Masukภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้า
หลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา
“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”
น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”
ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพียงให้ จ้าวหย่งหยู เจ็บปวดและสิ้นหวัง ทรัพย์สินพังทลาย อำนาจสูญสลาย ขณะที่ลมหายใจยังต้องติดอยู่กับร่างพิการอัปลักษณ์ของตน
ยามค่ำคืนที่มืดมิด ดวงจันทร์เพียงเสี้ยวถูกบดบังด้วยเมฆหมอก หนึ่งเงามืดทอดยาวลงคลุมทั้งจวนตระกูลจ้าว และในเงามืดนั้นเองคือเหล่า นักฆ่าระดับพระกาฬ แห่งสำนักไร้นามของหลานเยว่
พวกมันเคลื่อนไหวประหนึ่งเงาผี ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีแม้แต่ลมหายใจ ทุกย่างก้าวเป็นดั่งคมมีดที่แทงทะลุอากาศ ความมืดกลายเป็นสนามล่า ร่างของข้ารับใช้และบ่าวรับใช้ผู้จงรักภักดีต่อเจ้าง่อยถูกดับชีวิตลงในพริบตา ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีโอกาสดิ้นรน เพียงดวงตาที่เบิกกว้าง ก่อนร่างจะทรุดลงไร้ลมหายใจ
มีดสั้นเงาวับแล่นผ่านแสงตะเกียงเพียงเสี้ยวแล้วก็จมหายเข้าไปในร่าง ดาบบางเฉียบแทงทะลุหัวใจโดยไม่เหลือร่องรอยเลือดกระเซ็น ทุกครั้งที่คมอาวุธจู่โจม เสียงกระดูกหัก ดังแผ่วในความเงียบ แต่ไม่ทันที่เสียงนั้นจะดังก้อง สติก็ถูกพรากไปแล้ว
บ้างถูกสังหารด้วยเชือกดำที่รัดคอแน่นเพียงชั่วอึดใจ บ้างถูกแทงเข้าจุดตายที่ทำให้ร่างแข็งค้างก่อนจะร่วงลงเหมือนหุ่นไร้เชือกควบคุม และทุกศพล้วนถูก จัดการทำลายทันที
ไม่เพียงชีวิต ทรัพย์สินสมบัติที่ตระกูลจ้าวสะสมมายาวนานก็ถูกกวาดไปเหมือนพายุ ทุกหีบสมบัติ หยกทอง และเงินตรา ถูกลำเลียงออกอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากสายลมที่ปลิดชีวิตผู้คนในคืนนั้น
ตลอดทั้งการสังหารและการกวาดล้าง ไม่มีแม้เสียงสุนัขเห่า ไม่มีเสียงผู้คนตื่นลุกขึ้นจากเตียง มีเพียง เงียบงัน ความเงียบที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าการกรีดร้อง
และในห้องบิดเบี้ยวแห่งหนึ่งกลางเรือนใหญ่ จ้าวหย่งหยู นอนบนเก้าอี้โยก หลับตาพริ้ม ริมฝีปากบิดเบี้ยวเผยรอยยิ้มชั่วช้า มันยังฝันหวานอยู่ในความใฝ่ฝันต่ำทรามของตนเอง ไม่รู้เลยว่า…ทั้งคน ทั้งสมบัติ และทั้งอำนาจของมัน ถูกกวาดหายไปจนสิ้นแล้ว
คืนนั้น… จวนตระกูลจ้าว มิใช่เพียงเรือน แต่กลับกลายเป็น สุสานไร้เสียง ที่เหลือเพียงเงามืดของนักฆ่ากับกลิ่นเลือดจาง ๆ คลุ้งไปทั่วอากาศ
แสงแรกของรุ่งอรุณค่อย ๆ ทอดผ่านม่านหมอกยามเช้า สาดลงบนกำแพงสูงของจวนตระกูลจ้าว แต่แทนที่จะเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าของทหารเวรยามเหมือนเช่นทุกวัน กลับมีเพียง ความเงียบสงัด ที่คล้ายกับกลืนกินทุกสิ่งไว้บ่าวไพร่ที่ตื่นแต่เช้าตามหน้าที่ ต่างพากันชะงักงันเมื่อก้าวออกมาพบกับลานว่างเปล่า ไม่มีทหารยืนเฝ้า ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวของผู้คุ้มกัน ทุกจุดที่ควรจะมีคนเฝ้า กลับเหลือเพียงเก้าอี้ว่างและตะเกียงที่มอดดับ
