บทที่ 17
ขยายที่ดิน
จากการแนะนำของกงเยียนซู ลู่ซินฟางได้อาคารสำหรับทำหน้าร้านกลางเมืองเล่ออันแล้ว ด้านหลังของอาคารมีลานกว้าง และเรือนพักขนาดกะทัดรัด 2 ห้องนอน
สำหรับลู่ซินฟางที่มีวิธีหาเงินทางลัดได้อย่างง่ายดาย อาคารกลางเมืองในราคา 70 ตำลึงทอง กับอีก 50 ตำลึงเงินไม่นับว่าเกินความสามารถของนาง แต่ถ้าควักเงินทั้งหมดออกมาจ่าย กงเยียนซูจะสงสัยเอา มิหนำซ้ำ ในสายตาของคนอื่น นางจำเป็นต้องมีเงินก้อนเอาไว้หมุน ไหนจะตกแต่งร้าน ซื้อของเข้าบ้าน ดังนั้นนางจึงทำสัญญาซื้อขายอาคารด้วยการแบ่งจ่ายเป็น 5 งวด
หลังจากตกลงและได้สัญญาซื้อขายอาคารมาครอบครองเป็นที่เรียบร้อย ลู่ซินฟางไปพบหัวหน้าหมู่บ้านต่อ
ที่ดินของตระกูลลู่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ยาวไปข้างหลังคือที่ดินว่างเปล่า 18 หมู่ (ประมาณ 4 ไร่กว่า) ถัดไปก็เป็นตีนเขา ลู่ซินฟางอยากได้ที่ดินเปล่าผืนนี้ทั้งหมด หลังจากขายสูตรขนมและได้เงินจากกงเยียนซูมา นางก็มาปรึกษาหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อถามซื้อที่ดินทำเกษตร
ตอนแรกหัวหน้าหมู่บ้านทำสีหน้าไม่อยากเชื่อ แต่พอเห็นเงินมัดจำ บวกกับได้ยินข่าวลือว่าโรงเตี๊ยมตระกูลกงซื้อสูตรขนมมาใหม่ หัวหน้าหมู่บ้านจึงคิดว่าเรื่องนี้ลู่ซินฟางไม่น่าจะโกหกแล้ว เขารับปากว่าจะเข้าเมืองติดต่อขอเอกสารจากทางราชการ และจะนำเอกสารสัญญาการซื้อขายที่ดินมาส่งถึงมือ
ด้วยเหตุนี้ หลังจากได้อาคารทำหน้าร้าน ลู่ซินฟางจึงเดินทางมาที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านต่อ
“มาพอดีเลย ข้ากำลังจะเอาเอกสารซื้อขายไปให้เจ้าพอดี”
หัวหน้าหมู่บ้านอายุห้าสิบกว่าๆ พอพูดจบก็ลุกไปหยิบเอกสารมาให้ลู่ซินฟาง
นางกล่าวขอบคุณ ก่อนจะเปิดเอกสารอ่านรายละเอียด
เนื่องจากหมู่บ้านกว่างซูเป็นเป็นหมู่บ้านเล็กในชนบท ที่ดินจึงมีราคาไม่แพงเหมือนกับอาคารในเมืองเล่ออัน มิหนำซ้ำ ที่ดินที่ลู่ซินฟางต้องการยังเป็นที่ดินเปล่าท้ายหมู่บ้าน ราคาจึงค่อนข้างถูก 1 หมู่ราคาเพียง 15 ตำลึงเงิน
ในเอกสารของราชการระบุชื่อและข้อตกลงชัดเจน ไม่มีอะไรผิดพลาด หลังอ่านสัญญาอย่างถี่ถ้วน ลู่ซินฟางเซ็นเอกสาร ทั้งยังให้เงินค่าสินน้ำใจกับหัวหน้าหมู่บ้านที่ช่วยเป็นธุระให้
วันนี้แม้จะจ่ายเงินไปเยอะมาก แต่ลู่ซินฟางก็ได้ที่ดิน 18 หมู่มาครอง
