บทที่ห้า
ภรรยากับสามีอารมณ์ร้าย
เพร้ง!
ภายในเรือนหลังน้อยท้ายจวนตระกูลหยางหากเป็นปกติมักได้ยินเสียงนกร้องหรือไม่ก็เสียงแมลงทักทายกันท่ามกลางความเงียบสงบ
ทว่าวันนี้สองนายบ่าวของเรือนวันนี้ที่คนเป็นบ่าวสาวใช้กำลังนั่งปักผ้า ส่วนคนเป็นเจ้านายกำลังนั่งขีดเขียนตัวหนังสือลงบนกระดาษอยู่บนเตียงนอนตนเองต่างหันมองหน้ากันขวับเมื่อได้เสียงของหนักตกกระแทกพื้นเป็นระยะๆ
เสียงดังมาจากพื้นที่อื่นในจวนอันห่างไกลจากเรือนของนาง
นี่ขนาดไกลขนาดนี้ยังได้ยินเสียงนั้น
“ฮูหยินได้ยินเหมือนที่บ่าวได้ยินใช่ไหมเจ้าคะ”
ซูเมิ่งพยักหน้ารับ “แต่ช่างเถอะเป็นเรื่องของพวกเขามิเกี่ยวกับพวกเรา”
“เจ้าค่ะ”
เพร้ง!
สองนายบ่าวสบตากันโดยมิได้นัดหมายอีกรอบ ทว่าหนนี้มีหลายเสียงดังต่อเนื่องเข้ามาในสถานที่แสนสงบสุขแห่งนี้
“เจ้าออกไปดูหน่อยก็แล้วกัน”
“ได้เจ้าค่ะ”
ใช้เวลาไม่นานจิวซือก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาในเรือน ท่าทีของหญิงสาวดูตื่นตระหนกราวกับเพิ่งไปเห็นบางสิ่งที่น่าหวาดกลัวมา
“ฮะ ฮูหยินเจ้าคะ คะ คือ โอ๊ย...” อยู่ดีดีจิวซือก็ติดอ่างพูดจาไม่รู้เรื่องขึ้นมากระทันหัน นางจึงตบปากตนเองไปหลายทีเพื่อตั้งสติ
“ใจเย็น ค่อยๆ พูดก็ได้ข้าหาได้อยากรู้เรื่องของผู้อื่นขนาดนั้น”
ซูเมิ่งพูดติดตลกโดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องต่อไปนี้นั้นเกี่ยวกับนางเลยโดยตรงต่างหาก
“คะ คือ นายท่าน นายท่าน” คนพูดยังคงพูดติดอ่างดีที่ฟังพอรู้เรื่องบ้าง “นายท่านหยางเหวินเดินทางกลับมาจากกองทัพแล้วเจ้าค่ะ”
มือสั่นระริกของจิวซือชี้ไปทางเรือนหลังใหญ่อันแสนห่างไกลทว่าทิศทางที่นางชี้ไปปกติจะเห็นเป็นเพียงเรือนหลายหลังตั้งอยู่อย่างเงียบสงบ ทว่าบัดนี้กลับมากลุ่มคนกลุ่มใหญ่เดินมุ่งหน้ามายังเรือนที่พวกนางอยู่
“ละ....และกำลังเดินมาที่เรือนของเราเจ้าค่ะฮูหยิน”
ซูเมิ่งลุกนั่งตัวตรงตั้งแต่สาวใช้นางพูดไม่ทันจบแล้ว หญิงสาวใช้สองมือเรียวขยี้ศีรษะตนเองจนหัวยุ่ง
“โอ๊ย ไยเจ้ามิบอกข้าให้เร็วกว่านี้ รีบเก่งข้าวของทุกอย่างให้เรียบร้อย เร็ว!”