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”เสียงสั่นพร่าของบ่าวผู้หนึ่งดังขึ้น ความตื่นตระหนกฉายชัดอยู่ในสายตาของทุกคน พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันด้วยความหวาดกลัว ราวกับได้ก้าวเข้าสู่สถานที่ต้องคำสาป
“ข้าเองก็ไม่รู้… แต่ข้าว่า…นี่คือโอกาสแล้ว หากพวกเรายังอยู่ต่อไป มีหวังไม่รอดแน่” อีกคนเอ่ยเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยความร้อนรน ความเงียบที่กดดันบีบคั้นหัวใจกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้บ่าวรับใช้แต่ละคนตัดสินใจรวดเร็ว พวกเขารีบเก็บของเพียงเล็กน้อยที่ติดมือได้ แล้วเร่งฝีเท้าออกจากจวนราวกับกำลังหนีตาย
บางคนหันกลับไปมองกำแพงจวนเป็นครั้งสุดท้าย เห็นเพียง เรือนใหญ่ที่เคยโอ่อ่า แต่บัดนี้กลับเงียบวังเวง จนทำให้สั่นสะท้านไปถึงกระดูกดำและแล้ว… เสียงฝีเท้าวิ่งหนีดังระงม พวกเขาต่างพากันกระจายออกไปเหมือนฝูงนกแตกฮือ ทิ้งให้จวนตระกูลจ้าวที่ยิ่งใหญ่ในอดีต เหลือเพียงความเงียบงัน และลางร้ายที่เริ่มคลี่คลุม…
แสงแดดอุ่นยามเช้าสาดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ เข้ามาแทงตาผู้ที่ยังนอนหมกตัวอยู่บนเตียงเก่า ร่างพิการบิดเบี้ยวของ จ้าวหย่งหยู ค่อย ๆ กระตุกตาเปิดขึ้นด้วยความขุ่นเคือง เสียงหอบหืดดังครืดคราดจากลำคอแหบแห้ง ก่อนที่ริมฝีปากบิดเบี้ยวของมันจะเอื้อนเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
“ค-ใคร… กะ-ก็ได้… หยิบ…ชุดให้ข้า…ที”เสียงแตกพร่าของมันดังลอดออกมา แต่เต็มไปด้วยความเคยชินของคนที่ชอบใช้อำนาจบังคับผู้อื่นทุกวัน… เพียงแค่คำพูดประโยคแรกของมัน บ่าวไพร่จะรีบกรูกันเข้ามา เสื้อผ้า รถเข็น เครื่องชงยาล้วนพร้อมสรรพ ราวกับพิธีต้อนรับนายเหนือหัว แต่วันนี้ เวลาผ่านไป… กลับไม่มีใครขยับเขยื้อนเข้ามาเลย
ความรำคาญฉายชัดบนใบหน้าบิดเบี้ยว เส้นเลือดบนขมับปูดโปน มันคำรามออกมาเสียงแหบต่ำ แต่เต็มไปด้วยโทสะ
“ไอ้… สะ-สารเลววว! ถะ-ถ้ายัง… ไม่มาอีก… ข้ะ-ข้าจะ… ดับลมหายใจ… ของพวกเจ้า!”
เสียงตะคอกนั้นสะท้อนก้องไปทั่วห้อง แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือ ความเงียบวังเวง เงียบเสียจนแม้แต่เสียงฝีเท้าหรือเสียงหายใจของใครสักคนก็ไม่มี ปกติในยามเช้า จวนทั้งจวนควรจะครึกครื้นด้วยเสียงบ่าววิ่งวุ่นทำงาน แต่เวลานี้กลับว่างเปล่าอย่างน่าสะพรึง
ร่างพิการโยกตัวบนเตียง ใบหน้าที่อัปลักษณ์เริ่มฉายแววกังวล ดวงตาขุ่นมัวสอดส่ายมองรอบห้อง ทว่าทั่วทั้งเรือนยังคงนิ่งสงบ ไม่มีแม้แต่เงาคนปรากฏ คล้ายกับว่าทั้งโลกเหลือเพียงมัน… เพียงคนเดียว
บรรยากาศนั้นกดทับหัวใจจนมันเริ่มรู้สึกว่า อำนาจที่เคยโอบล้อมกำลังสลายไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าของบ่าวไพร่ที่ไม่มีวันกลับมาอีก…
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







