เข้าสู่ระบบแรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่าน
มันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพช
เจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”
เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรี
ไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเกินไปหน่อย ข้าจึงช้าไป”
เงามืดภายในเรือนซอมซ่อคืบคลานออกมาพร้อมคำตอบนั้น ท่ามกลางเสียงหอบหืดและโวยวายพร่าแตกของ จ้าวหย่งหยู ที่ยังสั่นสะท้านไปทั้งตัว บรรยากาศคล้ายพายุที่กำลังคืบเข้าหาเหยื่อผู้ไม่รู้ชะตากรรมของตนเองเลยสักนิด…
ทันทีที่ จ้าวหย่งหยู เข็นรถเข็นคดงอของมันเข้ามาในบ้านเก่าโทรม กลิ่นอับชื้นและฝุ่นสกปรกอบอวลอยู่ทุกมุม แต่แทนที่มันจะรู้สึกอับอายกับชะตากรรมของตน กลับเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา เสียงพร่าแหบหอบเล็ดลอดตามไรฟัน
“เห่อะะ… แค่กก… กะ-ก็สมกับ…เป็นบ้านขี้…ขี้ข้าาา… ฮ่าฮ่าาา…!”
ถ้อยคำต่ำตมราวกับเข็มทิ่มแทงเปล่งออกมาจากปากพิการ ทั้งที่แท้จริงแล้ว ตัวของมันเองก็มิได้ต่างอะไรไปจากผู้อาศัยอาศัยบุญเก่าของบิดา มาวิ่งเต้นหาที่พึ่งพิงอย่างน่าสมเพช ขณะเดียวกัน เสียงหวานใสก็ดังขึ้นจากในเรือน“นายท่าน…”
ทันทีที่เสียงนั้นแว่วถึงหู จ้าวหย่งหยูชะงัก ดวงตาขุ่นมัวเบิกกว้างขึ้นราวกับได้เห็นสวรรค์ปรากฏตรงหน้า ร่างพิการสั่นกระตุกด้วยความตื่นตะลึงเบื้องหน้าคือหญิงสาวรูปโฉมงดงามยิ่งนัก ใบหน้าอ่อนหวานเจือรอยเศร้า แต่กลับทำให้ความชั่วร้ายในดวงตาของมันลุกวาบขึ้นทว่าทันใดนั้นสายตาของมันกลับสะดุดที่ ท้องของนาง …กลมโต ชัดเจนว่านางกำลังตั้งครรภ์
ริมฝีปากบิดเบี้ยวคลี่ยิ้มเหยียด เสียงหัวเราะพร่าแตกกระเซ่าหอบหืดดังสะท้อนห้องแคบ“ฮ่าฮ่าฮ่าาา… คะ-ข้า…ไม่คิดเลยยย…ว่าในสัส-สถานที่เสื่อมโทรม…เช่นนี้ จะมีดอกไม้งามงามอยู่ด้วย… เห้อออ… ช่างเสียของนักกกก… ดอกไม้งามเช่นเจ้าาา…กลับไปเป็นของ… ไอ้ขี้ข้าาา…”
คำพูดต่ำช้าปานคมมีดกรีดกลางอก สามีภรรยา ดวงตาทั้งคู่ฉายแววเจ็บปวดทันทันที ความเศร้าแล่นผ่านแววตาของภรรยาเมื่อมืออ่อนแรงของนางเลื่อนลงมากุมท้องที่กำลังเติบโต ราวกับกำลังปกป้องสิ่งบริสุทธิ์ในครรภ์ที่ยังไม่ทันลืมตาดูโลก แต่กลับถูกตราหน้าว่าเป็นตราบาป
ชายผู้เป็นสามี กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เสียงหอบของจ้าวหย่งหยูยังคงดังสะท้อนทั่วเรือน ราวกับกำลังหัวเราะเยาะเย้ยชะตากรรมของคนทั้งบ้าน
“นายท่านขอรับ เชิญดื่มชาและรับประทานอาหารได้เต็มที่เถิด นางตั้งใจทำเพื่อท่านโดยเฉพาะ”
จ้าวหย่งหยู แค่นหัวเราะหอบ ๆ ดวงตาขุ่นมัวเลื่อนไปจ้องหญิงตั้งครรภ์ตรงหน้า แทนที่จะขอบคุณ เขากลับเอ่ยคำหยาบโลนด้วยน้ำเสียงกระเส่า“เจ้ะ…เจ้าเป็นคนทำอาหารนี่รึ ฮึ่กก… ถ้าข้า…ได้กินเจ้า…พร้อมกันด้วย มันคงจะดี…ยิ่งกว่านี้ ฮ่าฮ่า!”
