ปึง!
ท้ายที่สุดเมื่อมือทั้งสองของเขามิว่างเพราะต้องคอยจับยึดสตรีที่เขาแบกอยู่บนบ่านั้นที่ช่างไม่รู้จักอยู่นิ่งเฉย บอกให้เงียบนางก็หุบปากร้องนั่นแหละ ทว่าบอกให้หยุดดิ้นเพราะเดี๋ยวตกไปไยนางจึงมิหยุดดิ้นเสียที
เหอะ รู้หรือไม่อาการขัดใจยามที่เขาอุ้มนางเช่นนี้มันยิ่งกระตุ้นโทสะในอกของเขาให้มันจวนระเบิดออกมายิ่งนัก
ขณะเดินลอดผ่านซุ้มประตูในเรือนห้องนอน ด้วยเพราะเขาเป็นคนตัวสูงมากกว่ามาตรฐานบุรุษทั่วไปฉะนั้นจึงใช้อีกมือคอยบังไว้เหนือร่างนางอีกทีเพราะกลัวกระแทกโดนคานข้างบน
สุดท้ายก็เดินเข้ามาในห้องนอนได้อย่างปลอดภัยสักที
ตุ้บ
ไม่รอช้าหยางเหวินก็โยนนางลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนฟูกเตียงนอนทันที
ร่างเล็กที่บัดนี้เดือดดาลอัดอั้นมิแพ้ชายหนุ่มรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากเตียง
“ห้ามออกจากห้องนี้เด็ดขาด นี่คือคำสั่ง!”
คนโดนสั่งตีสีหน้าปั้นปึงใส่เขาขณะจ้องมองเขม็งมา
“ข้าว่าเราสองคนไว้ค่อยคุยกันตอนอารมณ์เย็นกว่านี้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ได้ ข้ารอมานานเกินไปแล้ว”
“รออันใด เป็นข้าผู้เป็นภรรยาที่ต้องรอสามีอยู่ที่จวนมิใช่หรือเจ้าคะ”
หยางเหวินเหมือนได้ยินเสียงเหอะจากนางแม้ว่าอีกฝ่ายจะมิได้ทำก็ตาม
“เจ้าอยู่ที่นี่ในฐานะภรรยาของข้า ตั้งแต่เจ้าแต่งเข้ามาเคยทำหน้าที่ตนบ้างหรือไม่”
มือหนาเอื้อมมาจับคางซูเมิ่งให้หันกลับมามองหน้ากัน
“ที่ท่านนำโทสะมาลงข้าเช่นนี้ คงมิใช่ว่าน้อยใจที่ข้ามิออกไปรับหน้าท่านตอนท่านมาถึงจวนหรอกนะเจ้าคะ เรื่องแค่นั้นท่านแม่ทัพผู้เก่งกาจหยางเหวินคงมิเก็บนำมาใส่ใจหรอกกระมัง เกรงว่าเพียงเพราะมีข้าอยู่ในจวนแห่งนี้ก็ทำให้ท่านมิพอใจมากกว่าจึงได้หาเรื่องกันเช่นนี้”
ซูเมิ่งเหมือนกำลังระเบิดความอัดอั้นในใจตนเองที่เก็บมาตลอดหลายปีที่อาศัยอยู่ในจวนแห่งนี้ทั้งหมดใส่บุรุษตรงหน้า
นางสงบเสงี่ยมเจียมตัวมิพอหรือ
นางรู้ฐานะตนเองจนไม่มีปากมีเสียงไม่พอหรือ
เรือนท้ายจวนยังไกลไม่พอใช่หรือไม่
ไยพวกเขาจึงหาเรื่องระรานกันได้ตลอดเวลา
ใครจะไปคิดว่าคำพูดตรงไปตรงมาของนางจะทำให้อีกฝ่ายยิ่งไม่พอใจ ใบหน้าหล่อเหลาที่นางเคยคิดเสียดายที่มิเคยเห็นเขายิ้มส่งเสริมใบหน้าที่พระเจ้าอุตส่าห์ตั้งใจปั้นนี้
เวลานี้นอกจากนางไม่เคยเห็นรอยยิ้ม ตั้งแต่นางเจอหน้าสามีนางอีกรอบ ดวงตาอีกฝ่ายก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ
ดวงตาเขาบัดนี้ยิ่งเข็มขึ้นอย่างน่ากลัว
“แค่....แค่มิมาต้อนรับข้าอย่างนั้นรึ เหอะ ปากเจ้านี่มัน.....”
