เมิ่งเหยียนซินนักเขียนสาวในร่างคุณหนูรองสกุลเมิ่งถูกนำตัวเข้ามายังที่พำนักของแม่ชีอีกนาง นัยน์ตากลมโตทอดมองสตรีแปลกหน้าครู่หนึ่ง แม่ชีที่กำลังเข้าฌานจึงค่อย ๆ เปิดปรือเปลือกตาขึ้นแช่มช้า
"คุณหนูรองหรอกหรือ เหตุใดนางจึงมีสภาพเช่นนี้เล่า"
"ไม่ทราบเช่นกันเจ้าค่ะ จู่ ๆ คุณหนูรองเมิ่งก็โผล่มาที่โถงกราบไหว้"
แม่ชีสวมชุดขาวพยักหน้า "ให้นางอยู่กับข้าที่นี่ก่อน เรื่องพาตัวกลับสกุลเมิ่งไว้ข้าจะปรึกษากับไต้ซือ [1] อีกครั้ง"
"เจ้าค่ะ"
แม่ชีหน้าละอ่อนที่พาเมิ่งเหยียนซินเข้ามาถอยห่างออกไป ทิ้งนางเอาไว้กับแม่ชีวัยกลางคน "เอ่อ ท่านเป็นแม่ชีที่บวชอยู่ที่นี่นานแล้วงั้นหรือคะ"
แม่ชีผงะเล็กน้อย ครั้นได้สตินางก็อมยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู "คุณหนูรอง ท่านพูดได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน"
"ก็พูดได้ตลอดนะคะ แล้ว...แม่ชีคะ สรุปแล้วที่นี่คือที่ไหนหรือคะ"
เมิ่งเหยียนซินยังคงมึนงงและสับสน เพราะเดิมทีนี่คือจิตวิญญาณของหญิงสาวจากกาลข้างหน้านับพันปี เมิ่งเหยียนซินคือนักเขียนสาวจบใหม่ป้ายแดง ซึ่งชื่นชอบการอ่านนิยายและรักการเขียนเป็นชีวิตจิตใจ ดูเหมือนว่าการที่เมิ่งเหยียนซินโหมงานเขียนนิยายมากเกินไปอาจทำให้บังเกิดสติเลอะเลือนจนผุดภาพหลอดขึ้นชั่วขณะ
จากที่เมิ่งเหยียนซินลองปะติดปะต่อเรื่องราว เมิ่งเหยียนซินก็คาดเดาได้ว่าตอนนี้ตนเองอาจกำลังละเมอคิดว่าตนคือคุณหนูรองสกุลเมิ่ง ซ้ำยังเป็นคุณหนูบ้าใบ้ลูกสาวสุดที่รักของเสนาบดีกรมการคลังที่อ่านเจอในนิยายเรื่องล่าสุด
แต่แทนที่เมิ่งเหยียนซินจะฝันว่าตนเองได้เป็นนางเอกของเรื่องเช่นคุณหนูสกุลลี่ ไฉนดันพาตัวเองมาติดแหง็กกับวงจรชีวิตของตัวประกอบเรียกน้ำตาซึ่งมักถูกพี่สาวต่างมารดารังแกชิงชัง กระทั่งโดนวางยาจนเกิดเสียสติเพราะต้องการแย่งคู่หมั้น แม้คุณหนูเมิ่งเหยียนซินบทบาทน้อยนิดกระนั้นชีวิตกลับรันทดอย่างไม่น่าให้อภัย
"คุณหนูรอง ท่านเอาแต่หนีออกจากบ้านเช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ ถึงข้านั้นเคยเป็นแม่นมของท่าน แต่ยามนี้ข้าไม่อาจดูแลท่านได้เฉกเช่นกาลก่อนแล้ว และคงกลับไปเหยียบสกุลเมิ่งไม่ได้เช่นกัน"
เมิ่งเหยียนซินอึ้งงันไปชั่วขณะ ความรู้สึกคะนึงถึงที่ปรากฏภายในใจของเมิ่งเหยียนซินเมื่อครู่คือสิ่งใด หรือแม่ชีวัยกลางคนผู้นี้จะเป็นแม่นมของเมิ่งเหยียนซินซึ่งถูกฮูหยินใหญ่ไล่ตะเพิดออกจากจวนสกุลเมิ่ง เพราะเกรงว่าสามีของตนจะคว้าเอาแม่นมคนนี้มาแทนที่ฮูหยินรองคนโปรด