คำพูดต่ำช้าสะท้อนออกมาจากปากพิการ ๆ ร่างโยกสั่นอยู่บนรถเข็น มันยกถ้วยชาขึ้นจิบ ก่อนใช้ลิ้นสาก ๆ เลียรอบขอบถ้วยอย่างจงใจ แววตาเต็มไปด้วยจินตนาการต่ำทรามเหมือนสัตว์เดรัจฉานที่หิวกระหาย
ทว่า…ยังไม่ทันให้ความเพลิดเพลินบิดเบี้ยวของมันดำเนินไป ร่างกายกลับแปรพักตร์หักหลังเจ้าของทันที ลิ้นในปากเริ่มชา แขนขาแข็งเกร็ง สั่นกระตุกจนถ้วยชาแทบร่วงแตก
“อ่อกกก… อะ-อะ…อะไรกัน… ลิ้นข้า…ชะ-ชา… แขน…ขา…มะ-ไม่ขยับบ…”
เสียงพร่าขาดหาย เปล่งออกมาได้เพียงแผ่วเบา ความอ่อนแรงถาโถมเข้าใส่ร่างพิการที่เดิมก็ไร้เรี่ยวแรงอยู่แล้ว คราวนี้แม้แต่เสียงร้องกู่ยังแทบไม่อาจเปล่งออกมาได้ ดวงตาของมันเบิกกว้างด้วยความหวาดผวา มือบิดเบี้ยวพยายามคว้าอากาศรอบตัว แต่กลับไร้สิ่งยึดเหนี่ยว
อดีตบ่าวรับใช้ ก้มกอดภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ น้ำเสียงของเขาสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดและความคับแค้นที่กดทับอยู่ในอกมานาน
“เจ้ารู้หรือไม่…ว่าสตรีคนรักของข้าต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใดเพราะเจ้า?”
ดวงตาของเขาแดงก่ำ สะท้อนทั้งความรักที่มีต่อนาง และความเกลียดชังที่มีต่อชายพิการตรงหน้า เขาโอบกอดภรรยาแน่นขึ้น ประหนึ่งจะปกป้องทั้งนางและลูกในครรภ์ไม่ให้ถูกเงามืดของปีศาจตรงหน้าแตะต้องอีก
หญิงสาวน้ำตาเอ่อคลอ นางเคยเป็นเพียง สาวใช้ต่ำต้อยในเรือน ที่ถูกย่ำยีโดยเจ้าง่อยผู้โสมมจนต้องตั้งท้องอย่างไม่เต็มใจ รอยแผลในใจฝังลึกยิ่งกว่าบาดแผลใด ๆ ที่ปรากฏบนร่างกาย
ทว่า จ้าวหย่งหยู กลับจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้างไร้แววสำนึก เหงื่อไหลชุ่ม ร่างกายเกร็งสั่นไร้เรี่ยวแรง ลิ้นแข็งจนพูดไม่ออก ยิ่งพยายามนึกย้อนไปในอดีต ก็พบแต่ความพร่าเลือนเพราะสตรีมากมายที่เขาเคยย่ำยีผ่านไปเหมือนของเล่นไร้ค่า
เขาจำไม่ได้เลยว่าใบหน้านี้เคยอยู่ในเงื้อมมือของตนหญิงที่บัดนี้กำลังแบกครรภ์และตราบาปติดตัวตลอดชีวิตแท้จริงแล้ว สิ่งที่เขาเคยมอบให้นาง…ไม่ใช่ความทรงจำ แต่คือ ขุมนรก ที่ผลักดันให้นางต้องดิ้นรนทนอยู่จนถึงทุกวันนี้
ร่างพิการของ จ้าวหย่งหยู ถูกลากออกมาจากเรือนของอดีตบ่าวรับใช้แล้วทิ้งลงอย่างไร้ค่าในซอกแคบของตลาดเก่า พื้นดินเปรอะเปื้อนทั้งโคลนและเศษขยะ เขาถูกทุบตีจนใบหน้าบวมช้ำ ปากแตก เลือดแห้งเกรอะกรังตามขอบตาและริมฝีปาก ทุกลมหายใจที่เหลืออยู่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความอับอาย
เวลาผ่านไป วันแรก ร่างพิการนั้นยังพอส่งเสียงครางต่ำ ๆ ราวสัตว์บาดเจ็บที่กำลังรอคอยความตาย ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันทำเพียงเหลือบตามองแล้วเบือนหน้า ไม่มีใครคิดจะยื่นมือช่วย เพราะในความทรงจำของพวกเขา นายน้อยตระกูลจ้าว เคยเป็นเพียงปีศาจในคราบมนุษย์ ผู้ก่อความชั่วช้าให้ผู้คนมากมาย
วันที่สอง แสงแดดสาดแผดเผา ความหิวและความกระหายกัดกินจนดวงตาของมันขุ่นมัวเต็มไปด้วยน้ำตาเน่าเหม็น เสียงหอบกระเส่าขาดห้วง ร่างกายซูบซีดราวกับซากที่ไร้วิญญาณ แต่ก็ยังไม่สิ้นลม
วันที่สาม เมื่อรุ่งสางมาเยือน ซากร่างพิการนั้นแน่นิ่งไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาที่เบิกโพลงค้างราวยังไม่อยากจากโลกนี้ไป ถูกฝุ่นและแมลงตอมจนไร้เค้าความเป็น นายน้อยผู้สูงศักดิ์ในอดีตอีกต่อไป
ความตายของ จ้าวหย่งหยู ผ่านไปโดยไร้เสียงร่ำไห้หรือผู้คนเหลียวแล สำหรับผู้คนในตลาด มันเป็นเพียงเศษขยะชิ้นหนึ่งที่ถูกกวาดทิ้ง ความทรงจำเดียวที่ผู้คนเหลือไว้ให้ คือภาพปีศาจพิการที่เคยก่อความชั่วช้าในยามรุ่งเรือง และสุดท้ายก็พบกับจุดจบอันน่าสมเพชเช่นนี้
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