หญิงสาวเก็บเอกสารในอกเสื้ออย่างดี ก่อนจะตรงกลับบ้าน
“ต่อไปก็สร้างโกดังกับบ้านพัก ซื้อเฟอร์นิเจอร์ด้วย...คืนนี้แวะไปหาหลินสักหน่อยดีกว่า” นางพึมพำอย่างอารมณ์ดี ระหว่างเดินไปบนถนนสายเล็ก
พอกลับมาถึงบ้าน ลู่ซินฟางเห็นลูกทั้งสองยืนกำหมัดน้ำตาคลอเบ้า แต่ถึงอย่างนั้น ลูกๆ ของนางก็ไม่ได้หลบเลี่ยงสายตาผู้ใหญ่ที่ยืนล้อม
คนพวกนั้นคือเจียงลิ่ว ฮูหยินฉางกับลูกสาววัยแรกแย้ม และฮูหยินรองของหัวหน้าผู้ใหญ่บ้าน
ไม่ว่าพวกนั้นจะมาด้วยเหตุผลใด ลู่ซินฟางรีบพุ่งเข้าไปปกป้องลูกๆ
“อะไรทำให้พวกเจ้าถ่อมาถึงบ้านข้าไม่ทราบ!” ลู่ซินฟางกระแทกเสียงถาม
เจียงลิ่วเชิดหน้ามองลู่ซินฟางด้วยสายตาเหยียดหยาม “จะอะไรซะอีก แค่จะมาถามว่าเจ้าใช้เสน่ห์มารยาอะไรยั่วยวนเถ้าแก่กง เขาถึงได้ยอมขึ้นเตียงกับเจ้า”
“หา!?”
ลู่ซินฟางแทบจะร้องเสียงหลง ทั้งโกรธทั้งไม่เข้าใจกับคำพูดนั้น
“เจ้าจะแกล้งทำไขสือไปถึงเมื่อไร ยังไงพวกเราก็คนหมู่บ้านเดียวกัน ช่วยแนะนำเสี่ยวหลิงหน่อยเถอะ นางทั้งสาวและสวยกว่าเจ้า หากว่าวาสนาดีจะได้เป็นอนุของเถ้าแก่กง” คนพูดคือฮูหยินฉาง มารดาของเสี่ยวหลิง และเสี่ยวหลิงก็คือสตรีวัยแรกแย้มที่ยืนข้างๆ คนนั้น
ได้ยินคำพูดน่าไม่อาย ลู่ซินฟางถึงกับสูดหายใจลึกอย่างสุดกลั้น นางก้มหน้าบอกลูกๆ ให้เข้าบ้านไปก่อน พวกเขายังเด็ก ไม่ควรฟังคำพูดบาดหูพวกนี้
แม้เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์จะไม่เข้าใจที่พวกผู้ใหญ่คุยกัน อีกใจก็อยากอยู่ปกป้องท่านแม่ แต่ว่า ในเมื่อท่านแม่สั่งด้วยสีหน้าจริงจัง พวกเขาจึงต้องเชื่อฟัง
เด็กทั้งสองวิ่งเข้าบ้าน แต่เพียงครู่ หน้าต่างก็แง้มขึ้น ก่อนดวงตากลมโตของเด็กทั้งสองจะสอดส่องมองมารดาด้วยความเป็นห่วง
ลู่ซินฟางส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับความไร้เดียงสาของเจ้าตัวน้อยทั้งสอง ก่อนหันมาประเมินสถานการณ์ตรงหน้า
สีหน้าของฮูหยินฉางไม่เหมือนพูดเล่น คำถามเมื่อครู่ คงอยากได้รับคำตอบจริงๆ
เด็กสาวที่ชื่อเสี่ยวหลิงยืนบีบมือตัวเองพร้อมกับหน้าแดง อยากขึ้นเตียงกับกงเยียนซูเพื่ออัพสถานะตัวเองก็คงจะจริงอีกเช่นกัน
ภรรยารองของหัวหน้าหมู่บ้าน มองลู่ซินฟางด้วยความอยากรู้อยากเห็น คนคนนี้มาเพราะอยากสอดเรื่องชาวบ้าน
สุดท้ายก็คือเจียงลิ่วที่เชิดหน้า ชูคอ เบะปากมองลู่ซินฟางหัวจรดเท้า…คิดว่าสูงส่งนักรึไง นังบ้า!