หนำซ้ำแม่นมยังหน้าตาสะสวยสมวัย เมื่อก่อนนางคือสาวใช้คนสนิทของฮูหยินรองเมิ่ง ครั้นมารดาของเมิ่งเหยียนซินตายจากก็มีเพียงสาวใช้ที่ได้ผันตัวมาเป็นแม่นมคอยดูแลเอาใจใส่ และให้ความอบอุ่นกับคุณหนูรองเมิ่งอย่างไม่ขาดตกบกพร่องราวกับเป็นแม่แท้ ๆ ผู้หนึ่ง นี่จึงเป็นเหตุผลที่เมิ่งเหยียนซินมักหนีมาที่วัดเจาเจินอยู่บ่อยครั้ง
เมิ่งเหยียนซินพยายามทำใจ บางทีเมิ่งเหยียนซินอาจคิดมากไปเอง เสียงใสจึงเอ่ยถามอ้อมแอ้ม "แม่ชีคะ คือ ท่านชื่อว่า... ผู่เยว่ ใช่หรือไม่"
ม่านตาของแม่ชีผู่เยว่ขยายกว้างตะลึงลาน ด้วยสติอันไม่สมประกอบของอีกฝ่าย ทำให้เมิ่งเหยียนซินหลงลืมตนไปเสียตั้งนานแล้ว โดยปกติเมิ่งเหยียนซินก็แค่มาหานางตามจิตสำนึกของความผูกพันธ์ที่ยังหลงเหลือ หากไม่ใช่นางใครจะให้ความอบอุ่นแก่คุณหนูผู้อาภัพผู้นี้ได้อีกเล่า หลงมาคราใดก็ต้องวุ่นวายส่งจดหมายให้ใต้เท้าเมิ่งมารับตัวลูกสาวกลับอยู่ร่ำไป
"...เจ้าค่ะ ข้านามว่าผู่เยว่ เดิมเคยเป็นแม่นมของท่าน ว่าแต่คุณหนูรอง นี่ท่านหายป่วยแล้วหรือเจ้าคะ"
เมิ่งเหยียนซินตั้งสติอีกครั้ง ทุกอย่างมันสมจริงเกินไปจนเกินจะรับไหว ทั้งความเจ็บปวดที่คอยตอกย้ำ และการพูดคุยที่มิได้เกิดจากมโนความคิด ก็ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเมิ่งเหยียนซินได้ทะลุมิติเข้ามายังยุคโบราณเฉกเช่นนิยายที่ตนมักคิดและจินตนาการแต่งมันขึ้นมา
โอ้ไม่....
"เกินไป!... ทำเกินไปหน่อยแล้ว มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อ" เมิ่งเหยียนซินยกมือคลึงขมับ ภายในใจระรัวกระหน่ำดั่งถูกหวดตีนับร้อยล้านครั้ง "โอ๊ย เจ็บจังค่ะ ฮื่อ..."
เพราะบาดแผลเต็มลำตัวไปหมด ทำให้ยามที่ขยับเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บปวด เมิ่งเหยียนซินคงต้องยอมรับความจริงให้ได้ เพราะหากนี่คือร่างกายของเมิ่งเหยียนซินจริง คงไม่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น หนำซ้ำยังมีแต่รอยจ้ำดำเขียวประหนึ่งถูกทารุณอย่างหนัก อีกอย่างเมิ่งเหยียนซินย่อมทราบดีว่าคุณหนูรองผู้นี้ไม่ได้มีอายุที่ยืนยาวนัก เพราะนางอ่านนิยายเรื่องนี้จบไปหมาด ๆ อย่างไรเล่า
"สองแม่ลูกสกุลเมิ่งต้องทำร้ายคุณหนูรองจนบาดเจ็บ นางเลยหนีมานอนหนาวตายที่วัดเจาเจินแหงเลยค่ะ ไม่งั้นหนูก็คงไม่มาติดอยู่ที่นี่หรอก!" เมิ่งเหยียนซินปั้นปึ่ง เพราะเดิมทีเมิ่งเหยียนซินก็ชิงชังสองแม่ลูกมหาภัยมากทีเดียว
แม่ชีผู่เยว่กะพริบตาปริบ แม้คุณหนูรองคล้ายจะหายป่วยแล้ว แต่นางก็ยังพูดจาไม่รู้ความอยู่ดี "นะ... นี่ คุณหนู ท่านอย่าแตะบาดแผลสิเจ้าคะ แล้วดูเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งเช่นนี้ ไปเจ้าค่ะเดี๋ยวข้าจะพาไปอาบน้ำผลัดผ้า อีกเดี๋ยวจะทำแผลให้นะเจ้าคะ" แม่ชีผู่เยว่มองเรือนกายที่เปื้อนปอนอย่างนึกเวทนา
