Share

 ทะลุมิติมาเป็นสตรีร้ายกาจ 80s
ทะลุมิติมาเป็นสตรีร้ายกาจ 80s
Author: sanvittayam

บทที่ 1 ฉันย้อนมาในยุค 80

Author: sanvittayam
last update Last Updated: 2025-07-02 16:00:09

บทที่ 1 ฉันย้อนมาในยุค 80

เมืองหลิงโจว หมู่บ้านไผ่เขียว ปี 1981

“ฮือ ๆ ซินเยว่ ตื่นมาเถิดลูกแม่ อย่าทำให้แม่กลัวแบบนี้สิ  รู้ไหมว่าใจแม่จะขาดแล้ว ตื่นเถอะลูก” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยออกมาพร้อมกับร้องไห้เสียใจปานใจจะขาด นางมองบุตรสาวที่นอนไร้สติด้วยสายตาเป็นห่วง

“สมน้ำหน้าแล้ว หาเรื่องเขาไปทั่วแบบนี้ก็สมควรแล้ว นี่คงเป็นผลพวงจากที่ผู้คนสาปแช่งสินะ”

เสียงหญิงชราคนหนึ่งดังขึ้นอย่างเย้ยหยัน นางไม่ชอบหญิงสาวที่นอนสลบอยู่เลยแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายมักจะหาเรื่องคนไปทั่ว ใครมองหน้าเข้าหน่อยก็ชี้หน้าด่าอย่างไร้เหตุผล จึงทำให้มีแต่คนสาปแช่งเธอมากมาย

“นั่นสิ หาเรื่องคนอื่นก่อนแล้วตัวเองล้มหัวฟาดพื้นจนหมดสติ แล้วอย่างนี้จะเอาผิดใครกันล่ะ แบบนี้ก็สมน้ำหน้าแล้ว” ชาวบ้านอีกคนที่มุงดูอยู่พูดขึ้นอย่างเหลืออด เพราะหล่อนก็ไม่ค่อยชอบหญิงสาวที่ชื่อหลินซินเยว่คนนี้สักเท่าไร เนื่องจากครั้งหนึ่งเคยถูกอีกฝ่ายชี้หน้าด่า โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้เลย

“ทำไมถึงพูดกันแบบนี้ ต่อให้มีเรื่องหรือไม่ชอบใจกัน เห็นคนล้มหัวฟาดพื้นสลบไปแบบนี้ ทำไมถึงไม่เรียกหมอหรือให้ใครมาช่วยพาเธอไปโรงพยาบาล นี่ไม่เท่ากับต้องการให้ซินเยว่ของฉันตายหรือ”

จางฮุ่ยอีที่เป็นแม่ของหลินซินเยว่ ยังคงร้องไห้ฟูมฟายพร้อมกับพูดไปด้วย ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวคนหนึ่งอย่างมีความหมาย

“มองอะไร ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนะ นังซินเยว่มันลื่นล้มของมันเอง ไม่เชื่อก็ถามคนพวกนี้ดูสิ”

หญิงสาวที่มีชื่อว่าตู้หลินเซียนพยายามพูดปัดให้พ้นผิด เธอรู้ดีว่าในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีใครชอบหลินซินเยว่เลย และเธอก็เกลียดอีกฝ่ายมากที่มาแย่งชายที่เธอชอบไป พอเจอหน้ากันในวันนี้จึงมีปากเสียงกันจนลุกลามถึงขั้นลงไม้ลงมือ แต่ใครจะคิดกันเล่าว่าหลินซินเยว่จะเหยียบไปโดนตะไคร่น้ำจนล้มหัวฟาดกับปูนแล้วสลบไปแบบนี้

พอชาวบ้านได้ยินว่าลูกสาวบ้านตู้ต้องการพยาน ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ ก็พยักหน้ารับกันรัว ๆ

“มาเถอะแม่ เดี๋ยวผมพาน้องไปโรงพยาบาลเอง หัวไม่แตกแต่สลบไปแบบนี้ ผมกลัวเลือดคั่งในสมองเหลือเกิน”

มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างกังวลใจ เขาคือหลินอี้เฉินพี่ชายของหญิงสาวที่กำลังนอนสลบไสลอยู่นั้นเอง

ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้ามาหลังจากมีคนไปแจ้งข่าวว่าน้องสาวตนเองนั้นลื่นล้มหัวฟาดพื้นจนหมดสติ ก่อนจะรีบอุ้มร่างของหลินซินเยว่ แล้วรีบพาไปที่รถสามล้อที่ได้ว่าจ้างมา เพื่อจะได้พาน้องสาวไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน โดยมีผู้เป็นแม่ติดตามไปด้วยอย่างห่วงใย