ลู่ซินฟางถอนหายใจเฮือก “พวกเจ้ากำลังพูดจาเหลวไหลอะไรมิทราบ ข้าไปหลับนอนอะไรกับใคร เสี่ยวหลิงสาวกว่าสวยกว่าแล้วมันยังไง ถ้าไม่ระวังคำพูดละก็ ข้าจะฟ้องพวกเจ้าข้อหาหมิ่นประมาท”
ทุกคนที่ยืนออกันหน้าบ้านลู่ต่างทำหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าลู่ซินฟางพูดอะไร
ลู่ซินฟางพ่นเสียงหัวเราะเยาะ ก่อนตั้งคำถามพร้อมทำสายตาดูถูกมองคนทั้งสาม
“เดี๋ยวนะ ข้อหาหมิ่นประมาท พวกเจ้าไม่รู้หรือ?”
แน่นอน คนยุคโบราณนี้ไม่มีทางรู้จักคำว่า ข้อหาหมิ่นประมาท เพราะอย่างนั้นนางจึงตั้งใจพูดจาดูถูก
เจียงลิ่วที่ถูกลู่ซินฟางมองเหมือนคนโง่ราวกับถูกตบหน้าแรงๆ จึงชี้หน้าตวาดใส่ลู่ซินฟาง “เจ้านั่นแหละพูดจาเหลวไหล หมิ่นประมาทอะไร พูดจาซี้ซั่ว”
“ไม่รู้จักก็อย่าสะเออะอวดดี ฟายจริงๆ” ลู่ซินฟางส่ายหน้าตอนพูดประโยคท้ายๆ
“ฟาย? คำประหลาดนี้คืออะไรอีก” ฮูหยินฉางทวนคำเพราะสงสัย
ลู่ซินฟางไม่อยากเสียเวลาอธิบายให้คนโง่ฟัง จึงตัดบทว่า “เอาเถอะ ข้าไม่อยากมีเรื่องกับคนอย่างพวกเจ้า มาทางไหนกลับทางนั้นเลย”
แต่เรื่องที่คนพวกนี้บุกมาหาเรื่องถึงบ้าน โดยเฉพาะนังบ้าเจียงลิ่ว ลู่ซินฟางบันทึกลงในบัญชีแค้นเรียบร้อย และครั้งนี้นางจะไม่ปล่อยเลยตามเลยเหมือนครั้งก่อน
“ดูเหมือนนางจะอวดดีขึ้นนะ ก็แค่มีเงินกับที่ดินนิดหน่อย” ฮูหยินรองของหัวหน้าหมู่บ้านพูดแดกดัน
“หึ เข้าออกโรงเตี๊ยมตระกูลกงบ่อยๆ ซ้ำยังมีเงินติดไม้ติดมือออกมา ยังจะให้คิดเป็นอื่นได้อีกหรือ หากไม่ใช่เรื่องนั้น” เจียงลิ่วว่า
เจียงลิ่วสอบถามมาแล้ว ช่วงนี้ที่เห็นลู่ซินฟางเข้าเมืองบ่อยๆ และยังมีเงินซื้อของเข้ากลับบ้านเต็มมือ เพราะได้เงินมาจากเถ้าแก่กงนั่นเอง
ประจวบเหมาะ เจียงลิ่วกับฮูหยินรองของหัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนช่างเม้าท์เหมือนกัน ช่วงที่ว่าง ทั้งสองมักชวนกันจับกลุ่มนินทา กระทู้ร้อนน่าเม้าท์ช่วงนี้ก็คือเรื่องของลู่ซินฟาง
ฮูหยินรองของหัวหน้าหมู่บ้านแอบฟังสามีคุยกับลู่ซินฟาง พอรู้เรื่องที่ลู่ซินฟางกำลังจะซื้อที่ดินก็วิ่งโร่มาเล่าให้เจียงลิ่วฟัง คุยกันไปคุยกันมา พวกนางก็สรุปว่า ลู่ซินฟางหลับนอนกับกงเยียนซูแน่ๆ ถึงได้มีเงินทองขึ้นมาแบบฉับพลัน
พอฮูหยินฉางรู้เรื่องเข้าก็อดสนใจไม่ได้ ประกอบกับอยากจับลูกเขยรวยๆ อยู่แล้วจึงชวนกันมาที่บ้านลู่ซินฟางเพื่อขอคำแนะนำ!?