ซูเมิ่งและจิวซือช่วยกันโกยทั้งม้วนเอกสารอันเป็นงานของร้านค้านางเข้าไปกองสุมกันไว้ใต้เตียง บนเตียงตอนแรกมีขวดแก้วตัวอย่างสมุนไพรสินค้าตัวใหม่ของร้านตั้งไว้อยู่ก็โดนซูเมิ่งกวาดเก็บใส่ไว้ในถุงผ้าถุงใหญ่
ปัง!
บานประตูใหญ่ของเรือนถูกผลักเปิดอย่างแรงพร้อมกับที่ด้านหลังบานประตูนั้นมีบุรุษรูปงามทว่าใบหน้าถมึงทึงนั้นทำให้คนมองรู้สึกว่าเขาเป็นพญามัจจุราชมาทวงวิญญาณมากกว่าท่านเทพเซียนอย่างที่สตรีในเมืองหลวงเฝ้าฝันถึง
ยอมรับตามตรงซูเมิ่งเกือบจำใบหน้าของหยางเหวิน สามีนางไม่ได้แล้วหากแต่ขณะที่นางกวาดสายตามองผู้มาใหม่ทั้งหมดบุรุษที่ยืนหน้าสุดนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสามีในความทรงจำอันเลือนลางของนางมากที่สุด
เหอะ กลิ่นอายอำมหิตแฝงอยู่ในตัวบุรุษคนหน้าสุดช่างรุนแรงยิ่งนัก ประสาทสัมผัสทุกส่วนของนางจึงตื่นตัวระวังภัยเต็มที่
“อะ อ่อ ท่านหยางเหวินกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
ภรรยาอย่างนางไม่รู้เลยสักนิดว่าสามีกลับบ้านวันนี้ เบื้องหลังของชายหนุ่มมีบรรดาข้ารับใช้และใช่มีสตรีสองคนยืนส่งยิ้มสะใจอยู่ด้านหลังด้วย
หนึ่งคือหยางเซียงแม่เลี้ยงของสามีนาง
และสอง....
ลี่เฉี่ยว หลานสาวคนงามของแม่สามีซูเมิ่ง
เฮ้อ....มิต้องคาดเดาให้มากความเลยว่าไยหยางเหวินจึงมีใบหน้าคุกกรุ่นเช่นนี้
สามีกลับบ้านหนึ่งในหน้าที่ภรรยาคนเดียวของเขาคือการออกไปยืนต้อนรับที่หน้าประตูทางเข้าจวน
แต่ซูเมิ่งมิได้ไปแถมยังนอนสบายใจอยู่ที่จวนของตนเองอีกด้วย
“อยู่ที่นี่ดูสบายอุรายิ่ง คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ฐานะในตระกูลหยางแห่งนี้เจ้าเป็นใครมิรู้ความเลยหรือซูเมิ่ง!”
ราวกับได้ยินเสียงข่มโทสะกัดฟันกรอดๆ ของหยางเหวิน ซูเมิ่งเหลือบตามองคนที่รู้แต่ตั้งใจไม่แจ้งให้นางทราบก่อน สุดท้ายนางก็เลือกทำเพียงทอดถอนหายใจออกมา
แผนของพวกนางนั่นเอง
“ขออภัยเจ้าค่ะ ขะ....”