โรงพยาบาลในเมือง

หลังจากส่งน้องสาวเข้าห้องฉุกเฉินแล้ว หลินอี้เฉินและแม่ก็นั่งรออยู่ที่หน้าห้องด้วยความร้อนใจ เนื่องจากกลัวว่าหลินซินเยว่จะเป็นอันตรายกว่าที่เห็นจากการหกล้มหัวฟาดพื้นในครั้งนี้

เวลาผ่านไปราว ๆ หนึ่งชั่วโมง ร่างของหญิงสาวก็ถูกพามาไว้ที่ห้องพักของผู้ป่วย

“พยาบาล ลูกสาวของฉันเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมเธอยังไม่ฟื้นอีกล่ะ” จางฮุ่ยอีถามพยาบาลที่มาดูแลอย่างร้อนใจ

 “อย่ากังวลไปเลยค่ะ หมอบอกว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก ให้นอนพักอีกสักหน่อยก็คงจะฟื้นแล้ว” พยาบาลสาวตอบกลับอย่างใส่ใจ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องพักคนป่วย

เมื่อได้ยินพยาบาลพูดอย่างนั้น ทั้งสองก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นหลินอี้เฉินจึงพูดขึ้นมาว่า

“แม่ครับ เดี๋ยวผมกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อส่งข่าวให้พ่อได้รับรู้ก่อนนะครับ พ่อจะได้ไม่เป็นห่วง”

 “ดี ๆ ลูกรีบไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้แม่จะอยู่เฝ้าซินเยว่เอง”คนเป็นแม่รีบตอบกลับอย่างเห็นด้วย นั่นเพราะอยากอยู่เฝ้าลูกสาวที่โรงพยาบาลด้วยตนเอง

“ซินเยว่ลูกแม่ ตื่นมาเถอะนะลูกรัก แม่เป็นห่วงลูกมากเหลือเกิน อ้อ..จริงสิ เดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำมาไว้ให้ลูกดีกว่า ตื่นมาลูกคงจะหิวน้ำ”

จางฮุ่ยอีมานั่งข้างเตียงแล้วจับมือลูกสาวไว้อย่างห่วงใยพร้อมกับพร่ำบอกให้เธอตื่นขึ้นมาเสียที ก่อนจะนึกได้ว่าลูกสาวคงจะหิวน้ำหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา จึงเดินออกไปหาน้ำมาไว้ให้เธอ

‘ใครคือซินเยว่’ คนที่หลับอยู่คิดในใจอย่างสงสัย

ความจริงเรื่องที่คนอื่นคิดว่าเธอกำลังสลบอยู่นั้น กลับฟื้นคืนสติมาได้สักพักแล้ว แต่พอรู้สึกหนักศีรษะก็เลือกที่จะไม่ลืมตาขึ้นมา ในใจนึกสงสัยว่า ‘ซินเยว่คือใครกันนะ แล้วตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนกันแน่ ทำไมมีแต่คนพูดภาษาจีนกันล่ะ แล้วทำไมฉันถึงฟังรู้เรื่องทุกคำแบบนี้ ’

หญิงสาวนอนคิดไปคิดมาอย่างไม่เข้าใจ แต่ยังไร้เรี่ยวแรงที่จะลืมตาขึ้นมา จึงคิดไปเรื่อย ๆ

 ‘เท่าที่จำได้ก่อนหน้านี้ฉันอยู่ในงานรับรางวัลนักธุรกิจมือทอง ซึ่งฉันได้รับรางวัลนี้หกปีซ้อนนี่น่า แล้วเท่าที่จำได้ฉันก็กลับมาถึงที่พัก ก็รู้สึกเหนื่อยล้าและหลับไป แล้วเสียงการพูดจาของคนจีนพวกนี้เป็นใคร คนพวกนี้ไม่น่าจะมาอยู่ในห้องพักของฉันเลยนะ’  

ขณะที่ความคิดของเธอกำลังตบตีกันอยู่นั้น หญิงสาวจึงตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้นมาเพื่อจะได้รู้ว่าใครกันที่มาอยู่ในห้องนอนของตัวเอง แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาจริง ๆ กลับพบว่าบรรยากาศโดยรอบไม่เป็นเหมือนเดิม ‘สถานที่ตรงนี้ไม่ใช่ห้องของเธอ’

หญิงสาวคิดอย่างตกใจ จากนั้นจึงได้ลุกพรวดขึ้นมานั่ง แล้วหันมองรอบ ๆ จึงได้รู้ว่าตนเองนั้นน่าจะอยู่ที่ห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลสักแห่ง แต่ที่น่าแปลกใจเพราะที่นี่ดูเก่าและโทรมมากในสายตาเธอ