ลู่ซินฟางไล่สายตามองทีละคน ฟังมาถึงตรงนี้ก็เข้าใจอะไรๆ ได้ทันที
มีคำกล่าวว่า คนโง่มักอวดฉลาด คนพวกนี้เป็นตัวอย่างของคำกล่าวนั้น
ลู่ซินฟางคิดอย่างเอือมระอา
“ถ้าอยากรู้จริงๆ พวกเจ้าควรไปถามเถ้าแก่กง ไม่ใช่ข้า” ลู่ซินฟางแกล้งพูดด้วยสีหน้าลึกลับ
“นั่นไง นางยอมรับแล้ว!” ฮูหยินรองของหัวหน้าหมู่บ้านโพลง
“น่าสะอิดสะเอียด” เจียงลิ่วเบะปากใส่
“ใครจะกล้าไปถาม เจ้าช่วยบอกหน่อยสิ” ฮูหยินฉางคะยั้นคะยอ
ลู่ซินฟางยกยิ้มที่มุมปาก ตั้งใจพูดสองแง่สองง่าม “เถ้าแก่กงไม่ชอบคนโง่ ถ้าพวกเจ้าฉลาดพอก็หาวิธีเอาเองสิ ขืนข้าบอกไป ข้าก็เสียลูกค้ากันพอดี”
“หนอย…มีเงินหน่อยทำเป็นผยองเลยนะ คำพูดเจ้ากำลังว่าพวกข้าโง่ชัดๆ” ฮูหยินรองของหัวหน้าหมู่บ้านชี้หน้าลู่ซินฟาง
นางยักไหล่ “อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ”
ใช่ ถึงนางจะเล่าความจริง คนโง่พวกนี้ไม่มีทางยอมรับสิ่งที่นางพูดหรอก พวกเขาจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่อเท่านั้น เพราะอย่างนั้น อยากพูดอะไรก็พูดไป โพทนาออกไปให้เยอะๆ ยิ่งดี
ภายนอกแม้กงเยียนซูดูเป็นมิตร แต่ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนใจกว้าง อยากรู้นักว่าจะจัดการคนพูดมากพวกนี้อย่างไร
แม้ว่าลู่ซินฟางจะมีวิธีสั่งสอนในแบบของนางอยู่แล้ว แต่ถ้ากงเยียนซูเป็นคนลงมือคงน่าสนุกไม่เบา
“หมดธุระแล้วกระมัง ข้ายุ่งอยู่ ไม่ส่งพวกเจ้านะ”
ว่าจบ นางหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน แต่เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้แบบปุบปับจึงหยุดเท้าแล้วหันกลับไปพูดด้วยสีหน้าเด็ดขาด
“อ้อ ถ้าครั้งหน้าเห็นพวกเจ้ามาเหยียบบ้านข้าอีก ข้าจะตั้งข้อหาบุกรุกด้วย”
คราวนี้นางหันหลังเดินเข้าบ้านจริงๆ
เจียงลิ่วตวาดตามหลัง “นังคนอวดดี กลับมาก่อน!”
ระหว่างเดินเข้าบ้าน นางคิดว่าตอนที่สร้างบ้านหลังใหม่คงต้องล้อมรั้วเพิ่มด้วยแล้ว
วันนี้ลู่ซินฟางเดินทางไปหลายที่ สอนพ่อครัวโรงเตี๊ยมตระกูลกงทำขนม ไหนจะไปเซ็นสัญญาซื้อที่ และยังกลับมาเจอมารผจญอีก นางเหนื่อยมาก
พอเข้าบ้าน นางอดถอนหายใจเฮือกไม่ได้
ลูกๆ เห็นว่าท่านแม่มีท่าทางเหนื่อยล้าก็รีบรินน้ำมาให้ดื่ม
“ท่านแม่…”
นางกอดลูกทั้งสอง “เด็กดีของแม่ อีกไม่นาน พวกเจ้าก็ไม่ต้องเจอสภาพแวดล้อมเป็นพิษแบบนี้แล้ว แม่จะพาพวกเจ้าย้ายไปอยู่ที่อื่น”
“จริงหรือ”
“จริงแท้แน่นอน!”
เด็กทั้งสองยิ้มด้วยความยินดี
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