“แม่ผิดเองคิดว่านางจะรู้ว่าตัวเองควรปฏิบัติอย่างไรหากรู้ว่าเจ้าจะกลับบ้านมาวันนี้ แม่คิดว่าการให้คนมาแจ้งเวลากลับบ้านของเจ้าก็เพียงพอให้นางกระตือรือร้นเตรียมพร้อมดูแลสามี มิเกียจคร้านดังเช่นวันวาน....เจ้าอย่าได้โกรธเคืองนางเลยนะ
หยางเหวิน”“เมื่อวานข้าก็เพิ่งมาย้ำกับพี่สะใภ้นะเจ้าคะว่าควรทำเช่นไรบ้างหากท่านพี่หยางเหวินกลับมา หากท่านพี่หยางเหวินมิเชื่อสอบถามบ่าวผู้อื่นได้เลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าค่ะ บ่าวเห็นคุณหนูลี่เฉี่ยวเดินมาเยี่ยมเยียนเรือนนี้เมื่อวาน”
หยางเหวินไล่สายตาดุดันตวัดมองบรรดาคนที่พูดทั้งที่เขามิได้เอ่ยถาม แต่มิได้เอ่ยสิ่งใดกับพวกนางให้เสียเวลาเพียงหันกลับมาจ้องเขม็งภรรยาตนเองที่ยังคงมีท่าทีเฉยเมยไม่สะดุ้งสะเทือนต่อสิ่งใด
ราวกับนางมิเห็นใครในที่นี้อยู่ในสายตาเลยสักคน...รวมถึงสามีอย่างหยางเหวินด้วย
มิรู้ว่าไฟโทสะมาจากที่ใดมันลุกโหมท่วมตัวเขาจนแทบคลั่ง
“เฮ้อ....ขออภัยข้าผิดเองเจ้าค่ะที่มิได้ออกไปรอรับท่าน” เหตุใดนางผู้เป็นคนผิดจึงมีท่าทีหงุดหงิดโมโหอยู่ในน้ำเสียง
“เหอะ เจ้า!”
ราวกับเส้นความอดทนได้ขาดผึ่งลง กล้ามเนื้อของเขาทุกตารางนิ้วอัดแน่นไปด้วยโทสะ
“แม่ ว่า พวกระ....”
“ออกไป!”
“หมายความว่ายะ....”
“ข้าบอกให้ออกไป! ทุกคน! ออกไป!....ยกเว้นเจ้า!”
ซูเมิ่งที่แทบเป็นคนก้าวเดินจะออกไปตามคำสั่งคนแรกหยุดชะงักฝีเท้าลงเมื่อนางโดนสามีกระชากแขนนางให้ปลิวเข้าไปหาคนตัวใหญ่ เนื่องจากร่างกายของชายหนุ่มแข็งแกร่งดั่งหินผาดังนั้นนางที่โดนกระชากโดนไม่ได้ตั้งตัว หน้าผากจึงกระแทกเข้าเต็มอกแกร่งเจ็บระบมมิน้อย
“แม่ว่า ให้แม่ช่วยสั่งสอนมารยาทนางดีหรือไม่ วะ หยางเหวิน”
“ข้าถามความเห็นท่านแม่รึ ออกไป!”
ซูเมิ่งแม้มิใช่คนโดนตะคอกโดยตรงทว่านางอยู่ใกล้เขาที่สุดจึงได้รับแรงสะเทือนไม่น้อย ซูเมิ่งอดมิได้ที่จะคิดวิตกกังวลถึงอนาคตอันใกล้ของตนเอง
ขนาดแม่เลี้ยงของเขายังกล้าขึ้นเสียงขนาดนี้
แล้วหากนางต้องอยู่ด้วยกันสองต่อสองกับบุรุษผู้น่ากลัวผู้นี้ เขามิคิดฟันนางขาดเป็นสองท่อนเลยหรือหากนางเอ่ยเถียงขัดใจเขา
พอบานประตูโดนงับปิดพร้อมกับการจากไปของคนอื่นตามคำสั่งเด็ดขาดของหยางเหวิน ซูเมิ่งที่รวบรวมความกล้าในการขืนตัวออกจากแผ่นอกแกร่งก่อนจะถอยหลังออกไปยืนห่างจากหยางเหวินหลายช่วงก้าว
“ข้าเป็นคนบ้านนอก เรื่องมารยาทที่เป็นข้อพึงปฏิบัติอาจขาดตกบกพร่องบ้างได้โปรดให้อภัยข้าด้วยเจ้าค่ะ”
“.....”