เมิ่งเหยียนซินเองก็ไร้ทางเลือก เพราะอยากแน่ใจเช่นกันว่าโลกใบนี้ยังมีเรื่องอัศจรรย์พันลึกอยู่จริงหรือไม่ จึงจำใจไหลตามน้ำไปก่อน "โอเคค่ะ"
นางหายป่วยแน่หรือ
ครั้นเห็นสีหน้างงงวยของอีกฝ่าย เมิ่งเหยียนซินจึงกระแอมเบา จากนั้นก็ปรับภาษาพูดของตนให้เข้ากับคนที่นี่ "เจ้าค่ะ"
^ไต้ซือ เป็นภาษาจีนเเต้จิ๋ว จีนกลาง อ่าน ต้า ซือ เขียนตัวเต็มคือ 大 師 จีนตัวย่อ คือ 大 师ไต้เเปลว่าใหญ่ยิ่งใหญ่ อภิ มหาซือ เเปลว่าอาจารย์เป็นคำเรียกพระภิกษุ ในพุทธศาสนา ที่ชาวจีน ใช้เรียก เพื่อให้เกียรติ เเสดงความเคารพ ยกย่อง
[ค่าความโปรดปรานถูกเติมเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ยินดีด้วยคุณหนูรอง รางวัลของท่านก็คือรักนิจนิรันดร์ตราบนานเท่านาน]พรึบ!เฮือก..."ท่านพี่!!"เมิ่งเหยียนซินเหลียวมองบรรยากาศโดยรอบ ศีรษะก็เริ่มปวดหนึบ"นี่มัน นี่มันอะไรกัน ไม่นะ ท่านพี่ ท่านพี่ ฮื่อ..."ตอนนี้เมิ่งเหยียนซินได้กลับมาแล้ว แต่เมิ่งเหยียนซินยังไม่อยากกลับตอนนี้ นี่หรือรางวัลที่มอบให้ คนกำลังมีความสุขก็มาพรากไปอย่างหน้าตาเฉย"เสี่ยวทู่จื่อคืนท่านพี่มาให้ข้า!""..."“เสี่ยวทู่จื่อ! ระบบหลอกลวง ไหนว่าจะได้รับความรักนิจนิรันดร์ แล้วนี่ข้าออกมาแล้ว เขาเล่า เขาอยู่ที่ไหน ฮื่อ…. คืนเขามาให้ข้านะ ข้าจะไปหาเขาได้ยังไง”เมิ่งเหยียนซินเหลือบมองมือถือทั้งที่ยังสะอึกสะอื้น จากนั้นก็ปาดน้ำตาบนใบหน้าออกลวก ๆ มือเรียวสั่นเทาเมื่อพบว่าหน้าจอยังแสดงบทนิยายเรื่องนั้น เรื่องที่เมิ่งเหยียนซินเพิ่งได้กลับออกมา คาดไม่ถึงเลยว่าทั้งหมดก็เพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง"ฮื่อ...ท่านพี่ เราคงไม่ได้พบกันอีกแล้วใช่หรือไม่" เมิ่งเหยียนซินซุกหน้าลงบนฝ่ามือพร้อมกับร่ำไห้เสีย
พิธีแต่งงานของกั๋วกงกับคุณหนูรองเมิ่งถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บรรดาผู้คนล้วนงุนงงว่าเมื่อก่อนหลิวกั๋วกงเป็นคู่หมั้นพี่สาว เหตุใดจึงได้แต่งงานกับน้องสาวแทน กลับกลายเป็นว่าเกิดข้อพิพาทระหว่างเรื่องนี้ขึ้นจนได้"เดิมทีคู่หมั้นของท่านกั๋วกงก็คือบุตรสาวคนรองของข้าอยู่แล้ว" เมิ่งเว่ยประกาศก้อง เมื่อเขาได้ยินคำนินทาแตกออกเป็นสองฝั่ง จากนั้นเอ่ยต่อ "เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นกับนางทำให้ป่วยหนักเช่นที่ทุกคนทราบ ข้าเลยจงใจสลับตัวคู่หมั้นของท่านกั๋วกง เรื่องนี้เป็นความผิดข้าเอง" ผู้คนต่างฮือฮาอีกระลอก ครั้นเสียงเบาลงแล้ว เมิ่งเว่ยจึงเอ่ยต่อ "ส่วนสกุลฟู่..."