เข้าสู่ระบบภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อ
ทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า
“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”
หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้น
มันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดินเหินยังยากลำบาก มิหนำซ้ำยังไร้คนเหลียวแล
ความจริงอันโหดร้ายทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจสิ่งที่มันร้องไห้หาไม่ใช่คน ไม่ใช่ความภักดี ไม่ใช่ครอบครัว หากแต่เป็น กองเงินกองทองที่เคยปิดบังความอัปลักษณ์ของมัน ซึ่งบัดนี้กลับสูญสลายไปจนสิ้น
“แล…แล้วแบบนี้ ขะ-ข้าจะ…ใช้ชีวิต…อย่างไรดี…”เสียงพร่าขาดห้วงดังลอดออกมาจากปากบิดเบี้ยวของ จ้าวหย่งหยู ดวงตาขุ่นมัวเอ่อด้วยน้ำตา ร่างพิการโยกสั่นบนรถเข็นไม้เก่าที่ถูกผลักไปอย่างทุลักทุเลโดยแรงแขนเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ราวกับจะขาดลมหายใจได้ทุกเมื่อ
ครั้งหนึ่งมันเคยไปไหนมาไหนอย่างยิ่งใหญ่มีเกี้ยวทอง มีขบวนรถม้า มีคนก้มหัวค้อมคำนับ แต่วันนี้กลับเหลือเพียงเสียงล้อรถเข็นเสียดสีกับพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าด ดึงดูดสายตาชาวเมืองที่มองมันด้วยความสมเพชปนรังเกียจ
ความหวังสุดท้ายที่มันยึดไว้แน่น คือ กิจการการค้า ของบิดาผู้ล่วงลับ หากยังเหลือสักแห่ง อย่างน้อยมันก็ยังมีที่พึ่ง มีเกราะกำบังให้ยืนหยัดต่อไป
แต่เมื่อมันลากร่างถึงสถานที่แห่งแรก ดวงตาที่หม่นมัวก็เบิกโพลงด้วยความตกตะลึง โรงเก็บสินค้าถูกไฟโหมไหม้ ลุกท่วมสูงจรดฟ้า เสียงไม้แตกดังเปรี๊ยะ ๆ เสียงผู้คนกรีดร้องดังสะท้อนท่ามกลางควันดำโขมง เถ้าถ่านปลิวว่อนไปทั่วทุกมุมราวกับกำลังโปรยซากศพ
มันกัดฟันเข็นต่อไปยังอีกแห่ง… ทว่าร้านค้าใหญ่ที่เคยรุ่งเรืองกลับเหลือเพียงเศษซากที่ถูกเผาเป็นเถ้าดำ ทุกกิจการที่มันเคยนึกว่าจะยึดไว้เป็นเสาหลัก กลับล้มครืนลงต่อหน้าต่อตา
ลมหายใจของมันหอบถี่ น้ำลายปนเลือดไหลยืดลงมาตามคาง ร่างพิการสั่นสะท้าน ดวงตาแดงก่ำแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
“มะ…ไม่… ไม่นะะะ… ซะ-สมบัติของข้าาาาาาา!!!”
เสียงแตกพร่าของมันแผดก้องไปท่ามกลางเพลิงนรก แต่กลับไร้ใครเหลียวแล มีเพียงเสียงไฟลุกไหม้ที่ตอบรับ ความสิ้นหวังบีบคั้นหัวใจจนมันแทบขาดใจตายตรงนั้นเอง จ้าวหย่งหยู เพิ่งเข้าใจในวินาทีนั้นว่า สิ่งที่มันยึดถือเป็นเกราะสุดท้าย ถูกเผาผลาญจนไม่เหลือแม้เศษเถ้า
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ จ้าวหย่งหยู สะท้านใจไปทั่วทั้งเมืองหลวง จากนายน้อยผู้สูงศักดิ์ผู้เป็นที่หวั่นเกรงของผู้คน กลับกลายเป็นเพียงคนพิการต่ำต้อยที่เข็นรถเข็นไปอย่างเดียวดาย ร่างอัปลักษณ์โยกคลอนบนรถไม้เก่าคือเครื่องหมายแห่งความตกต่ำที่ใคร ๆ ต่างพูดถึงกันอย่างสนุกปาก
ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของอัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ผู้มีอำนาจใหญ่ล้นฟ้า แต่เพียงชั่วพริบตา บิดาสิ้นลม สมบัติถูกกวาดเกลี้ยง บ่าวรับใช้แตกหนีราวฝูงนกกระจอกที่ไร้รัง เหลือไว้เพียง เจ้าง่อยที่กลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนเหยียบย่ำซ้ำเติม