นางเลือกไม่บอกความจริง
ในใจนางรู้ตัวว่าวาจาของตนเองนั้นน้ำหนักเบาดุจขนนกแค่ไหนในใจคนตระกูลหยาง
ให้เลือกเชื่อระหว่างมารดาที่เลี้ยงตนมากับภรรยาตัวประกันที่ไม่เคยแม้นอนเคียงข้างหมอนเดียวกัน
ดังนั้นซูเมิ่งจึงพูดในขณะที่ก้มหน้ามิกล้าสบตาอีกฝ่ายเพราะกลัวว่าจะโดนดวงตาดุดันนั้นทำให้นางกลัวจนคำพูดแก้ตัวที่นางคิดทั้งหมดหายไป ทว่าพอได้การตอบรับเป็นความเงียบนางจึงเลี่ยงไม่เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายมิได้
“.....”
ไม่น่าเงยหน้าขึ้นมามองเลยซูเมิ่งเอ๋ย
หัวใจนางกระตุกวาบพร้อมกับความหวาดกลัวแล่นพรูเข้ามา
หยางเหวินโกรธเคืองอันใดนางขนาดนั้น รังสีความน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาปกคลุมไปทั่วห้อง
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะใด”
“ข้า ฐานะ....ฐานะตัวประกันของตระกูลซูเจ้าค่ะ”
“ข้าจะถามเพียงอีกหนเท่านั้น เจ้าอยู่ที่นี่ในฐานะใด!”
นัยน์ตาใสกระจ่างจ้องมองคนถามฉงน
“....”
ซูเมิ่งอึดอัดใจยิ่งที่ต้องตอบคำถามที่มิรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการคำตอบแบบใด
“ที่ผ่านมาข้าคงใจดีกับเจ้ามากเกินไป”
ร่างสูงใหญ่ก้าวมาใกล้ซูเมิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนร่างเล็กเผลอถอยหลังอย่างหวาดหวั่น
สมองนางเร่งรีบประมวลคำตอบที่คิดว่าอีกฝ่ายต้องการได้ยิน จะได้เลิกกดดันกันด้วยสายตาน่ากลัวเช่นนั้นเสียที
“ภะ ภรรยาท่าน ข้าเป็นภรรยาท่านนะท่านหยางเหวิน ท่านจะทำสิ่งใดข้า”
นางตะโกนออกไปหวังเตือนสติอีกฝ่าย
อย่าฆ่านางนะ ธุรกิจการค้าของนางกำลังรุ่งเรือง นางกำลังจะมีเงินเป็นกอบเป็นกำด้วยแรงกายของนางเอง
ซูเมิ่งยังมิอยากตายตอนนี้
“หึ จากนี้ไปข้าจะทำให้เจ้าจดจำให้แม่นว่าตนเองคือผู้ใด มีฐานะเป็นอันใด จะได้มิหาข้ออ้างมาแก้ตัวได้อีก ซูเมิ่ง!”
“ว้าย ท่าน! ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ หยางเหวิน!”
“.....”
“นั่น จะพาข้าไปที่ใดนั่น”
“อะ เอ่อ นายท่านให้ข้าน้อยช่วยเหลือสิ่งใดหรือไม่”
“หยางเหวิน ทำอันใดน่ะลูก”
“ท่านพี่ ทะ.....”
