เข้าสู่ระบบกาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนา
ในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป
“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”
คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ
“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”
สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งที่นางอยากได้ยิน และ ซูจิ่งหลง เองก็รู้ดี เขารีบเอ่ยต่อแทบจะทันที เสียงของเขาอ่อนลงกว่าทุกครั้งราวกับกลัวจะเผชิญสายตาเย็นยะเยือกของภรรยา
“หลานจิ่วอวิ๋น… เขาเพียงอยากออกไปหาของขวัญวันเกิดมาให้เจ้าเท่านั้น”
หลานเยว่ ยังคงจ้องเขม็งไปยัง ซูจิ่งหลง ด้วยแววตาเย็นชาเฉกเช่นคมดาบที่ไร้ความปรานี ส่วนชายหนุ่มใหญ่ผู้เคยยิ่งใหญ่ในโลกมืด กลับได้แต่นั่งนิ่ง ทว่าก่อนที่ความตึงเครียดจะกัดกินจนขาดอากาศหายใจ เสียงหวานใสเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา คล้ายสายลมอ่อนพัดผ่านน้ำแข็งที่จับหนา
“ท่านแม่…”
เป็นเสียงของ ซูเหยียนหลาน เด็กสาววัยสิบสามปี ผู้มีเค้าหน้าละม้ายคล้ายมารดา ความงดงามของนางแม้ยังอ่อนเยาว์ แต่กลับเปล่งประกายดุจบุปผาที่เพิ่งผลิบานในยามเช้า
เพียงแค่เสียงเรียกนั้น สายตาของ หลานเยว่ ที่แข็งกร้าวกลับอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ ซูจิ่งหลง ลอบถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกในยามที่สายตาของภรรยาแฝงความเย็นชา มีเพียงบุตรสาวผู้นี้เท่านั้นที่สามารถทำให้ความแข็งกระด้างนั้นละลายหายไปได้
เขาหันมองบุตรสาวด้วยรอยยิ้มจาง ๆ เต็มไปด้วยความรักและความขอบคุณ เพราะรู้ดีว่า… วันนี้เขารอดพ้นจากการถูกความเย็นเยียบของนางกดทับหัวใจได้อีกหนึ่งวัน
“ท่านแม่ ข้าตั้งใจเย็บผ้าเช็ดหน้าไว้เป็นของขวัญวันเกิดให้ท่าน” ซูเหยียนหลาน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ดวงตากลมใสสะท้อนประกายความตื่นเต้นและความภูมิใจในผลงานเล็ก ๆ ของตน
หลานเยว่ เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรสาวเบา ๆ แววตาที่มักจะเย็นชาเมื่อเผชิญโลกภายนอก บัดนี้กลับอ่อนโยนดั่งสายน้ำที่ไหลเอื่อย “แม่เพียงแก่ขึ้นอีกหนึ่งวัน เหตุใดเจ้าต้องลำบากถึงเพียงนี้” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูสำหรับนางแล้ว ชีวิตที่เรียบง่ายคือสิ่งที่นางปรารถนามากที่สุด เพียงแค่ได้เห็นลูก ๆ อยู่ใกล้ชิดก็ถือว่าเป็นความสุขสูงสุดของนางแล้ว
สิบสี่ปีผ่านไป เด็กชายที่เคยเกาะชายเสื้อแม่ บัดนี้เติบใหญ่เป็นบุรุษหนุ่มผู้สง่างาม หลานจิ่วอวิ๋น อายุยี่สิบปีแล้ว ใบหน้าอ่อนโยนหล่อเหลา ร่างสูงสง่าเฉกเช่นหยกขาวชั้นเลิศที่ถูกขัดเกลา ทุกย่างก้าวเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจจนสตรีทั่วทั้งเมืองต่างหมายปอง แต่ความอ่อนโยนนั้นกลับเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะแท้จริงเบื้องลึกแฝงไว้ด้วยอำนาจและแรงกดดันที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าแม้แต่จะสบตา