จู่ๆ หยางเหวินก็หยุดพูดและก้มลงมาประกบจูบริมฝีปากของสตรีปากร้ายอย่างรุนแรง
ทั้งดุเดือด บดขยี้ริมฝีปากนั้นอย่างโหดร้าย เขาจูบซูเมิ่งด้วยความโกรธ
ชายหนุ่มต้องการกลืนลมหายใจนางทั้งหมด ต้องการสั่งสอนนางมิให้กล้าพูดจาน่ารำคาญเช่นนั้นโดยมิคิดให้ดีเสียก่อน
และสุดท้ายเขากัดริมฝีปากนางอย่างแรงก่อนจะผละออกมาจ้องมองคนตัวเล็กที่แทบไร้เรี่ยวแรงแม้กระทั่งการยืนให้ตรงจึงเผลอเกาะเกี่ยวแขนของคนที่นางมิอยากมองหน้าแน่น
“หยุด หยางเหวิน....ขะ อื้ม”
เขาปล่อยให้นางชั่วครู่เดียวเท่านั้นเพื่อหายใจก่อนที่ปากนางจะโดนครอบครองอีกหน
คราวนี้จูบที่อีกฝ่ายมอบให้นางนางทวีความดุดันยิ่งกว่าเดิม ราวกับหยางเหวินเป็นผีดูดเลือด ปากนางเลือดไหลเพราะโดนเขากัดไม่พอ ยังโดนเขาดูดซับเลือดราวกับกระหายน้ำเลือดของนางยิ่ง
ไม่นานความคาวของเลือดก็ปนเปไปกับน้ำลายแพร่กระจายทั่วปากของทั้งคู่
“แฮ่ก ท่านจะฆ่ากันให้ตายหรืออย่างไร แฮ่ก....”
นางหายใจมิทัน แถมรู้สึกว่าตนเองโดนอีกคนสูบลมหายใจด้วยซ้ำ
สตรีที่มิเคยแม้กระทั่งจูบกับใครอย่างนางจะมาตายเพราะเรื่องนี้เอาได้
“นี่เป็นบทลงโทษที่เจ้ามิออกมาต้อนรับข้าในวันนี้”
“ลงโทษเช่นไรกัน ขะ....”
ซูเมิ่งโกรธไปด้วยเลือดลมสูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้าและใบหูนางไปด้วย
ลงโทษราวกับเขาและนางเป็นสามีภรรยาแท้จริงอย่างนั้นแหละ
ตลกร้ายเกินไปหรือไม่
ในขณะเดียวกันซูเมิ่งก็พยายามขืนตัวออกจากอ้อมแขนแข็งแกร่งที่เอี่ยวรั้งเอวนางร่างกายของทั้งสองคนให้แนบชิดกัน
ซูเมิ่งรู้สึกถึงอันตรายที่ส่งผ่านมาทางสายตา
หยางเหวินจ้องมาที่นาง นัยน์ตาลึกล้ำยากจะเข้าใจนางรู้เพียงแต่ว่าไม่ดีแน่ถ้าตนเองอยู่ในสถานที่อันตรายนี้
“นะ ในเมื่อท่านลงโทษข้าเสร็จแล้ว ปล่อยให้ข้ากลับเรือนของข้าได้แล้วกระมังเจ้าคะ”
“กลับ?”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“ที่เจ้าเหยียบอยู่คือเรือนของสามีเจ้า....”
“เรือนของท่านหาใช่เรือนของข้า!”
เถียงเก่งยิ่ง!
พูดจบซูเมิ่งก็สะบัดมือหนาออกเฮือกสุดท้ายอย่างแรงจนหลุดจากพันธนาการ
จะรอช้าอยู่ไย ซูเมิ่งได้โอกาสก็คิดว่าจะรีบหลีกหนีจากเรือนแสนอันตรายแห่งนี้ทันทีทว่าใครจะคิดว่าตนเองจะขาสั้นเกินไป เจ้าของห้องก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถเดินนำมาขวางทางออก
“ที่ผ่านมา เจ้าอยู่ที่เรือนนั้นตลอดเลยงั้นรึ”
“ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ ท่านมิต้องใส่ใจข้า เรือนหลังนั้นบรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ ข้าพอใจที่นั่นยิ่งนัก”
ซูเมิ่งมองสบดวงตาเย็นชาที่ราวกับว่าภายในแววตานั้นกำลังมีคลื่นพายุก่อตัวอยู่เมื่อได้ฟังเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
พวกเขาให้นางอยู่ที่นั่นเองมิใช่รึ ลืมสิ่งที่ตนเองสั่งไว้ง่ายดายเช่นนั้นเชียว
ซูเมิ่งไม่รีรอนางพยายามเดินอ้อมร่างสูงใหญ่ที่มายืนขวางนางผู้อื่น
“ข้าสั่งให้เจ้ากลับไปรึ”
ซูเมิ่งทำราวกับมิได้ยินเสียงไล่หลัง นางก้าวเดินต่อไป ทว่าท้ายที่สุดก็ต้องหยุดเดินเมื่อได้ยินประโยคไร้เหตุผลของอีกฝ่ายถัดมา
“เรือนหลังนั้นต่อไปข้าจะสั่งให้คนทำลายทิ้งเสีย ต่อจากนี้เจ้าเก็บของกลับมารับใช้สามีของเจ้าที่เรือนแห่งนี้”
“.....”