หยางเหวินรวบตัวนางอุ้มพาดบ่าเดินลงส้นเท้าขึงขังถีบประตูและเดินแหวกผู้คนที่เพิ่งโดนไล่ออกมาจากห้อง
ชายหนุ่มราวกับหูหนวกมิได้ยินเสียงใครคัดค้านทั้งนั้น พอมีใครวิ่งมาขวางทางก็โดนมือหนาผลักหลบออกไปอย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น
ทิศทางที่ชายหนุ่มกำลังมุ่งไปแน่นอนว่าเป็นเรือนหลังใหญ่อันเป็นที่พำนักของเขานั่นเอง
บทส่งท้ายและวันนั้นทั้งวันหยางเหวินโดนพ่อตาของตนเองลากไปไหนมาไหนด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันจนซูเมิ่งนึกสงสัยว่าหรือสามีของนางจะเป็นลูกชายที่หายสาบสูญไปอีกคนหนึ่งของบิดาตนเองซูเมิ่งทั้งวันไม่ไปนั่งพูดคุยกับญาติพี่น้องร่วมสายเลือดในจวนก็เข้าไปนั่งเล่นกับน้องชายสุดแสนน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดหนาวเท่านั้นจวบจนตอนค่ำยามซวี [1] นั่นแหละนางจึงมีโอกาสขอตัวกลับเรือนของตนเองที่ครอบครัวนางเตรียมเอาไว้ให้เรือนหลังนี้ใหญ่ไม่แพ้หลังไหนๆ ในจวน การตกแต่งแม้จะเรียบง่ายแต่ของใช้ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่ยังมิเคยได้ใช้ เป็นวัสถดุเนื้อดีทั้งนั้นเรือนส่วนตัวสภาพดีขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกของนางเลยกระมังที่ได้รับการดูแลเช่นนี้“ยิ้มขนาดนั้น เจ้าชอบเรือนหลังนี้มากเลยหรือ”เสียงของหยางเหวินบุรุษที่วันนี้หายหน้าหายตาไปจากซูเมิ่งทั้งวัน พร้อมกับอ้อมกอดจากคนตัวโตสวมโอบนางจากข้างหลัง“เจ้าค่ะข้าชอบที่นี่ แต่มิใช่แค่เรือนหลังนี้ แต่เป็นทุกคนที่นี่ด้วย พวกเขาต้อนรับข้าอย่างดียิ่ง”“เช่นนั้นหากเรากลับแคว้นไปข้าให้คนสร้างจวนของพวกเราสองคนแยกออกมาดีหรือไม่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินทำเลดีมิหยอก ข้ายกให้เจ้า จะให้สร้างจวนห
บทที่ยี่สิบภรรยากับครอบครัวที่แท้จริงณ แคว้นหูอี๋ฉีจวนตระกูลโจวจวนหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวง ตระกูลโจวเป็นตระกูลแม่ทัพตั้งแต่รุ่นทวดลงมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับแคว้นเย่ ตระกูลโจวก็เปรียบได้ดั่งตระกูลหยางดีที่เวลานี้สองแคว้นสงบศึกเปลี่ยนมาสมานฉันท์กันหลายปีแล้ว มิเช่นนั้นสองทายาทตระกูลแม่ทัพคงเคยพบเจอกันบ้างในสงครามระหว่างแคว้นแม้ว่ารุ่นลูกอาจไม่เคยฟาดฟันกันแต่สำหรับรุ่นพ่อนั้นไม่แน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขตระกูลหยางกับประมุขตระกูลโจวแห่งสองแคว้นจะเคยปะทะฟาดฟันวัดฝีมือกันมาก่อนเวลานี้ฝ่ายซูเมิ่งรวมฝ่ายของพี่ชายและคนของสามีนางแยกย้ายจากขบวนสินค้าของตระกูลลู่มาระยะหนึ่งแล้วเป็นเพราะไปคนละทาง ตระกูลลู่ต้องการไปเมืองชายแดนเพื่อส่งสินค้า แต่พวกนางต้องการไปเมืองหลวงดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรถม้าคันของโจวเฉิงเค่ออยู่นั่นเองเห็นพี่ชายบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามจะถึงจวนของเราพี่ชายใช้คำว่าของเราทำให้ซูเมิ่งรู้สึกซาบซึ้ง....ในที่สุดนางก็กำลังมีบ้านและครอบครัวเป็นของตนเองสักที“ถึงจวนตระกูลโจวแล้วขอรับคุณชาย”เนื่องจากในห้องโดยสารมีคนนั่งอยู่เพียงสองคนคือนางและพี่ชาย
