บทที่ 122
ฤดูใบไม้ผลิกับกำไลหยก (ครึ่งแรก)
เมื่อฤดูหนาวผ่านพ้น แสงอาทิตย์สีทองในยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือน ทั้งสว่างเจิดจ้าทั้งให้ความรู้สึกอบอุ่น
หลังจากหิมะละลาย ดอกไม้เบ่งบานงอกงาม มองไปทางไหนก็เต็มได้ด้วยสีเขียวของความอุดมสมบูรณ์ เป็นทิวทัศน์งดงามที่หาดูได้ยาก
เช้าตรู่ของวันหนึ่ง ลู่ซินฟางได้รับจดหมายรายงานจากร้านค้าที่เมืองหลวง เนื้อหาบอกว่า ร้านฟู่จินกุ้ยยังมีลูกค้าเข้าออกอย่างต่อเนื่อง ทำให้พลอยเป็นที่นิยมในตลาด สร้างผลกำไรไม่น้อย
นับเป็นข่าวดีต้อนรับฤดูใบไม้ผลิแรก
หญิงสาวยิ้มพร้อมกับพับจดหมายเก็บลงกล่อง
ในตอนนั้น ชุนเดินเข้ามารายงานว่าผู้ตรวจการมาขอพบนายหญิง แถมยังมีทหารสองนายหิ้วของบางอย่างมาด้วย
ลู่ซินฟางรู้สึกแปลกใจ หากก็ออกมาต้อนรับ เมื่อมาถึงหน้าบ้าน พบว่าผู้ตรวจการถือม้วนราชโองการมาด้วย ส่วนทหารสองนายที่อยู่ข้างหลัง ช่วยกันยกหีบใบใหญ่ ในนั้นบรรจุรูปปั้นปลาคาร์ฟทองคำพระราชทาน
“ลู่ซินฟางรับราชโองการ…”
หญิงสาวงุนงงอย่างมาก กระนั้นก็คุกเข่ารับราชโองการ
ผู้ตรวจการคลี่ม้วนราชโองการแล้วประกาศ เนื้อหาในราชโองการกล่าวถึงความดีความชอบที่ลู่ซินฟางบริจาคของมากมายช่วยเหลือชาวบ้าน 3 เมืองที่อยู่ทางเหนือ ทำให้ชาวบ้านทางเหนือผ่านพ้นวิกฤตภัยหนาวมาได้ และคนที่ล้มตายก็น้อยกว่าปีที่ผ่านมาหลายเท่า ฝ่าบาทจึงพระราชทานรูปปั้นปลาคาร์ฟทองคำให้กับตระกูลลู่
“...จบราชโองการ”
“หม่อมฉันน้อมรับราชโองการ”
ลู่ซินฟางยื่นมือออกไปรับม้วนราชโองการจากผู้ตรวจการ ตอนที่ทำท่าจะลุกขึ้น ผู้ตรวจการกล่าวต่ออีกว่า “เอ่อ…ยังมีอีก”
“ราชโองการฉบับที่ 2 หรือเจ้าคะ?”