 “เอ๊ะ นี่มันที่ไหนกัน” เธอพูดขึ้นเสียงเบา

แต่แล้วจู่ ๆ เธอกลับปวดหัวรุนแรง ก่อนจะมีความทรงจำต่าง ๆ ของใครบางคนฉายให้เห็นไม่ต่างจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง จนทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง

ซึ่งเจ้าของร่างนี้มีชื่อว่า “หลินซินเยว่” เธอเป็นหญิงร้ายกาจประจำหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังเป็นหญิงขี้เกียจมาก และไม่ชอบทำงานอะไรเลย วัน ๆ เอาแต่แต่งตัวสวยแล้วเดินเที่ยวเล่น ใครเห็นก็เอาแต่ส่ายหน้าและไม่คิดแต่งเธอเข้าบ้านมาให้ลำบากทั้งกายใจ

ไม่ว่าเธอจะขี้เกียจและมักจะหาเรื่องคนไปทั่วยังไง แต่ก็ยังเป็นที่รักของครอบครัวหลิน

วันหนึ่งหลินซินเยว่เกิดถูกใจลูกชายคนที่สามของบ้านโม่ โม่กวนหยาง จึงได้วางแผนผิดผีกับเขา เพื่อให้เขาแต่งงานด้วย และแล้วเธอก็ทำสำเร็จ

แต่เพราะขี้เกียจความ เลยมักจะมีปากเสียงกับคนที่บ้านสามีอยู่แทบทุกวัน แม่สามีอย่างฟางเหนียงจึงให้ลูกชายแยกบ้าน โดยให้เงินจำนวนหนึ่งมาสร้างบ้าน ซึ่งหลินซินเยว่เลือกจะสร้างในที่ดินของครอบครัวตนเอง

เมื่อแยกบ้านมาอยู่ด้วยตัวเอง งานทุกอย่างในบ้านจึงตกเป็นหน้าที่ของสามีอย่างโม่กวนหยาง แม้ว่าเขาจะทำงานนอกบ้านด้วยก็ตาม ไม่ว่าจะเหนื่อยอย่างไรเขาก็ไม่เคยบ่น

“โอ๊ย..อะไรกันเนี่ย อยากจะบ้าตาย ทำไมฉันถึงต้องมาอยู่ในร่างของหญิงร้ายกาจคนนี้ได้ ฉันขอตายอีกรอบได้ไหม ทำไมสวรรค์ถึงกลั่นแกล้งฉันแบบนี้ล่ะ” หญิงสาวพูดออกมาอย่างขัดใจ หลังจากทบทวนความทรงจำทั้งหมดแล้ว

 “ไม่คิดว่าจะต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของหญิงที่ร้ายกาจแบบนี้ ขนาดฉันเองยังเกลียดร่างนี้เลย แล้วคนอื่นจะไม่เกลียดได้อย่างไรกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม โอ๊ย..ปวดหัว”

ขณะที่พูดก็ยกมือขึ้นกุมหัวเพราะทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้

ขณะเดียวกันจางฮุ่ยอีก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าลูกสาวฟื้นแล้ว จึงยิ้มทั้งน้ำตาและพูดขึ้นมาด้วยความดีใจว่า

 “ซินเยว่ ลูกฟื้นแล้ว รู้ไหมว่าทำให้แม่กลัวขนาดไหนที่เห็นลูกสลบไปแบบนั้น” เธอลูบหัวลูกสาวอย่างอ่อนโยน

“เอ่อ..ฉันฟื้นแล้วค่ะแม่” หญิงสาวตอบกลับเบา ๆ แม้จะไม่คุ้นชินเรียกคนตรงหน้าว่าแม่ก็ตาม แต่คิดว่าคงจะต้องสร้างความเคยชินได้แล้ว เพราะเธอคงจะอยู่ในร่างนี้ไปอีกนาน

‘เอาเถอะ ยังไงก็มาอยู่ในร่างนี้แล้ว คงจะต้องทำความสนิทสนมไว้ ฉันคงจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างของหญิงสาวร้ายกาจคนนี้ต่อไปสินะ แต่คนอย่างฉันจะไม่ทำตัวแบบเธอหรอกนะ หลินซินเยว่'  

หญิงสาวคิดในใจอย่างจำยอมและตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่

“ลูกอยากกินอะไรไหม เดี๋ยวแม่ไปหาซื้อให้ ตอนมาแม่เห็นที่หน้าโรงพยาบาลพอจะมีอาหารขายอยู่” จางฮุ่ยอีพูดอย่างกระตือรือร้น

“ไม่เป็นไรค่ะแม่ ตอนนี้ฉันยังไม่หิว อีกอย่าง อาการฉันก็ดีขึ้นมากแล้ว พวกเรากลับไปกินข้าวที่บ้านกันดีกว่าไหมคะ อยู่ที่นี่ก็มีแต่จะเปลืองเงินเปล่า ๆ ” หญิงสาวตอบอย่างอ่อนโยนพร้อมกับชักชวนกันกลับบ้าน ก่อนจะทำท่าจะลุกจากเตียง