บทที่สิบเก้าภรรยากับคำสารภาพ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ขบวนของเราโชคดีได้หยุดพักที่สถานที่มิห่างไกลจากน้ำตกมากนัก คุณชายฝากถามว่าคุณหนูอยากชำระร่างกายหรือแช่น้ำหรือไม่เจ้าคะ เวลานี้ไม่มีคนใช้งานและเดี๋ยวให้คนไปกั้นเขตให้คุณหนูเจ้าค่ะ”“น้ำตกหรือ...อืม ก็ดีเหมือนกัน ข้าอยากแช่น้ำเย็นสักหน่อย มิได้อาบน้ำทุกวันดังเช่นปกติ รู้สึกเหนียวตัวยิ่งนัก”“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเดี๋ยวบ่าวรีบไปเรียนคุณชายให้จัดกั้นพื้นที่ให้นะเจ้าคะ รอบ่าวสักครู่”“ได้ ขอบใจมากนะ”พอหลิ่นปินไปภายในกระโจมหลังน้อยก็เงียบลงทันตา ซูเมิ่งหันหลังกับไปเตรียมชุดและของใช้อาบน้ำที่จำเป็นด้วยตนเองที่ด้านหลัง เวลาผ่านไปไม่ถึงถ้วยน้ำชานางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในกระโจมนาง“กลับมาเร็วยิ่ง คุณชายว่าอย่างไรบะ บ้าง....อ้าว ท่านพี่! อุ้บ!”คนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่สาวใช้อย่างที่ซูเมิ่งคิด แต่เป็น หยางเหวิน บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พอก้าวเท้าเข้ามาในกระโจมก็ดูคับแคบขึ้นมาทันตา ชายหนุ่มคงรู้ว่าซูเมิ่งไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายจึงก้าวเข้ามาประชิดตัวนางและใช้มือหนาปิดปากมิให้ส่งเสียงดังโวยวาย“อื้อ อ่านเอ้าอาไอ้อ่างไอ อ่อยอ้า!”“หากข้าปล่อยแล้วเจ้าจะเร
“นั่นเจ้าใช่หรือไม่ซูเมิ่ง เป็นเจ้า!” เสียงของหยางเหวิน บุรุษที่นางเคยรู้สึกปลอดภัยยามได้ยินเสียง ทว่าบัดนี้มิใช่อีกต่อไปแล้ว....“ข้าเอง พวกท่านกำลังทำสิ่งใด อย่าทำร้ายพวกเขานะ”ซูเมิ่งโดนจับได้นางจึงวิ่งออกไปขวางมิให้คนของหวางเหวินทำร้ายหรือมาต่อสู้กับคนของลู่เจ๋อทีแรกบุรุษทั้งสามเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีที่ตามหามาหลายวันก็พากันดีใจ รอยยิ้มปรากฏบนหน้าไปตามๆ กัน ทว่าพอเห็นนางวิ่งเข้ามาไม่เกรงกลัวอันตรายหรือลูกหลงท่ามกลางการต่อสู้ก็ตกใจ หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มกันหมด“พวกเจ้าหยุดลงมือ!”คนของฝ่ายหยางเหวินหยุดต้อนผู้คุ้มของขบวนสินค้าทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านาย ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้ต้อนพวกนี้ให้จนมุมยอมศิโรราบเท่านั้นก็ตามซูเมิ่งบัดนี้ยืนอยู่กลางทางระหว่างขบวนสินค้าตระกูลลู่กับฝ่ายของพี่ชายและสามีนาง“น้องน้อยเจ้าอย่าเพิ่งวิ่งไปทั่วสิ มันอันตราย” เสียงของโจวเฉิงเค่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางมองเห็นบนใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมีเหงื่อ แววตาดูตื่นตระหนกเกรงว่านางจะได้รับอันตรายจริงอย่างที่พี่ชายเอ่ย“แม่นางซูทางนั้นอันตรายเข้ามาหลบพักในรถม้าก่อนเถิด”ลู่เจ๋อและผู้คุ้มกันของเข