พอถามออกไป หญิงสาวก็กลับลงไปคุกเข่าอีกครั้ง
“นี่ไม่ใช่ราชโองการหรอกนะ แต่เป็นของที่ไทเฮาพระราชทานให้เจ้าโดยตรง” ผู้ตรวจการบอก จากนั้นหยิบกล่องไม้ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยออกมา
“เจ้าค่ะ ใต้เท้า” ลู่ซินฟางตอบกลับทั้งที่สีหน้ายังแสดงความแปลกใจ
ผู้ตรวจการเปิดกล่องไม้ที่สลักลายวิจิตร ด้านในคือกำไลหยกขอบทองคำ สลักลายรูปหงส์สยายปีก
“ไทเฮามีรับสั่ง มอบกำไลหยกลายหงส์นี้แก่ลู่ซินฟาง ทั้งยังต้องการให้ลู่ซินฟางสวมใส่ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก…จบรับสั่ง”
จากนั้น ผู้ตรวจการก็ปิดกล่องกำไลหยกแล้วยื่นให้กับหญิงสาว
ลู่ซินฟางรับกล่องนั้นมาแม้ว่าจะงุนงงก็ตาม
ก่อนผู้ตรวจการจะกลับศาลาว่าการ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับลู่ซินฟางด้วย
อย่างไรก็ตาม หญิงสาวเรียกรั้งฝ่ายนั้นไว้
“ใต้เท้า ข้าขอถามท่านสักเรื่อง”
“อะไรหรือ”
“รูปปั้นปลาคาร์ฟที่ฝ่าบาทพระราชทานข้าเข้าใจได้นะ แต่กำไลที่ไทเฮาพระราชทานให้ข้า หมายความว่าอย่างไรหรือ ข้าไม่ได้สร้างชื่อเสียง หรือทำอะไรให้ไทเฮาเอ็นดูสักนิด”
ปลาคาร์ฟคือสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง นับเป็นของมงคลสำหรับคนทำมาค้าขายอย่างนาง แต่ว่ากำไลหยกลายหงส์นี้ ทำไมไทเฮาต้องมอบให้นางด้วย
สำคัญกว่านั้น ลู่ซินฟางกับไทเฮาไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ทำไมพระนางถึงมอบของดีมีค่าให้
ผู้ตรวจการยิ้มด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตอบมา “เรื่องกำไลหยก ข้าคิดว่าเจ้าควรไปถามท่านกงเยียนซูจะดีกว่า”
“กำไลนี้เกี่ยวข้องกับเขาหรือ”
“เกี่ยวสิ เกี่ยวข้องมากด้วย”
“...???”
แม้อยากรู้มากแค่ไหน แต่จะให้วิ่งไปถามกงเยียนซูตอนนี้ก็กระไรอยู่ ลู่ซินฟางจึงคะยั้นคะยอใต้เท้าผู้ตรวจการต่ออีกหน่อย
ในที่สุด ใต้เท้าผู้ตรวจการก็ทำสีหน้าจนปัญญา ก่อนจะตอบกลับมา “สตรีที่ได้รับพระราชทานกำไลหยกลายหงส์จากไทเฮา ภายหลังล้วนตบแต่งเข้ามาเป็นชายาขององค์ชาย0...พูดถึงตรงนี้ เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าจะสื่อหรือเปล่า”
ลู่ซินฟางส่ายหน้า ผู้ตรวจการจึงกล่าวสรุป
“พูดง่ายๆ กำไลหยกลายหงส์ที่ไทเฮาพระราชทานให้กับหญิงสาว คือเครื่องหมายของการสู่ขอ”
“ข้า...สู่ขอ?”
นางชี้หน้าตัวเอง
ผู้ตรวจการพยักหน้าหนึ่งทีแล้วพูดอย่างรวบรัด “เจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับองค์ชายแปดไม่ใช่รึ ข่าวลือระหว่างเจ้ากับองค์ชายแปดดังไปทั่วเมือง คิดหรือว่าเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ในวังจะไม่รู้เรื่องด้วย ไทเฮาคงมองข้ามเรื่องของเจ้าไม่ได้จริงๆ จึงได้มอบกำไลหยกนี้มา”
หญิงสาวย่นหัวคิ้วพลางคิด