วินาทีถัดมาคนที่เพิ่งทิ้งระเบิดใส่นางก็เดินผ่านหน้านางนำออกจากห้องไปอย่างหน้าตาเฉย
ตามด้วยเสียงถ่ายทอดคำสั่งไร้ความเห็นชอบจากเจ้าของเรือนอย่างนางเลยสักนิด
“พวกเจ้าส่งคนไปย้ายข้าวของที่เรือนฮูหยินมาให้หมดและทุบทำลายที่นั่นทิ้งเสีย!”
ซูเมิ่งไร้คำจะกล่าว.....
............................................................................
เอ่อ คุณพี่คะ บอกให้น้องย้ายเรือนดีดีก็ได้มั้งคะ ถึงกับทำลายข้าวของ.....
ส่วนที่สงสัยว่าคุณพี่ตัวร้ายคนนี้จะมาดีหรือมาร้ายอันนี้ต้องติดตามน้า ยังไม่เฉลยจ้า........
.....
ฝากคอมเมนต์และกดใจให้กันด้วยน้า
บทส่งท้ายและวันนั้นทั้งวันหยางเหวินโดนพ่อตาของตนเองลากไปไหนมาไหนด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันจนซูเมิ่งนึกสงสัยว่าหรือสามีของนางจะเป็นลูกชายที่หายสาบสูญไปอีกคนหนึ่งของบิดาตนเองซูเมิ่งทั้งวันไม่ไปนั่งพูดคุยกับญาติพี่น้องร่วมสายเลือดในจวนก็เข้าไปนั่งเล่นกับน้องชายสุดแสนน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดหนาวเท่านั้นจวบจนตอนค่ำยามซวี [1] นั่นแหละนางจึงมีโอกาสขอตัวกลับเรือนของตนเองที่ครอบครัวนางเตรียมเอาไว้ให้เรือนหลังนี้ใหญ่ไม่แพ้หลังไหนๆ ในจวน การตกแต่งแม้จะเรียบง่ายแต่ของใช้ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่ยังมิเคยได้ใช้ เป็นวัสถดุเนื้อดีทั้งนั้นเรือนส่วนตัวสภาพดีขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกของนางเลยกระมังที่ได้รับการดูแลเช่นนี้“ยิ้มขนาดนั้น เจ้าชอบเรือนหลังนี้มากเลยหรือ”เสียงของหยางเหวินบุรุษที่วันนี้หายหน้าหายตาไปจากซูเมิ่งทั้งวัน พร้อมกับอ้อมกอดจากคนตัวโตสวมโอบนางจากข้างหลัง“เจ้าค่ะข้าชอบที่นี่ แต่มิใช่แค่เรือนหลังนี้ แต่เป็นทุกคนที่นี่ด้วย พวกเขาต้อนรับข้าอย่างดียิ่ง”“เช่นนั้นหากเรากลับแคว้นไปข้าให้คนสร้างจวนของพวกเราสองคนแยกออกมาดีหรือไม่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินทำเลดีมิหยอก ข้ายกให้เจ้า จะให้สร้างจวนห
บทที่ยี่สิบภรรยากับครอบครัวที่แท้จริงณ แคว้นหูอี๋ฉีจวนตระกูลโจวจวนหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวง ตระกูลโจวเป็นตระกูลแม่ทัพตั้งแต่รุ่นทวดลงมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับแคว้นเย่ ตระกูลโจวก็เปรียบได้ดั่งตระกูลหยางดีที่เวลานี้สองแคว้นสงบศึกเปลี่ยนมาสมานฉันท์กันหลายปีแล้ว มิเช่นนั้นสองทายาทตระกูลแม่ทัพคงเคยพบเจอกันบ้างในสงครามระหว่างแคว้นแม้ว่ารุ่นลูกอาจไม่เคยฟาดฟันกันแต่สำหรับรุ่นพ่อนั้นไม่แน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขตระกูลหยางกับประมุขตระกูลโจวแห่งสองแคว้นจะเคยปะทะฟาดฟันวัดฝีมือกันมาก่อนเวลานี้ฝ่ายซูเมิ่งรวมฝ่ายของพี่ชายและคนของสามีนางแยกย้ายจากขบวนสินค้าของตระกูลลู่มาระยะหนึ่งแล้วเป็นเพราะไปคนละทาง ตระกูลลู่ต้องการไปเมืองชายแดนเพื่อส่งสินค้า แต่พวกนางต้องการไปเมืองหลวงดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรถม้าคันของโจวเฉิงเค่ออยู่นั่นเองเห็นพี่ชายบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามจะถึงจวนของเราพี่ชายใช้คำว่าของเราทำให้ซูเมิ่งรู้สึกซาบซึ้ง....ในที่สุดนางก็กำลังมีบ้านและครอบครัวเป็นของตนเองสักที“ถึงจวนตระกูลโจวแล้วขอรับคุณชาย”เนื่องจากในห้องโดยสารมีคนนั่งอยู่เพียงสองคนคือนางและพี่ชาย