บทที่สิบแปดภรรยามิยอมอีกต่อไปแล้ว“ทำไมเจ้ามิตามนางไปด้วย ปล่อยให้นางซึ่งเป็นสตรีปีนขึ้นรถม้าขบวนพวกพ่อค้าจิตใจเจ้าเล่ห์แสนกลไปได้เยี่ยงไร”“ขะ ข้าน้อยคิดไม่ทัน คุณหนูบอกมิให้ข้าตามไป บอกให้ข้ามาส่งข่าวท่านว่าให้ตามนางได้ที่ขบวนสินค้าตระกูลลู่ขอรับ”“เจ้าเป็นคนที่แคว้นนี้มิใช่รึ รู้จักหรือไม่ตระกูลพ่อค้าลู่”“รู้แล้วอย่างไร ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ”“เหอะ”“เหอะ”โจวเฉิงเค่อและหยางเหวินทะเลาะกันอีกหนหากมีช่องว่างโอกาสให้แขวะใส่กันเวลานี้ขบวนรถม้าของทั้งโจวเฉิงเค่อและขบวนม้าของหยางเหวินเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้หลายชั่วยามแล้ว เดินทางติดต่อกันยาวนานระยะหนึ่งจนต้องหยุดพักให้ม้าพักกินอาหารกินน้ำก่อนส่วนคนที่เหลือก็มาดูแผนที่วางแผนหาทางตามหาขบวนขนสินค้าตระกูลลู่ตามเบาะแสที่ซูเมิ่งทิ้งไว้ให้“คนม้าของเรายังสืบมิได้ความอีกรึ ป่านนี้ยังมิมีใครมาถึงอีก” หยางเหวินเดินออกมาจากกระโจมอีกฝ่ายหลังจากรำคาญทั้งหน้าและน้ำเสียงจนทนไม่ไหวตัดสินใจเดินกับมาหาเบาะแสจากคนของตนดีกว่าพอยิ่งได้รู้ว่าซูเมิ่งไปกับตระกูลลู่ตระกูลที่เขาเคยให้คนไปสืบประวัติมาเพราะเขาเคยเห็นอีกฝ่ายทักทายเอ่ยสนทนาอย่างสนิทสนสน
“คุณหนูเจ้าคะ มิทราบว่าคุณหนูคิดถึงสิ่งใดอยู่ มีเรื่องใดเป็นกังวลหรือไม่ ระ....หรือบ่าวรับใช้ไม่ดีพอเจ้าคะ”“หะ หา เรียกข้าหรือ”“บ่าวดูแลไม่ดีตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ บอกให้บ่าวปรับปรุงแก้ไขได้หมดนะ ตะ แต่อย่าไล่บ่าวออกเลย”“ข้าจะไปไล่เจ้าได้ย่างไร ลุกขึ้นก่อน”ซูเมิ่งตื่นจากภวังค์ของตนเองมาก็เพราะตกใจที่อยู่ดีดีสาวใช้ที่ลู่เจ๋อส่งมาคอยช่วยอำนวยความสะดวกนางลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บนดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับกลัวว่าซูเมิ่งจะลงโทษเสียอย่างนั้น“ข้ามิได้ไม่พอใจเรื่องใด เพียงคิดถึงเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น”“คิดถึงครอบครัวที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“อืม....” ซูเมิ่งหยุดคิดจากคำเรียกของอีกฝ่าย “มิรู้ว่าข้าสามารถเรียกพวกเขาว่าครอบครัวได้หรือไม่”เพราะคนที่เมื่อสักครู่ซูเมิ่งเผลอคิดถึงคือหยางเหวินน่ะสิ...มิใช่พี่ชายสายเลือดเดียวกันอย่างโจวเฉิงเค่อซูเมิ่งรู้สึกเหมือนนางทิ้งสิ่งสำคัญบางอย่างไป มันทำให้ในหัวใจนางรู้สึกเหมือนโดนคนขโมยเฉือนเนื้อบางส่วนทิ้งไประยะเวลาผ่านมาไม่กี่เดือนกับการอยู่ร่วมกันกับหยางเหวินในฐานะสามีภรรยามันช่างดูยาวนาน มีหลายครั้งที่นางเผลอผูกพันกับชายหนุ่ม