เมิ่งเว่ยหันไปสบตาคุณชายฟู่และพ่อแม่ของเขา "สกุลเมิ่งต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ที่ทำให้ท่านต้องเสียเวลา เราจะชดเชยให้ท่านเอง เพราะยามนี้ลูกสาวคนโตของข้า..."เมิ่งเว่ยดูลำบากใจ คุณชายฟู่เห็นว่าเขาอึดอัดจึงช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ ร่างสูงยืนขึ้นจากนั้นค้อมตัวลงแช่มช้า "ใต้เท้าเมิ่ง ไม่ต้องเกรงใจ"แท้จริงคุณชายฟู่ผู้นี้มีภรรยามาก่อนอยู่แล้ว เพียงแต่นางอาศัยอยู่ชานเมือง กิจการของตระกูลฟู่กำลังเข้าสู่ช่วงข้าวยากหมากแพง ดังนั้นจึ
กรี๊ด....เสียงกรีดร้องประหนึ่งคนเสียสติดังมาจากห้องนอนของเมิ่งลี่น่า บ่าวรับใช้ในเรือน ต่างกรูกันเข้ามาด้วยความแตกตื่น เสียงร่ำไห้ดังลอดออกมาเป็นระยะ"ฮื่อ...คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ เป็นอะไรไปเจ้าคะ"ประตูบานหนาเปิดออก เมิ่งเว่ยและเริ่นอี้หร่านรุดเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก"น่าเอ๋อร์ เป็นอะไรไปลูก"เริ่นอี้หร่านเดินเข้าไปสวมกอดพลางลูบศีรษะลูบเรือนร่างบุตรสาวเพื่อปลอบประโลม ยามนี้เสื้อผ้าของเมิ่งลี่น่าขาดวิ่นจนผิวกายผุดโผล่ ร่องรอยจ้ำสีเขียวสีแดงปรากฏเต็มลำคอและร่างกาย ผมเผ้าหลุดลุ่ยกระเซอะกระเซิงไม่ชวนอภิรมย์ บ่าวไพร่ที่เข้ามาเห็นก็ฮือฮากันยกใหญ่เกิดอะไรขึ้นเล่า อย่าบอกว่าคุณหนูรองหายป่วย คุณหนูใหญ่ก็เลยเป็นแทนนั่นน่ะสิ"หุบปาก! ไม่มีงานการทำหรืออย่างไร หากใครเอาเรื่องนี้ไปแพร่งพราย ข้าจะโบยให้หนัก" เริ่นอี้หร่านเดือดดาล เห็นบุตรสาวร้องไห้น้ำตานองหน้าทั้งยังเอาแต่พูดคำว่า อย่าทำข้า ๆ ข้าไม่ผิด ข้าไม่ได้วางยาใคร ใจของนางก็พลันกระตุกวูบ
เมื่อทุกอย่างถูกจัดการอย่างลงตัว เมิ่งเหยียนซินก็ให้เลี่ยงหรงกลับห้องของตนไปพักผ่อน เมิ่งเหยียนซินทราบอยู่แล้วว่าเมิ่งลี่น่าไม่มีทางลดราวาศอกแน่ นางจึงวางแผนตลบหลัง เข้าไปเจรจากับบรรดาคณิกาชายที่เมิ่งลี่น่ามักไปใช้บริการอยู่บ่อยครั้งมาเป็นพวกพ้อง คนเหล่านี้เห็นเงินก็ตาลุกวาวหลังจากพวกเขาถูกซื้อตัวด้วยเงินจำนวนมาก คณิกาชายเหล่านั้นก็มักจะแวะมาแจ้งความเคลื่อนไหวของเมิ่งลี่น่าให้เมิ่งเหยียนซินทราบเสมอ เป็นเหตุให้วันนี้นางไหวตัวทันการกระทำในครั้งนี้ถือเสียว่าเป็นการแก้แค้นให้แม่นมผู่เยว่และจิตวิญญาณคุณหนูรองเมิ่งซึ่งยามนี้ไม่รู้ล่องลอยไปอยู่ที่ใด บางทีนางอาจขึ้นสวรรค์ไปแล้วก็ได้เมิ่งเหยียนซินกลับไปนั่งชมจันทร์เพื่อสงบใจอีกครู่ นางแหงนมองเบื้องบนจากนั้นประสานฝ่ามือหลับดวงตาระลึกถึงบางสิ่ง โดยไม่ทันสังเกตเลยว่ามีเงาร่างสูงของใครบางคนอยู่เบื้องหลังริมฝีปากได้รูปขยับเอ่ยบางเบา "คุณหนูรองเมิ่ง ฮูหยินรองข้าไม่รู้ว่ายามนี้จิตวิญญาณของท่านทั้งสองล่องลอยไป ณ ที่ใด และข้าไม่รู้ว่าคุณหนูรองเมิ่งกับข้ามีสิ่งใดเกี่ยวพันกันมาก่อน แต่แค้นที่ฝังรากหยั่งลึ