และในยามที่มันตกต่ำถึงเพียงนี้ ผู้คนมากหน้าหลายตาที่เคยติดหนี้บุญคุณหรือหนี้สินมหาศาลกับอัครเสนาบดี ต่างถือโอกาสชักดาบ ปฏิเสธทุกความรับผิดชอบ เสมือนสุนัขป่าที่รอเวลาฉีกเหยื่อให้แหลกคาที่
ค่ำวันหนึ่ง รถเข็นเก่าของจ้าวหย่งหยูเคลื่อนมาหยุดหน้าจวนใหญ่แห่งหนึ่ง มันเงยหน้ามองประตูสูงสง่าอย่างเหน็ดเหนื่อยแต่เต็มไปด้วยความหวัง ความคิดเดียวที่พยุงหัวใจพิการของมันคือ ทวงหนี้ หนี้ที่เจ้าของเรือนผู้นี้เคยติดบิดามันเอาไว้
“ขอทานที่ไหนกัน! ไสหัวไปให้พ้นเรือนนายท่านข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงคนเฝ้าประตูตวาดก้อง ดวงตาเหยียดหยามเย็นชาไม่ต่างจากการมองเศษขยะ จ้าวหย่งหยูสะดุ้ง ร่างพิการสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก มันรีบเอ่ยเสียงแตกพร่าติดขัด“บะ-บะ…บิดาข้า…เ-เ-คยมีบุญคุณ! เ-เจ้าของเรือนนี้…ยั-ยังคงติดหนี้พะ-พะ…พวกเจ้า… ข้าเพียงแต่จะมะ-มาทวงคืน…” น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความหวาดหวังปนสิ้นหวัง ความหวังสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตที่เหลือรอดยังพอมีเกราะกำบังอีกครั้งแต่สิ่งที่ได้กลับมา… คือเสียงหัวเราะเย้ยหยันกับถ้อยคำที่ฟังแล้วชวนให้เลือดลมตีขึ้น
“ถุย! เจ้าง่อยเช่นเจ้ากล้าอวดดีบอกว่าเป็นเจ้าหนี้นายท่านข้าเรอะ? ฮ่าๆๆ… สามหาวสิ้นดี! หากยังไม่รีบหนีไป ข้าจะกระทืบเจ้าให้ดิ้นตายเหมือนหมาข้างถนน!”
ดวงตาขุ่นมัวของจ้าวหย่งหยูสั่นไหว ริมฝีปากบิดเบี้ยวพยายามจะเปล่งเสียงตะโกน แต่กลับมีเพียงลมหอบแหบพร่ากับน้ำลายฟูมปาก ความจริงอันโหดร้ายกระแทกใจจาก นายน้อยสูงศักดิ์ วันนี้เขาไม่ต่างจาก ขอทานพิการที่ไร้ใครเหลียวแล
ทุกฝีก้าวอันน่าสมเพชของ จ้าวหย่งหยู ถูกจับตามองอยู่เงียบ ๆ โดยสายตาของสองบุรุษสตรีที่นั่งเคียงกัน ณ ศาลาริมน้ำ
ในจวนหลานเยว่ ดวงตาของนางเย็นเฉียบ ริมฝีปากเรียบสงบ ไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ เมื่อเอ่ยเสียงเบา ทว่าคมคายเฉือนใจ “เจ้าชอบหรือไม่… ของขวัญแต่งงานที่ข้ามอบให้เจ้า”
เพียงประโยคสั้น ๆ แต่กลับทำให้หัวใจของ ซูจิ่งหลง สะท้านไหวไปทั้งดวง ร่างสูงใหญ่ของเขาแทบสั่นระรัว ความจริงแล้วเพียงไม่กี่วันก่อนเขายังอ้อนวอนนางให้วางมือ ไม่อยากให้ผู้หญิงที่ตนรักต้องแปดเปื้อนเลือดและความแค้นอีก แต่เมื่อได้เห็นสภาพอัปลักษณ์ของศัตรูที่เคยทำให้เขาชอกช้ำบัดนี้กลับตกต่ำไร้เกียรติราวกับเศษสวะในสายตาผู้คนความสะใจกลับแล่นพล่านขึ้นมาแทนที่
เขาเงยหน้ามองสตรีตรงหน้า แววตาสั่นไหวด้วยทั้งความประทับใจและความพอใจจนเกินเก็บงำ ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มออกมา แม้น้ำเสียงทุ้มจะพยายามกดให้ราบเรียบ แต่ก็ยังแฝงด้วยความตื้นตันที่เอ่อล้น“สมกับเป็นว่าที่ฮูหยินของข้า… ตัวเจ้าช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก”
ในใจเขาปรารถนาจะโอบกอดนางไว้แนบอก ชี้ให้ฟ้าดินรู้ว่าตนมีสตรีเช่นนี้เคียงข้าง แต่เพียงขยับแขนก็พลันหยุดชะงักเพราะเขารู้ดี ต่อให้นางกำลังจะเป็นภรรยา หากเขาเผลอรุกล้ำโดยพลการ บางทีแขนขาของเขาอาจถูกนางหักได้อย่างไม่ลังเล
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







