LOGINหลายวันมานี้…ภายในเรือนของซ่งเจี้ยนหงเต็มไปด้วยขบวนสาวใช้หมุนเวียนเข้ามาไม่ขาดสายไม่ใช่เพราะเขาเป็นบุรุษเจ้าสำราญคลั่งไคล้กามราคะ หากแต่เป็นเพราะ…ความเงียบงันในร่างกายของเขาความเงียบ…ที่ควรจะตื่นเมื่ออยู่ต่อหน้าร่างอ่อนนุ่มและเสียงครางอันเร้าใจแต่กลับไร้ซึ่งการตอบสนองไม่ว่าเรือนร่างของหญิงสาวเหล่านั้นจะงดงามเพียงใดไม่ว่าพวกนางจะใช้เล่ห์กลหรือสัมผัสที่เร่าร้อนสักเพียงไหนเขาก็ยังคงนอนนิ่ง…ราวกับก้อนหินไร้ชีวิตเจ้าน้องชายของเขา…ไม่ต่างอะไรจากหนอนตายซากที่ไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย
"บัดซบ! มันเกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่!?" เสียงคำรามด้วยความขุ่นเคืองทั้งที่เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความหวาดหวั่นอย่างลึกซึ้งสำหรับซ่งเจี้ยนหงแล้วเรื่องนี้มิใช่แค่ความผิดปกติของร่างกายแต่มันคือเรื่องของศักดิ์ศรี คือหัวใจของความเป็นบุรุษและในฐานะขุนพลแห่งสนามรบ มันยิ่งเหมือนคมหอกที่ปักอยู่กลางใจ
เขาไม่อาจบอกผู้ใดได้ ไม่ใช่ท่านพ่อที่เข้มงวดดุดัน ไม่ใช่เพื่อนร่วมรบที่อาจหัวเราะเยาะมีเพียงบุรุษผู้หนึ่งเท่านั้นที่เขาคิดว่าพอจะรับฟังได้...อาจารย์ของเขาแม่ทัพหลานซือเหยียน แม้บางคราแม่ทัพหลานจะดูเป็นคนที่มีอะไรเร้นลับเกินคาดเดา แต่กับเขา…ก็มักพูดคุยกันได้ทุกเรื่องโดยไม่มีข้อห้ามซ่งเจี้ยนหงกัดฟันแน่น ควบม้าออกจากเรือน ไม่แม้แต่จะแจ้งให้ใครทราบเขามุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลหลานอย่างเร่งรีบ หวังว่าจะไขปริศนาแห่งความผิดปกตินี้ได้เสียที
แม่ทัพหลานซือเหยียนทอดสายตามองร่างของลูกศิษย์ที่ก้าวเข้ามาด้วยความเร่งรีบ สีหน้ายังมิทันสงบจากความกลัดกลุ้ม
"ลมอะไรหอบเจ้ามาถึงจวนข้าแต่เช้าตรู่เช่นนี้เล่า?" น้ำเสียงของเขาอบอุ่นดั่งผู้ใหญ่ใจดี ดูคล้ายห่วงใยจากใจจริง ซ่งเจี้ยนหงก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจยาว สีหน้าสลักความอับจนในใจ
"ท่านอาจารย์...ข้าไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว นอกจากท่าน"เขาเงยหน้าขึ้นด้วยแววตากระวนกระวาย แล้วค่อย ๆ กล่าวสิ่งที่เขาหนักใจที่สุดออกมา
"ร่างกายของข้า...มันผิดปกติ" เสียงของเขาแผ่วลง ก่อนหลุบตาต่ำ "ข้า...ไม่อาจเป็นชายได้ดั่งเคย"
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความละอายและเจ็บลึก มันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของกาย แต่คือศักดิ์ศรี ความเป็นขุนพลผู้ถือดาบกลางศึกที่กำลังถูกกัดกร่อนอย่างเงียบงันแม่ทัพหลานซือเหยียนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงสีหน้าเข้าใจและเห็นใจเต็มเปี่ยม"เจี้ยนหง...เจ้าคงคิดว่าอาการนี้มีเพียงเจ้าที่เคยประสบ ขอบอกว่า…แม้แต่ข้า ก็เคยเผชิญมาแล้ว"
ซ่งเจี้ยนหงเงยหน้าขึ้นทันที แววตาเต็มไปด้วยความหวัง
"จริงหรือขอรับ?" แม่ทัพพยักหน้าอย่างแช่มช้า แววตาราวกับย้อนรำลึกถึงอดีต"ในช่วงสงครามใหญ่หลายปีก่อน ข้าเองก็เคยเหน็ดเหนื่อยถึงขั้นร่างกายตอบสนองไม่ได้ ความเครียดจากศึก มักจะแฝงเข้ามาเงียบ ๆ จนเจ้ารู้สึกว่าวิญญาณของตนไม่ตื่น"
"เช่นนั้นข้าจะต้องรักษาอย่างไร?" ซ่งเจี้ยนหงเอ่ยถามอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม"ข้าสาบาน หากอาการนี้หาย ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านจนวันตาย" แม่ทัพหลานซือเหยียนยิ้มออกมาบาง ๆ"อาการแบบนี้…ต้องใช้ไฟ... ไฟแห่งสตรีผู้ช่ำชอง ไม่ใช่เพียงแค่สาวใช้หน้าหวาน แต่ต้องเป็นหญิงที่รู้วิธีจุดปรารถนาในวิญญาณของชาย" เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ
"หญิงในย่านโคมแดง…แม้ชื่อเสียงของพวกนางจะไม่ได้งามนัก แต่เชื่อข้าเถิด หากใครจะเยียวยาเจ้าให้ฟื้นคืนศักดิ์ศรีได้ นางพวกนั้นคือคำตอบ" ซ่งเจี้ยนหงนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้ารับ
"ขอบคุณท่านอาจารย์ ข้าจะไปเยือนย่านโคมแดง เพื่อบำบัดร่างกายของข้าให้กลับมาเป็นดั่งเดิม"
ดวงตาของเขาฉายแววซาบซึ้ง โดยที่ไม่ล่วงรู้เลยว่า ย่านโคมแดง ที่เขากำลังจะไปเยือนนั้น…เป็นเพียงบทต่อไปของกับดักที่อาจารย์ผู้นี้วางไว้อย่างแยบยล
"เจี้ยนหง เจ้าเหน็ดเหนื่อยมานัก ดื่มชาหอมถ้วยนี้ก่อนเถิด" เสียงของแม่ทัพหลานซือเหยียนเอื้อนเอ่ยอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยื่นถ้วยชาให้ด้วยมือที่มั่นคงแววตาของเขาอบอุ่นราวบิดาผู้ห่วงใยบุตร สีหน้าแฝงรอยเมตตา…ชนิดที่ใครเห็นก็ยากจะปฏิเสธซ่งเจี้ยนหงยกมือรับด้วยความนอบน้อม"ขอบคุณขอรับ ท่านอาจารย์"
กลิ่นชาลอยอวลออกมาจากถ้วย รัญจวนใจราวกับดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ กลิ่นหอมละมุนแทรกด้วยกลิ่นเย็นของสมุนไพรล้ำค่า มันคือชาโอสถจากตำรับโบราณ ชนิดที่ว่ากันว่าสามารถชุบชีวิตชายให้กลับคืนมาจากเงามืดแห่งความอ่อนแรง
ซ่งเจี้ยนหงยกถ้วยขึ้นจิบอย่างไม่ลังเล รสชาติขมปลายลิ้น ก่อนจะกลายเป็นหวานล้ำแทรกซึมลงสู่กระแสโลหิตในวินาทีนั้น เขารู้สึกเหมือนเลือดในกายไหลเวียนแรงขึ้น หัวใจเต้นรัว ดวงตาสว่างไสว ความร้อนลามจากทรวงอกลงสู่ส่วนล่างของร่างกายอย่างรวดเร็วแม่ทัพหลานซือเหยียนยิ้มอย่างพึงใจ
“อีกไม่นาน เจ้าจะรู้สึกถึงพละกำลังดั่งมังกรฟื้นจากห้วงนิทรา” เสียงของเขาราบเรียบ...แต่เต็มไปด้วยนัยยะลึกซึ้งทว่าความจริงที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้ถ้วยชา…กลับเป็นความโหดร้ายที่สุดชาโอสถถ้วยนั้น แม้สามารถปลุกความเป็นชายให้ลุกโชนชั่วข้ามคืนได้ แต่ก็เป็นเพียงเปลวไฟสุดท้ายก่อนความมืดมิดจะกลืนกินทุกสิ่งเมื่อฤทธิ์ยาคลายลง กายของเขาจะไม่เหลือเค้าความเป็นบุรุษอีกเลย…โลหิตจะไม่หล่อเลี้ยงเส้นเอ็นที่เคยหยัดตึงสิ่งที่เคยยืดหยุ่นจะหดสั้นลงทุกค่ำคืน ราวกับหนอนตัวน้อยที่หลบซ่อนจากแสงตะวัน
เสียงหัวเราะดังลั่นราวกับมังกรตื่นจากการจำศีล"ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าฟื้นคืนชีพแล้ว! ข้าฟื้นคืนชีพแล้ว!"ซ่งเจี้ยนหง ตะโกนลั่นอย่างคนเปี่ยมชีวิตชีวา แววตาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นเกินพอดีเลือดในกายสูบฉีดราวกับเปลวเพลิงพัดไล่ลมหนาว ความรู้สึกที่เคยสูญสิ้น…บัดนี้หวนคืน เขาก้มมองร่างกายของตนเองด้วยความตื่นตะลึงหนอนน้อยที่หลับใหล…บัดนี้กลับมายืนหยัดสง่างามอีกครั้ง ราวกับไม่เคยมีความล้มเหลวเกิดขึ้น
“ซ่งเจี้ยนหง…”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นเสียงของแม่ทัพหลานซือเหยียนที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“หากเจ้าต้องการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำของข้าให้ครบทุกข้อ”วาจาของเขาแฝงความอบอุ่นดั่งบิดา ห่วงใยในสรรพสิ่งหากแต่ในแววตา…หาใช่ความห่วงใยแท้จริงหากแต่คือรอยยิ้มแผ่วเบา ของคนที่กำลังผลักศิษย์ให้ดิ่งลึกลงสู่ขุมนรกอย่างนุ่มนวล…
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