บทที่สิบเก้าภรรยากับคำสารภาพ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ขบวนของเราโชคดีได้หยุดพักที่สถานที่มิห่างไกลจากน้ำตกมากนัก คุณชายฝากถามว่าคุณหนูอยากชำระร่างกายหรือแช่น้ำหรือไม่เจ้าคะ เวลานี้ไม่มีคนใช้งานและเดี๋ยวให้คนไปกั้นเขตให้คุณหนูเจ้าค่ะ”“น้ำตกหรือ...อืม ก็ดีเหมือนกัน ข้าอยากแช่น้ำเย็นสักหน่อย มิได้อาบน้ำทุกวันดังเช่นปกติ รู้สึกเหนียวตัวยิ่งนัก”“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเดี๋ยวบ่าวรีบไปเรียนคุณชายให้จัดกั้นพื้นที่ให้นะเจ้าคะ รอบ่าวสักครู่”“ได้ ขอบใจมากนะ”พอหลิ่นปินไปภายในกระโจมหลังน้อยก็เงียบลงทันตา ซูเมิ่งหันหลังกับไปเตรียมชุดและของใช้อาบน้ำที่จำเป็นด้วยตนเองที่ด้านหลัง เวลาผ่านไปไม่ถึงถ้วยน้ำชานางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในกระโจมนาง“กลับมาเร็วยิ่ง คุณชายว่าอย่างไรบะ บ้าง....อ้าว ท่านพี่! อุ้บ!”คนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่สาวใช้อย่างที่ซูเมิ่งคิด แต่เป็น หยางเหวิน บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พอก้าวเท้าเข้ามาในกระโจมก็ดูคับแคบขึ้นมาทันตา ชายหนุ่มคงรู้ว่าซูเมิ่งไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายจึงก้าวเข้ามาประชิดตัวนางและใช้มือหนาปิดปากมิให้ส่งเสียงดังโวยวาย“อื้อ อ่านเอ้าอาไอ้อ่างไอ อ่อยอ้า!”“หากข้าปล่อยแล้วเจ้าจะเร
“นั่นเจ้าใช่หรือไม่ซูเมิ่ง เป็นเจ้า!” เสียงของหยางเหวิน บุรุษที่นางเคยรู้สึกปลอดภัยยามได้ยินเสียง ทว่าบัดนี้มิใช่อีกต่อไปแล้ว....“ข้าเอง พวกท่านกำลังทำสิ่งใด อย่าทำร้ายพวกเขานะ”ซูเมิ่งโดนจับได้นางจึงวิ่งออกไปขวางมิให้คนของหวางเหวินทำร้ายหรือมาต่อสู้กับคนของลู่เจ๋อทีแรกบุรุษทั้งสามเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีที่ตามหามาหลายวันก็พากันดีใจ รอยยิ้มปรากฏบนหน้าไปตามๆ กัน ทว่าพอเห็นนางวิ่งเข้ามาไม่เกรงกลัวอันตรายหรือลูกหลงท่ามกลางการต่อสู้ก็ตกใจ หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มกันหมด“พวกเจ้าหยุดลงมือ!”คนของฝ่ายหยางเหวินหยุดต้อนผู้คุ้มของขบวนสินค้าทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านาย ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้ต้อนพวกนี้ให้จนมุมยอมศิโรราบเท่านั้นก็ตามซูเมิ่งบัดนี้ยืนอยู่กลางทางระหว่างขบวนสินค้าตระกูลลู่กับฝ่ายของพี่ชายและสามีนาง“น้องน้อยเจ้าอย่าเพิ่งวิ่งไปทั่วสิ มันอันตราย” เสียงของโจวเฉิงเค่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางมองเห็นบนใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมีเหงื่อ แววตาดูตื่นตระหนกเกรงว่านางจะได้รับอันตรายจริงอย่างที่พี่ชายเอ่ย“แม่นางซูทางนั้นอันตรายเข้ามาหลบพักในรถม้าก่อนเถิด”ลู่เจ๋อและผู้คุ้มกันของเข
