LOGINถึงแม้พิษร้ายในกายจะมิได้รุนแรงถึงขั้นทำให้ซ่งเจี้ยนหงล้มลงดิ้นพราดกลางค่ายรบ ไม่ได้แสดงอาการคุ้มคลั่งหรือหมดสติให้ผู้ใดตื่นตระหนก แต่พิษชนิดนี้…มันแยบยลเกินกว่าจะมองเห็นด้วยตาเปล่า
มันไม่กัดกินร่างกายอย่างหฤโหดแต่มันกัดกิน ความภูมิใจ อย่างเงียบงันทีละนิด ทีละน้อยเริ่มต้นจากจุดที่เปราะบางที่สุดของชายชาติทหาร ความเป็นบุรุษ สำหรับซ่งเจี้ยนหง...ยอดขุนพลผู้เคยเชิดหน้าท่ามกลางเสียงสรรเสริญแห่งสนามรบ ผู้เคยชูดาบพิชิตศัตรู และ พิชิตสตรี ด้วยความมั่นใจไม่รู้โรยความอหังการในเรือนกายนั้นคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงศักดิ์ศรีของเขาเสมอมาแต่นับจากค่ำคืนนั้นความแข็งแกร่งอันเป็น หลักฐานแห่งความเป็นชาย กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจเรียกคืนมาได้ในตอนนี้...เขาอาจยังไม่รู้ตัวอาจยังคิดว่าเป็นเพียงความเหนื่อยล้า หรือฤทธิ์สุราที่ตกค้างแต่เมื่อคืนแล้วคืนเล่า ความไม่สมบูรณ์ นั้นยังคงเงียบงันอยู่ในเงาร่างของเขาวันแล้ววันเล่า…เขาจะเริ่ม กลัว เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงงามจะเริ่ม ร้อนรุ่ม ไม่ใช่ด้วยราคะ แต่ด้วยความหวั่นวิตกว่าเขาจะล้มเหลวอีกว่าเขา...ไม่ใช่เขาคนเดิมอีกต่อไปพิษที่ชื่อว่า คำสาปชีพจรดำ ไม่ได้ปลิดชีวิตด้วยมีด แต่ใช้เวลาค่อย ๆ ฆ่า ศักดิ์ศรีอย่างเลือดเย็นซ่งเจี้ยนหง...ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตกลงไปในขุมนรกที่ลึกยิ่งกว่าความตายและคนที่จุดไฟนรกนั้นขึ้น...ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น อาจารย์ ที่เฝ้ามองเขาด้วยรอยยิ้มราวกับรอชมดอกไม้ที่ตนเองเพาะปลูกบานสะพรั่ง...แล้วค่อยๆ เหี่ยวเฉาต่อหน้า
“พวกเรากลับเมืองหลวงกันเถิด... พ่อของเจ้าคงกลับมาถึงแล้วเช่นกัน”เสียงของแม่ทัพหลานซือเหยียนนุ่มนวล ราวกับบิดาผู้เปี่ยมเมตตา“ข้าจะไปกล่าวกับเขาด้วยตนเอง...บอกถึงชัยชนะของเจ้าในศึกครั้งนี้ ว่าศิษย์ของข้า...สมเกียรติยิ่งนัก และจะขอขมาเขาเสียด้วย ที่ปล่อยให้เจ้าต้องบาดเจ็บกลางสนามรบ”
เขายิ้มอย่างอบอุ่น แววตาเจือความห่วงใยหากแต่น้ำเสียงนั้น…ไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความสำนึกผิดไม่สะท้านใจแม้แต่น้อย กับการที่เขาเป็นผู้ลงมือ ลอบทำร้ายศิษย์ของตนเองแต่สำหรับแม่ทัพหลานซือเหยียน นี่เป็นเพียง บทเริ่มต้น เท่านั้น
“ขอรับ ท่านอาจารย์” ซ่งเจี้ยนหงรับคำด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แม้ร่างกายจะเริ่มส่งสัญญาณผิดปกติอย่างเลือนรางกล้ามเนื้อบางส่วนตึงชาอย่างน่าประหลาด ปราณในกายเคลื่อนไหวไม่แนบสนิทเหมือนเคยแต่ท่ามกลางความคลางแคลงที่ก่อตัวขึ้น เขากลับกลบเกลื่อนด้วยความรู้สึกหนึ่งเดียวความภาคภูมิใจ