เมิ่งลี่น่ารินน้ำชาลงถ้วยแช่มช้า กลิ่นหอมกรุ่นของชาใบอ่อนลอยฟุ้งกลางอากาศ มือเรียวเลื่อนชาถ้วยแรกส่งให้เมิ่งเหยียนซิน ริมฝีปากสีแดงเข้มขยับเอ่ยเสียงค่อย "น้องหญิง อาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง""ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ อีกอย่างชาที่เรือนเล็กก็มี ท่านไม่จำเป็นต้องแบกมาให้หนัก""ได้อย่างไร ชาที่เรือนเล็กมีแต่ชาไร้คุณภาพ"เมิ่งเหยียนซินเหยียดยิ้ม ก็รู้นี่ยังจะพูด สองมาตรฐาน รังแกแต่น้องสาวตัวเอง"ข้าจะเข้านอนแล้ว ไม่อยากจิบชาให้ต้องวิ่งไปทำธุระดึกดื่นเจ้าค่ะ""นิดเดียวเอง ชานี่ข้าตั้งใจนำมาเพื่อขอโทษเจ้า" เมิ่งลี่น่าคลี่ยิ้มละไมเมิ่งเหยียนซินมองถ้วยชาเบื้องหน้าอย่างไม่ไว้ใจ เมิ่งลี่น่าคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ริมฝีปากเรียวยกยิ้มจาง ๆ "ดูเหมือนเจ้ายังไม่วางใจ เช่นนั้นเรามาแลกถ้วยกัน"มุขเดิม ๆ"เอาสิเจ้าคะ"เมิ่งลี่น่ากระหยิ่มยิ้มย่อง จากนั้นจึงเปลี่ยนถ้วยชาของตนกับเมิ่งเหยียนซิน นางยกชาขึ้นจิบ ครั้นลดถ้วยชาลงก็ส่งยิ้มหวานอีกครั้ง ทว่าเมิ่งเหยียนซินกลับยังไม่แตะชาแม้เพียง
เมิ่งเหยียนซินทอดสายตามองบุหลันดวงโตบนท้องนภา พลางขบคิดบางสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในระบบเสี่ยวทู่จื่อไยจึงคล้ายคลึงความเป็นจริงนัก ตรึกตรองไปมาก็ต้องถอนหายใจแผ่ว สรุปแล้วหลิวซือเหว่ยกำลังมีใจให้นางหรือไม่ เหตุใดช่วงบ่ายเขาต้องยกเอาเรื่องแสนอดสูในวันนั้นขึ้นมาดันทุรังเพื่อแต่งงานกับนางให้ได้ หรือเขาต้องการกลั่นแกล้งนางเพียงเพื่อนึกสนุก[ค่าความโปรดปรานเพิ่มขึ้นแปดเท่า]เมิ่งเหยียนซินผงะ "เสี่ยวทู่จื่ออยากโผล่ก็พรวดพราดขึ้นมาเลยหรือไง"[เสี่ยวทู่จื่อจะออกมายามจำเป็นเท่านั้น และตอนนี้ภารกิจของท่านใกล้สำเร็จแล้วเจ้าค่ะ]เมิ่งเหยียนซินแนบแก้มซ้ายลงตรงขอบหน้าต่าง หวนนึกถึงแววตาของหลิวซือเหว่ยที่มองมายังตนด้วยอาการตื่นตระหนกรวมถึงท่าทีพยายามช่วยเหลือนางอย่างไม่คิดชีวิตในเทศกาลโคมไฟวันนั้นก็รู้สึกแปลกใจพิกล เมิ่งเหยียนซินกำลังแอบปันใจให้พระรองผู้รักมั่นต่อนางเอกในนิยายเข้าเสียแล้วมือสังหารคืนนั้นถูกหลิวซือเหว่ยนำตัวไปสอบสวน กระทั่งทราบว่าไม่ใช่ฝีมือใครอื่น เป็นกลุ่มนักต้มตุ๋นที่ปักใจแค้นเคืองเมิ่งเหยียนซิน เฝ้าสะกดรอยตามนางจนทราบทุก