แม้จะไม่มีตำแหน่งในราชสำนัก แต่บรรดาขุนนางมากหน้าหลายตากลับห้อมล้อมอยู่เสมอ ต่างประจบเอาใจราวกับเป็นเจ้านายที่แท้จริง ทั้งหมดนี้เพราะพวกเขาติดหนี้หลานจิ่วอวิ๋นจนไม่อาจหลีกหนีได้
ในห้องโถงอันหรูหรา เขานั่งเอนหลังอย่างผ่อนคลาย มือเรียวยกพัดงามขึ้นสะบัดเบา ๆ ราวกับไม่ใส่ใจสิ่งใด ริมฝีปากหยักลึกยกยิ้มบาง ขณะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ทุกคนในที่นั้นตัวเย็นวาบ
“หนี้…พวกเจ้าจะไม่จ่ายก็ได้” เขาหยุด สายตาคมดุจคมดาบกวาดมองไปทั่วทั้งห้อง จนทุกคนก้มหน้าต่ำ “…แต่ข้าต้องการของขวัญชิ้นหนึ่งจากพวกเจ้า อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดท่านแม่ของข้าแล้ว”
ทันใดนั้นความเงียบก็โรยตัวลงมาอย่างหนักอึ้ง ทุกคนต่างรู้ดีว่าชายหนุ่มผู้นี้ แม้จะยิ้มอ่อนโยน แต่หากใครละเมิดคำสัญญาหรือกล้าดูแคลน ก็ไม่มีใครสามารถรักษาลมหายใจได้
ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกมาโค้งศีรษะ เสียงสั่นเครือเอ่ยแทนทุกคน “คุณชาย โปรดวางใจเถิด ข้าจะหาสิ่งที่ดีที่สุดมาเพื่อมารดาท่าน”
หลานจิ่วอวิ๋นหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นไม่ดังนัก แต่กลับเย็นยะเยือกพอที่จะทำให้หลังของคนทั้งห้องชุ่มเหงื่อ พัดในมือสะบัดอีกครั้งก่อนเอื้อนเอ่ยช้า ๆ
“เช่นนั้นก็ดี… คงต้องลำบากพวกเจ้าแล้ว”
วันถัดมา ขบวนรถม้ามากมายทยอยมาจอดแน่นอยู่หน้าจวนซู ราวกับเป็นงานเทศกาล ขุนนางน้อยใหญ่ต่างหอบหิ้วหีบสมบัติ ของหายาก และเครื่องประดับล้ำค่ามาถวาย บางรายถึงขั้นนำของที่สืบทอดกันมาในตระกูลออกมาแลกเพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่ามอบของขวัญแด่ หลานเยว่ ฮูหยินผู้สูงศักดิ์แห่งตระกูลซู
ยามหัวค่ำ แสงโคมไฟส่องวาววับ ท้องฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยแสงจันทร์สีเงิน หลานจิ่วอวิ๋น เดินทางกลับเข้าจวน หลังจากหายไปตลอดหลายวัน
ทันทีที่เขาก้าวเข้ามา เสียงของมารดาก็ดังขึ้นโดยไม่ต้องรอให้บ่าวรายงาน “เจ้าหายไปไหนมา” น้ำเสียงนั้นเย็นชาเพียงเล็กน้อย แต่กลับกรีดแทงเข้าไปถึงหัวใจ
ชายหนุ่มผู้ที่แม้แต่ขุนนางใหญ่ยังต้องก้มหัวให้ ในยามนี้กลับยิ้มบาง เสียงอ่อนลงราวกับลูกแมวตัวน้อย “ข้าเพียงแค่ออกไปหาของขวัญมา… เพื่อท่านแม่เท่านั้น”
สายตาของ หลานเยว่ จ้องมองลูกชายอย่างนิ่งเฉย ไม่อาจคาดเดาความรู้สึก นางยกถ้วยชาขึ้นแตะริมฝีปากพลางเอ่ยต่อ “เดี๋ยวนี้เจ้าเป็นใหญ่เป็นโตไม่เลว… เป็นอย่างไรบ้างล่ะ เพลิดเพลินไปกับอำนาจที่ปู่กับพ่อเจ้าทิ้งไว้ให้หรือไม่?”