ความใกล้ชิดระหว่างลู่ซินฟางกับกงเยียนซูไม่ว่าใครก็มองออก ว่าไม่ใช่ความแน่นแฟ้นของมิตรสหาย กงเยียนซูมักแวะเวียนมาหาลู่ซินฟางทุกวัน กินข้าวด้วยกันบ้าง พานางกับลูกออกไปเที่ยวด้วยกันบ้าง นับวันยิ่งดูเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันเข้าไปทุกที
มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด แม้ลู่ซินฟางสร้างคุณงามความดีด้วยการบริจาคสิ่งของช่วยเหลือชาวบ้านที่ 3 เมืองทางเหนือ
ทว่ากลับมีคลื่นใต้น้ำ ปล่อยข่าวลือทำให้นางกับกงเยียนซูเสื่อมเสีย ลำพังแค่นางไม่เท่าไร แต่กงเยียนซูเป็นถึงองค์ชาย หากเสียชื่อเสียง หัวหงอกหัวดำที่อยู่ในวังหลวงก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย
เพื่อลบคำครหาไทเฮาจึงมอบกำไลหยกให้เป็นสัญลักษณ์ว่าลู่ซินฟางเป็น ‘ว่าที่ชายา’ ขององค์ชายแปด และเหล่าเชื้อพระวงศ์ก็ยินดีต้อนรับนาง
คิดมาถึงตรงนี้ลู่ซินฟางตระหนักได้ ข่าวลือของนางกับเขาดังมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ติดตรงที่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาเท่านั้นเอง
“เอ่อ เถ้าแก่เนี้ยลู่ ข้าขอแนะนำถ้าเจ้ากับท่านกงไม่ได้เป็นอย่างข่าวลือ ก็ควรต้องนำกล่องกำไลหยกนี้ไปคืนที่ท่านกงด้วยตัวเอง” ใต้เท้าผู้ตรวจการชี้แนะ ก่อนจะขอตัวกลับศาลาว่าการประจำเมือง
ตอนพิเศษ (5)จบบริบูรณ์ หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว จิ้งจอกสาวก็เช็ดน้ำตาบนแก้มจนแห้ง สูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะออกจากห้องเพื่อไปขอโทษหลางไป๋ ทว่าทุกครั้งที่นางเข้าใกล้ เขากลับผละหนี แสร้งทำทีเป็นยุ่งง่วนกับงาน ท่าทางแบบนั้นราวกับจงใจหลบหน้านางไม่มีผิด เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น เจียงจวีก็น้ำตาซึม รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก นับวันหัวใจของนางก็ยิ่งปวดแปลบ ท้ายที่สุด นางที่รู้สึกระอายใจเป็นทุนเดิม ยิ่งไม่กล้าสู้หน้าเขา หลายวันต่อมา เจียงจวีเก็บข้าวของ หนีกลับเผ่าจิ้งจอก ณ เผ่าจิ้งจอก ผู้นำเผ่าจิ้งจอกในร่างของชายวัยคนกับจิ้งจอกหนุ่มต่างยืนกอดอกหน้าตาขึงขัง ในขณะที่มองจิ้งจอกสาวกอดเข่าน้ำตาซึม “ตั้งแต่นางกลับมาก็เอาแต่นั่งอมทุกข์ทั้งวันทั้งคืน สงสัยจะเจอแย่ๆ มา หากรู้อย่างนี้ ข้าไม่น่าอนุญาตให้นางออกไปเจอโลกภายนอกเลย เป็นข้าที่ตัดสินใจผิดพลาดเอง” ผู้นำเผ่าพูดกับลูกชาย “ท่านพ่อไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาดหรอกขอรับ ให้นางออกไปเผชิญโลกภายนอก นับเป็นประสบการณ์ของนางด้วย” จิ้งจอกหนุ่มกล่าว
