต่งกายบ่งบอกถึงฐานะไม่ธรรมดา นางยืนสงบตรงนั้นราวกับกำลังเฝ้ารอใครสักคนมาเนิ่นนานเมื่อหญิงสาวเห็นฟางหนิงฮวาและเด็กน้อยเดินเข้ามา นางก็ยิ้มบางแล้ว
ตอนพิเศษ 1 เดินทางกลับเมืองหลวง ยามเช้าตรู่ของฤดูใบไม้ผลิ อากาศเย็นสบายท่ามกลางหมอกจาง ๆ ที่ลอยอยู่เหนือพื้นดิน เซียวป๋อเหวิน ฟางหนิงฮวา และเซียวจ้านน้อย บุตรชายวัยห้าขวบของพวกเขา กำลังออกเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างช้า ๆ ด้วยรถม้าที่มีธงเครื่องหมายตระกูลกองทัพรักษาดินแดนเหนือประดับอยู่ข้างตัวรถหลังจากได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้พักผ่อนสักระยะ ก่อนจะกลับไปรับตำแหน่งในราชสำนัก เซียวป๋อเหวินจึงตัดสินใจพาภรรยาและบุตรชายเดินทางอย่างไม่รีบร้อน แวะพักตามเมืองต่าง ๆ เพื่อให้ลูกชายได้เรียนรู้โลกกว้างและให้ตนเองได้พักใจจากความวุ่นวายที่ผ่านมารถม้ามาถึงเมืองซีเป่ย เมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอวิ๋นเผิง ทิวทัศน์โดยรอบงดงามด้วยภูเขาสีเขียวที่ทอดยาวกับแม่น้ำใสสะอาด เซียวป๋อเหวินเคยมาเยือนเมืองนี้เมื่อครั้งที่เขาวางแผนรบกับพวกเฮยจั้ง เห็นว่าทิวทัศน์ที่นี่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจยิ่งนักเลยชวนภรรยากับบุตรชายพักค้างคืนกันสักคืนสองคืน“หน
บทที่ 55 ข่าวดีอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงของอาวุธทกระทบกันที่เกิดจาการซ้อมรบในค่าย นายทหารส่งสารผู้หนึ่งขี่ม้าวิ่งเข้ามาในค่ายด้วยความเร็วสูงก่อนที่จะหยุดลงที่หน้ากระโจมบัญชาการของท่านแม่ทัพ เซียวจ้านวัยห้าขวบเห็นม้าวิ่งมาจนฝุ่นตลบก็ตื่นเต้นดีใจ คิดว่าต้องมีเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างเช่นข้าศึกบุกมาอย่างแน่นอน เมื่อทหารส่งสารผู้นั้นขออนุญาตเข้ามาในกระโจมเขาก็มองจดหมายในมือของนายทหารผู้นั้นไม่วางตา “มีคำสั่งจากวังหลวงขอรับท่านแม่ทัพ” นายทหารผู้นั้นยื่นจดหมายในมือให้กับเซียวป๋อเหวิน เซียวป๋อเหวินรับจดหมายนั่นมาก่อนจะเปิดดู เขากวาดสายตาอย่างรวดเร็วอ่านจดหมายนั้น เมื่ออ่านจบก็ถึงกับยิ้มขึ้นมา “มีอะไรหรือเจ้าคะท่านพี่ เป็นเรื่องดีใช่หรือไม่” ฟางหนิงฮวาถาม&nbs
บทที่ 54 แม่ทัพน้อย หลายเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟางหนิงฮวาผู้เคยสง่างามบัดนี้มีท้องนูนโต เดินเหินลำบาก แม้จะพยายามรักษาท่าทีให้สงบงดงามเหมือนเดิมแต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าเซียวป๋อเหวินที่ครั้งหนึ่งเคยคร่ำเคร่งอยู่ในสนามรบ บัดนี้กลับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นสามีผู้เฝ้าดูแลภรรยาไม่ห่าง สายตาเขาอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่อนุญาตให้นางทำอะไรหนักเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ยื่นมือไปหยิบน้ำชาเองเขายังรีบเข้ามาช่วย“เหนื่อยหรือไม่” เขามักจะถามทุกครั้งที่เห็นนางลูบท้องเบา ๆฟางหนิงฮวาเพียงยิ้มจาง ๆ พลางตอบเสียงเบา “ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ เพียงแต่หิวบ่อยไปหน่อย”“หิวหรือ ข้าจะไปสั่งให้แม่ครัวต้มโจ๊กให้เดี๋ยวนี้” ไม่รอคำตอบเขาก็ลุกขึ้นแล้วออกไปทันทีฟางหนิงฮวามองตามแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างซาบซึ้ง หัวใจอบอุ่นทุกครั้งที่เห็นเขาเป็นห่วงตนถึงเพียงนี้วันเวลาผ่านไปจนกร
บทที่ 53 คืนเข้าหอที่รอคอย หลังจากที่ดื่มกับเหล่าทหารพอหอมปากหอมคอแล้วเซียวป๋อเหวินก็กลับเข้ามาที่จวน เพราะสิ่งที่เขารอคอยอยู่ตรงหน้านั้นสำคัญยิ่งกว่าการการดื่มฉลองเป็นไหน ๆ เจ้าสาวของเขายังคงนั่งรออยู่ในห้องหอ รอให้เข้าไปเปิดผ้าคลุมหน้าและครองรักชื่นมื่นกันภายใต้ห้องหอที่มีเพียงแต่พวกเขาสองคน เซียวป๋อเหวินกระโดดลงจากหลังม้าแล้วมุ่งตรงไปยังห้องหอทันที เขาจินตนาการถึงใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวอันเป็นที่แล้วก็อดไม่ไหวที่จะเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงห้องหอโดยเร็ว เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามทีก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดประตูเข้ามา เข้าก้าวเท้าเข้ามาอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะปิดประตูลงอย่างแผ่วเขาเช่นกัน “รอนานหรือไม่” เขาเอ่อยถาม &ldquo