บรรยากาศในห้องโถงพลันหนักอึ้ง แม้จะเป็นเพียงถ้อยคำถามธรรมดา แต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันที่ทำให้หลานจิ่วอวิ๋นก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าตอบโต้ ความองอาจที่ใช้กับคนนอกถูกกลบหายสิ้น เหลือเพียงความเคารพและเกรงใจในยามที่ยืนต่อหน้ามารดา
หลานเยว่ ค่อย ๆ ถอนลมหายใจออกมาอย่างเนิบช้า ดวงตาที่นิ่งเฉยมองบุตรชายตรงหน้า “เจ้ารู้ใช่หรือไม่…ว่าแม่รักเจ้ามาก” น้ำเสียงอ่อนโยน หากแต่แฝงไปด้วยความเย็นเยียบที่กดดันจนบรรยากาศรอบกายหนักอึ้ง
นางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อ “แต่ความรักที่ข้ามีให้เจ้านั้น… ข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าก้าวล้ำเส้น ไปเหยียบหัวผู้อื่นเพียงเพราะความเย่อหยิ่ง เพลิดเพลินกับอำนาจและบารมีได้ แต่หากเมื่อใดที่เจ้าหลงลืมความเป็นคน… จำไว้ แม่จะเป็นผู้หยุดเจ้าเอง”
คำพูดนั้นดุจดาบคมกริบ กรีดลึกเข้าไปถึงหัวใจของ หลานจิ่วอวิ๋น ชายหนุ่มผู้ที่ทั่วทั้งเมืองหลวงเกรงกลัวบารมี ในยามนี้กลับก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาผู้ให้กำเนิด หัวใจสั่นสะท้านราวกับเด็กน้อยที่ถูกตักเตือน
“ท่านแม่… ข้าทราบแล้ว” เสียงของเขาเบาลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบ “ข้าจะไม่มีวันทำให้ท่านผิดหวัง… ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม”
หลานเยว่ เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่สายตาเย็นชาที่ใช้ตักเตือนเมื่อครู่จะค่อย ๆ คลายลง นางมองบุตรชายด้วยแววตาอ่อนโยนที่มีเพียงมารดาจะมอบให้ได้ “ไปกินข้าวด้วยกันเถิด… ท่านพ่อของเจ้าและน้องสาวของเจ้ากำลังรออยู่” น้ำเสียงอ่อนนุ่มราวกับละลายความหนักอึ้งที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจ หลานจิ่วอวิ๋น
เมื่อได้ยินถ้อยคำอันอบอุ่นนั้น แววตาของเขาเปล่งประกายสว่างไสว รอยยิ้มจริงใจแต้มบนริมฝีปาก เขารีบกุมมือมารดาแน่นราวกับกลัวว่าจะสูญเสียความรู้สึกนี้ไป “ท่านแม่… ข้ารักท่านมากที่สุด” เสียงของเขาสั่นสะท้านไปด้วยความจริงใจ
โต๊ะอาหารในยามนั้นอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความรักและความอบอุ่น ซูจิ่งหลง มองภาพสองแม่ลูกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความพึงใจและความภาคภูมิ ขณะที่ ซูเหยียนหลาน น้องสาวคนเล็กส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ยื่นมือมาตักอาหารให้พี่ชายอย่างร่าเริง
เสียงหัวเราะ เสียงสนทนา และความห่วงใยที่เอ่ยขึ้นบนโต๊ะ ทำให้ค่ำคืนนั้นอบอวลไปด้วยความสุขสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะผ่านความมืดมนหรือการนองเลือดมามากเพียงใด สำหรับครอบครัวนี้… ณ เวลานี้ พวกเขาเพียงแค่เป็นครอบครัวธรรมดาที่นั่งกินข้าวร่วมกันท่ามกลางความรักอันแท้จริง
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