บทที่สิบแปดภรรยามิยอมอีกต่อไปแล้ว“ทำไมเจ้ามิตามนางไปด้วย ปล่อยให้นางซึ่งเป็นสตรีปีนขึ้นรถม้าขบวนพวกพ่อค้าจิตใจเจ้าเล่ห์แสนกลไปได้เยี่ยงไร”“ขะ ข้าน้อยคิดไม่ทัน คุณหนูบอกมิให้ข้าตามไป บอกให้ข้ามาส่งข่าวท่านว่าให้ตามนางได้ที่ขบวนสินค้าตระกูลลู่ขอรับ”“เจ้าเป็นคนที่แคว้นนี้มิใช่รึ รู้จักหรือไม่ตระกูลพ่อค้าลู่”“รู้แล้วอย่างไร ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ”“เหอะ”“เหอะ”โจวเฉิงเค่อและหยางเหวินทะเลาะกันอีกหนหากมีช่องว่างโอกาสให้แขวะใส่กันเวลานี้ขบวนรถม้าของทั้งโจวเฉิงเค่อและขบวนม้าของหยางเหวินเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้หลายชั่วยามแล้ว เดินทางติดต่อกันยาวนานระยะหนึ่งจนต้องหยุดพักให้ม้าพักกินอาหารกินน้ำก่อนส่วนคนที่เหลือก็มาดูแผนที่วางแผนหาทางตามหาขบวนขนสินค้าตระกูลลู่ตามเบาะแสที่ซูเมิ่งทิ้งไว้ให้“คนม้าของเรายังสืบมิได้ความอีกรึ ป่านนี้ยังมิมีใครมาถึงอีก” หยางเหวินเดินออกมาจากกระโจมอีกฝ่ายหลังจากรำคาญทั้งหน้าและน้ำเสียงจนทนไม่ไหวตัดสินใจเดินกับมาหาเบาะแสจากคนของตนดีกว่าพอยิ่งได้รู้ว่าซูเมิ่งไปกับตระกูลลู่ตระกูลที่เขาเคยให้คนไปสืบประวัติมาเพราะเขาเคยเห็นอีกฝ่ายทักทายเอ่ยสนทนาอย่างสนิทสนสน
“คุณหนูเจ้าคะ มิทราบว่าคุณหนูคิดถึงสิ่งใดอยู่ มีเรื่องใดเป็นกังวลหรือไม่ ระ....หรือบ่าวรับใช้ไม่ดีพอเจ้าคะ”“หะ หา เรียกข้าหรือ”“บ่าวดูแลไม่ดีตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ บอกให้บ่าวปรับปรุงแก้ไขได้หมดนะ ตะ แต่อย่าไล่บ่าวออกเลย”“ข้าจะไปไล่เจ้าได้ย่างไร ลุกขึ้นก่อน”ซูเมิ่งตื่นจากภวังค์ของตนเองมาก็เพราะตกใจที่อยู่ดีดีสาวใช้ที่ลู่เจ๋อส่งมาคอยช่วยอำนวยความสะดวกนางลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บนดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับกลัวว่าซูเมิ่งจะลงโทษเสียอย่างนั้น“ข้ามิได้ไม่พอใจเรื่องใด เพียงคิดถึงเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น”“คิดถึงครอบครัวที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“อืม....” ซูเมิ่งหยุดคิดจากคำเรียกของอีกฝ่าย “มิรู้ว่าข้าสามารถเรียกพวกเขาว่าครอบครัวได้หรือไม่”เพราะคนที่เมื่อสักครู่ซูเมิ่งเผลอคิดถึงคือหยางเหวินน่ะสิ...มิใช่พี่ชายสายเลือดเดียวกันอย่างโจวเฉิงเค่อซูเมิ่งรู้สึกเหมือนนางทิ้งสิ่งสำคัญบางอย่างไป มันทำให้ในหัวใจนางรู้สึกเหมือนโดนคนขโมยเฉือนเนื้อบางส่วนทิ้งไประยะเวลาผ่านมาไม่กี่เดือนกับการอยู่ร่วมกันกับหยางเหวินในฐานะสามีภรรยามันช่างดูยาวนาน มีหลายครั้งที่นางเผลอผูกพันกับชายหนุ่ม