ตอนพิเศษ (4) หลังจากเห็นว่าเจียงจวีเหมาะกับตำแหน่งพนักงานขาย หลางไป๋ก็ให้นางทำงานในร้านซินหลินคู่กับห่จือเหมย เพียงไม่กี่อาทิตย์ เจียงจวีก็เป็นพนักงานขายอันดับต้นๆ ของร้าน ด้วยความที่เป็นจิ้งจอกใสซื่อ จึงทำให้ผู้คนชื่นชอบและเอ็นดูไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่หลางไป๋ “ทำงานแค่ไม่กี่อาทิตย์ เจ้าก็ทำกำไรให้ร้านซินหลินไม่น้อย…ทำดีมาก” หลางไป๋เอ่ยชมเจียงจวี พร้อมกับยื่นมือไปลูบศีรษะ ตอนแรก หมาป่าหนุ่มทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่พอเห็นจิ้งจอกสาวผงะ ทั้งแก้มนวลเนียนยังขึ้นสีแดงระเรื่อ มือใหญ่ที่กำลังลูบศีรษะของนางพลันชักกลับมา จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินไปตรวจงานแผนกอื่น และไม่พูดไม่จาใดๆ หัวใจของเจียงจวีเต้นระส่ำระส่ายไม่หยุด แม้ยกมือขึ้นลูบหน้าอกพร้อมสูดหายลึกๆ แล้ว หากแต่หัวใจยังคงเต้นแรงเหมือนจะกระเด็นออกมา อย่างไรก็ตาม อาการใจเต้นแรงนี้ ทำให้จิ้งจอกสาวอดรู้สึกกังวลไม่ได้ หมิงฮวาเข้าร้านมาในจังหวะนั้นพอดี นางมองหลางไป๋สลับกับมองเจียงจวี สักครู่ ดวงตาของอสรพิษสาวก็หรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นหลางไป๋ขึ้นไปที่ชั้
ตอนพิเศษ (3) วันต่อมา จิ้งจอกสาวหอบห่อผ้ามาที่ฟาร์มอีกครั้ง แต่หนนี้นางมาพร้อมกับพี่ชาย “พวกเจ้าสองพี่น้องจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกันหรือ” หลางไป๋สอบถาม การได้คนหน่วยกร้านดีเพิ่ม มีใครบ้างไม่ชอบ ทว่าจิ้งจอกหนุ่มโบกมือแล้วตอบ “ไม่ใช่ขอรับ ข้าแค่มาส่งน้องสาว อีกอย่าง ที่มาวันนี้ก็เพื่อขอร้องท่านให้ช่วยดูแลนางด้วย นางค่อนข้างซื่อน่ะขอรับ” หลางไป๋พยักหน้าเหมือนเข้าใจ หญิงสาวเผ่าจิ้งจอกยิ้มใสซื่อ โค้งศีรษะให้กับหลางไป๋ทีหนึ่ง “จากนี้ข้าต้องขอฝากตัวด้วยเจ้าค่ะ” หลางไป๋หันไปยิ้มให้กับหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกพลางตอบว่า “ทางนี้ก็ต้องฝากตัวด้วยเช่นกัน” จากนั้นก็หันไปพูดกับทางพี่ชายด้วยสีหน้าเสียดาย “พูดก็พูดเถอะ เจ้าเองก็หน่วยกร้านดีไม่เบา น่าจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกัน” “ความจริงข้าก็อยากมาทำงานที่นี่นะขอรับ แต่เพราะท่านพ่อของพวกเรากำลังป่วย ข้าที่เป็นลูกชาย และยังเป็นว่าที่หัวหน้าเผ่าคนต่อไป ต้องคอยจัดการหลายๆ เรื่อง ตอนนี้ก็เลยออกจากเผ่าไม่ได้” “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ” “ขอบคุณท่านผู
ตอนพิเศษ (2) สถานที่นี้เรียกว่าฟาร์ม มีทั้งสวนผัก สวนผลไม้ ทุ่งดอกไม้ โรงเรือนเพาะต้นกล้า ไหนจะโรงผลิตสารพัดที่เพิ่มขึ้นเหมือนกับดอกเห็ด หนำซ้ำ ยังมีหมู่บ้านของเหล่าสัตว์อสูร ถนนที่ปูด้วยอิฐ ตรงลานกว้างของเมืองก็มีน้ำพุขนาดใหญ่ พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข…น่าอิจฉาและดูน่าสนุกกันจังเลย จิ้งจอกสาวคิด ก่อนจะถอนหายเฮือกออกมาหนึ่ง หญิงสาวชอบความตื่นตาตื่นใจของฟาร์ม ถึงได้แอบมาดูทุกวัน