ชัยชนะในศึกครั้งนี้ คือเกียรติที่เขาภูมิใจที่สุดในชีวิตไม่รู้เลยว่า...สิ่งที่เขาแบกกลับไปพร้อมเกียรติยศนั้นคือ พิษ ที่จะกลืนกินเขาอย่างช้า ๆ คือ คำสาป ที่จะพรากศักดิ์ศรีไปทีละเสี้ยวจนไม่เหลือสิ่งใดให้ยึดเหนี่ยวและผู้ที่มอบมันให้ก็กำลังเดินเคียงข้างเขาอย่างอ่อนโยนที่สุด
เวลาผ่านไปไม่นานนักทั้งสองศิษย์และอาจารย์ก็เดินทางกลับถึงจวนตระกูลซ่ง ข่าวการกลับมาของพวกเขามาถึงหูแม่ทัพซ่งไห่หยางอย่างรวดเร็ว เขาเองก็เพิ่งเดินทางกลับมาจากแนวรบเช่นกันและเมื่อสหายเก่าได้พบหน้ากันอีกครั้ง...บทละครอันแยบยลจึงเริ่มต้นขึ้น แม่ทัพหลานซือเหยียนยิ้มกว้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชมเปี่ยมความจริงใจ“ข้าล่ะอิจฉาเจ้ายิ่งนัก...ที่มีบุตรชายเช่นซ่งเจี้ยนหงเขาเป็นชายหนุ่มเปี่ยมด้วยพลัง มีสายตาของผู้นำ และกลิ่นอายของวีรบุรุษหากให้เวลาอีกไม่นาน ข้าเชื่อแน่ว่า...เขาจะกลายเป็นเสาหลักแห่งแผ่นดินเหมือนพวกเราในวันนี้”
คำพูดนั้น…อ่อนโยน อบอุ่น เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจหากแต่ในใจของหลานซือเหยียน มันกลับดังก้องด้วยเสียงเย้ยหยัน และเฝ้ารอเวลาที่พิษร้ายในกายซ่งเจี้ยนหงจะสำแดงผลมากขึ้นอีกนิดอีกนิด...ก่อนที่เขาจะใช้ ฝ่าเท้า เหยียบศิษย์ผู้ภาคภูมิใจให้จมลงไปในดินอย่างไร้ศักดิ์ศรี
ด้านแม่ทัพซ่งไห่หยาง เมื่อได้ฟังคำยกยอจากสหายเก่า สีหน้าของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความยินดีเขาหัวเราะเบา ๆ พลางตบบ่าของอีกฝ่ายอย่างเต็มมิตร“หลานซือเหยียน หากไม่ได้เจ้าช่วยขัดเกลา เขาคงไม่เติบโตถึงเพียงนี้ข้ามอบชีวิตของเขาให้เจ้าสั่งสอน เจ้าก็เปรียบเสมือนอาจารย์ของเขาโดยแท้” หลานซือเหยียนถอนหายใจออกมาแผ่วเบา สีหน้าเจือความสลด“ศึกครั้งนี้...เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่รอบคอบข้ามิอาจปกป้องเขาจากอันตรายได้ทันเวลา จึงทำให้เขาบาดเจ็บข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก ไม่รู้จะเอ่ยคำขอโทษอย่างไรดี”
คำว่า ละอาย เอ่ยออกจากปากด้วยท่วงทำนองที่ชวนเชื่อหากแต่ดวงตาของเขา...วาวโรจน์ด้วยความยินดีลึก ๆ ยินดีที่แผนเริ่มดำเนินไปอย่างแนบเนียน ยินดีที่ซ่งเจี้ยนหงเริ่มเดินเข้าสู่ขุมนรกที่เขาขุดไว้ด้วยมือของตนเอง
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าอย่าได้ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย” ซ่งไห่หยางตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ“มันเป็นเพราะเจี้ยนหงประมาทเองต่างหาก นับเป็นบทเรียนสำคัญบนเส้นทางของแม่ทัพ”
สองแม่ทัพสองสหายผู้ร่วมรบเคียงบ่ายิ้มให้กันราวกับมิตรแท้ทว่าในใจของทั้งคู่...กลับแหลมคมดุจดาบในฝัก เพราะต่างคนต่างรู้ดีว่าไม่มีมิตรแท้ในโลกของผู้ครองอำนาจมีเพียงผลประโยชน์เท่านั้น...ที่ตัดสินว่าใครจะอยู่เหนือใคร
ต่างฝ่ายต่างวางหมาก...แต่สุดท้าย ใครจะเป็นคนลงดาบก่อน?ใครจะเป็นฝ่ายถูกกลืน...และใครจะเป็นฝ่ายกดให้จม?