ในตอนที่ลำแสงสีทองสาดเข้ามาในป่ารกทึบ จากนั้นเหล่าสัตว์ก็มีวิวัฒนาการกลายร่างเป็นมนุษย์ ตอนนั้นนางตื่นเต้นมาก กระโดดโลดเต้นรอบป่า ยิ่งค้นพบว่ายังมีสัตว์เผ่าอื่นที่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางก็ยิ่งอยากเป็นเพื่อนกับทุกคน เพราะอย่างนั้นตอนที่หมาป่าเพศผู้นามว่าหลางไป๋มาเจรจาขอเป็นพันธมิตรกับเผ่าจิ้งจอก นางอยากให้ท่านพ่อตอบรับการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับท่านภูต แต่ว่า ท่านพ่อกลับปฏิเสธ แม้ผิดหวังอย่างมาก แต่คำสั่งของผู้นำเผ่าถือเป็นเด็ดขาด เช้าตรู่ของวันนี้ จิ้งจอกสาวก็ยังแอบมาที่ฟาร์ม นางหลบหลังต้นไม้ใหญ่ แ
ตอนพิเศษ (1) ต้นฤดูหนาวของปีนั้น ชุนกับจิ่นเซี่ยได้จัดพิธีแต่งงานแบบเรียบง่าย โดยหลางไป๋เป็นญาติฝ่ายหญิง ส่วนจิ่นเซี่ยนั้น เนื่องจากองครักษ์หนุ่มผู้นี้เป็นเด็กกำพร้า ญาติฝ่ายชายจึงเป็นกงเยียนซู แม้เป็นงานแต่งที่เรียบง่าย แต่เพราะได้ลู่ซินฟางเป็นแม่งาน อาหารสุราจึงขึ้นเต็มโต๊ะตลอดทั้งวันทั้งคืน แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนเป็นคนกันเอง งานแต่งของชุนกับองครักษ์หนุ่ม จึงเหมือนกับวันรวมญาติมากกว่าเป็นงานมงคล ลู่ซินฟางอนุญาตให้ชุนหยุดได้เท่าที่ต้องการ หลังเสร็จสิ้นงานแต่ง ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม หลายวันหลังจากนั้น อุณหภูมิเริ่มลดต่ำ สายลมหนาวเย็นพัดมาเป็นระลอก ลู่ซินฟางยืนอยู่บนระเบียง มองพวกเด็กๆ วิ่งเล่นกันที่ลานกว้าง “เด็กๆ เนี่ย ไม่รู้จักความหนาวกันเลยหรือไงนะ” ลู่ซินฟางพึมพำด้วยความเอ็นดู “แอร๊…!” ตอนนั้นเอง เสียงเล็กๆ ของจินเอ๋อร์ดังมาจากในเปล ลู่ซินฟางผละสายตาออกจากพวกเฉิงเอ๋อร์ เดินกลับมาหาลูกน้อยที่นอนในเปล จินเอ๋อร์อา
บทที่ 128บทพิเศษ มิติที่สมบูรณ์ และ รักจนแก่เฒ่า (ครึ่งหลัง) จบบริบูรณ์ เมื่อกลับมาจากมิติ ซินหลินก็มาหาลู่ซินฟางที่คฤหาสน์ เจ้าแฝดพอเห็นพี่ชายมาหา ก็วิ่งเข้าไปเกาะแขน กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “พี่ชายซินหลิน เมื่อกี้พวกเราไปมิติมาด้วย” “พี่ชายซินหลิน พวกเราไปอ่านหนังสือกันเถอะ” ซินหลินส่ายหน้าพร้อมเคาะปลายจมูกน้อยๆ ของเด็กทั้งสองเบาๆ คนละที “พวกเจ้าเรี่ยวแรงเหลือเฟือจริงๆ เลยนะ เพิ่งกลับมาจากมิติไม่ใช่หรือ คิดจะเล่นกันอีกแล้ว?” “ฮะๆ” “คิๆ” เจ้าแฝดหัวเราะชอบใจ ซินหลินยิ้มให้กับน้องๆ ก่อนหันมาบอกลู่ซินฟางว่า “ข้าเพิ่งเอาผักไปให้เหนียงซิ่น นางบอกว่าอากาศน่าจะเริ่มหนาวแล้ว นางว่าจะทำหม้อไฟชุดใหญ่ เลยให้ข้ามาบอกน่ะ” “ขอบใจมาก รอเยียนซูกลับมาแล้วข้าจะพาเด็กๆ ไปที่คฤหาสน์นะ” ลู่ซินฟางตอบกลับ “อืม” “หม้อไฟ” “เย่ หม้อไฟ!” หม้อไฟฝีมือเหนียงซิ่นอร่อยมาก แถมนานๆ ครั้งจะได้สักที พวกเด็กๆ จึงชูแขนร้องด้วยความดีใจ