"หากเช่นนั้น...ข้าขอตัวก่อน" แม่ทัพหลานซือเหยียนเอ่ยพลางประสานมือคำนับเบา ๆ เมื่อส่งศิษย์รักกลับถึงจวนตระกูลซ่งรถม้าหรูที่จอดรออยู่แล้วค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากจวนอย่างเงียบงันเสียงล้อไม้เสียดสีกับพื้นถนนหินก้องแผ่วในยามสายลมพัดเอื่อยภายในรถม้าที่ดูเงียบสงบ ทว่าอบอวลไปด้วยบรรยากาศอึดอัด มีร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่ทัพนางคือหลานเยว่บุตรสาวของเขาเอง
ในความเงียบ ดวงตาของนางยังคงแข็งกร้าว ไร้แวววาบแห่งลูกผู้หญิงที่เคยอ้อนหวานดั่งวันวาน มีเพียงความเย็นชา...และความปวดร้าว แม้แผนการแห่งการล้างแค้นจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว แม้ศัตรูของนางจะเริ่มลิ้มรสความเสื่อมถอยของร่างกายทีละน้อย แต่ไม่มีสิ่งใดสามารถลบเลือนเงาเยือกเย็นในดวงตาคู่นั้นได้เลยเพราะสำหรับนางแล้วไม่มีใครคือผู้บริสุทธิ์ในเรื่องนี้แม้แต่ชายตรงหน้าบิดาผู้ให้กำเนิด ที่วันหนึ่งเคยส่งตัวนางไปเป็นเพียง สาวอุ่นเตียง ให้ซ่งเจี้ยนหงด้วยมือของตนเองความอัปยศของนาง เริ่มต้นจากเขาความเจ็บปวดของนางก็เพราะเขาและแม้ในวันนี้จะดูเหมือนเขากำลัง ยื่นมือช่วย ล้างแค้นให้นางแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มือข้างนั้น...เคยผลักนางลงสู่หุบเหวด้วยตนเอง
บรรยากาศภายในรถม้าเต็มไปด้วยความเงียบ และเสียงลมหายใจที่ไม่เคยประสานกันเลยแม้แต่น้อยสองพ่อลูก...นั่งตรงข้ามกันในโลกที่แตกต่างในขณะที่รถม้าค่อย ๆ แล่นไปข้างหน้าความรู้สึกของทั้งสองกลับยิ่งห่างออกไป… ไกลเกินกว่าจะเรียกคืน
"เจ้ารู้สึก...พึงพอใจในแผนการของข้าบ้างไหม?" เสียงของแม่ทัพหลานซือเหยียนเอ่ยขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบงันที่กดทับภายในรถม้าเป็นคำถามที่ไม่แน่ชัดนัก...ระหว่างต้องการคำยืนยัน หรือแค่พยายามจะลบรอยร้าวที่ไม่เคยสมาน
หญิงสาวตรงหน้ายังคงนั่งนิ่ง แววตาไม่สั่นไหวนางไม่แม้แต่จะหันมาสบตากับผู้พูด เหมือนว่าแม้แต่การมอง ก็ยังถือเป็นความเมตตาเกินควรเงียบงันชั่วอึดใจ ก่อนที่ริมฝีปากเรียวจะขยับอย่างช้าๆ
"สมแล้ว...ที่ท่านเป็นคนหยาบช้า" เสียงของนางราบเรียบและเย็นชา "แผนการเลวทรามเช่นนั้นย่อมไร้ที่ติจากคนแบบท่าน"
วาจาที่เอ่ยออกมาช่างตรงเสียจนไม่อ้อมค้อมคำพูดที่คล้ายชม หากแต่ทุกคำล้วนคลุกเคล้าด้วยพิษร้ายที่กัดลึกยิ่งกว่าคำด่าใดแม่ทัพหลานซือเหยียนถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าแข็งค้าง ใบหน้าชาวาบราวกับถูกตบด้วยฝ่ามือล่องหนเขาไม่เอ่ยอะไรตอบกลับเพียงแต่ดวงตาคู่นั้นสั่นไหวเล็กน้อยไม่แน่ว่าเพราะความโกรธ...ความเสียใจหรือเพราะในที่สุด เขาก็เริ่มรู้สึกถึง ราคาที่ต้องจ่าย จากการหักหลังเลือดเนื้อของตนเอง
รถม้าค่อย ๆ แล่นต่อไป เบื้องนอกมีเพียงเสียงล้อไม้บดถนนแต่ภายในนั้น มีเพียงความเงียบอึดอัดที่ไม่มีใครยอมเอ่ยคำใดอีก...จนกระทั่งล้อหยุดหมุนในปลายทางของใครบางคน
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