นั่นเพราะจากความทรงจำของร่างเดิม ทำให้เธอรู้ว่าบ้านหลินไม่ได้มีเงินมากมาย การที่เธอต้องนอนอยู่โรงพยาบาลแบบนี้ ย่อมต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็นอยู่แล้ว

“นอนพักสักวันคงไม่เป็นไรหรอกลูก ตอนนี้พี่ชายของลูกก็ไปบอกพ่อ กับลูกเขยแล้ว สักพักก็คงจะพากันมาที่นี่” จางฮุ่ยอีบอกและกดให้เธอนอนลงที่เตียงเหมือนเดิม

เพราะคำว่า ‘ลูกเขย’ ทำให้หลินซินเยว่นึกขึ้นมาได้ว่าร่างนี้นั้นแต่งงานแล้ว และจากความทรงจำ หลินซินเยว่คนเดิมก็ไม่ได้ทำดีกับผู้เป็นสามีเลย

'โอ๊ย...ฉันอยากจะบ้าตาย ทำไมนอกจากเธอจะเป็นลูกและน้องที่แย่แล้ว ยังเป็นเมียที่ไม่ได้เรื่องอีกเหรอเนี่ย หลินซินเยว่'

หญิงสาวได้แต่บ่นร่างเดิมในใจ แต่ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเธอก็คือหลินซินเยว่ หญิงร้ายกาจคนนี้

แม้ว่าจะได้ยินแม่พูดมาอย่างนั้น แต่เธอก็ไม่อยากอยู่โรงพยาบาลต่อแล้ว เพราะรู้ดีว่าร่างกายตนเองไม่ได้เป็นอะไร เลยคิดว่ากลับไปบ้านน่าจะดีกว่า และที่สำคัญจะไม่ได้เปลืองเงินด้วย

“ฉันคิดว่าเรากลับบ้านกันดีกว่าค่ะแม่ ถ้าเรารีบหน่อยน่าจะทันก่อนที่กับพี่ใหญ่จะมาที่นี่ อยู่ที่โรงพยาบาลนี้ก็ไม่มีอะไร รังแต่จะทำให้เสียเงินเพิ่มเสียเปล่า ๆ ค่ะ เราเก็บเงินไว้ใช้อย่างอื่นดีกว่านะคะ” หญิงสาวจับมือของแม่ไว้และพูดกลับไปอย่างจริงจัง

“ได้ ๆ อย่างนั้นแม่จะไปถามพยาบาลก่อนนะ”

เมื่อเห็นว่าลูกสาวยืนยันหนักแน่น จางฮุ่ยอีก็ไม่อยากจะขัดเธออีก จึงได้บอกไปอย่างนั้น ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพักฟื้น แล้วตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่พยาบาลอยู่ เพื่อสอบถามว่ากลับบ้านได้หรือไม่

‘ทำไมฉันต้องมาอยู่ในยุคนี้ด้วย อะไรก็ไม่มีติดตัวมาสักอย่าง แล้วแบบนี้จะอยู่ได้ยังไงกัน' หญิงสาวก็ได้แต่นั่งบ่นในใจ แต่บ่นไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ ก็คือทำใจ และทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเท่านั้น!!

 จางฮุ่ยอีหายไปไม่นานก็กลับมาบอกกับลูกสาวว่า

“ไปกันเถอะ ลูกสามารถออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านได้ตามที่ร้องขอกับหมอแล้ว”

“จริงเหรอคะ ดีจังเลย อย่างนั้นเรากลับกันเถอะค่ะ” เมื่อได้ยินอย่างนั้น เลยทำให้หลินซินเยว่พูดออกมาอย่างดีใจมาก เพราะจะได้ไม่ต้องนอนติดเตียงอยู่ที่นี่

จากนั้นสองแม่ลูกก็เตรียมตัวกันเพื่อกลับบ้าน

‘เอาล่ะ ต่อไปนี้ฉันคือหลินซินเยว่ และฉันจะทำชีวิตนี้ให้ดีที่สุด’ หญิงสาวคิดในใจโดยที่สายตานั้นมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องพักฟื้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ทะลุมิติมาเป็นสตรีร้ายกาจ 80s   บทที่ 3 ถึงฉันจะร้ายแต่ก็ไม่โง่

    บทที่ 3 ถึงฉันจะร้ายแต่ก็ไม่โง่หลินซินเยว่คิดสงสัยอยู่อีกเรื่องหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าในเมื่อให้เธอมาอยู่ที่นี่แล้ว ทำไมไม่มีมิติหรือช่องว่างเหมือนนางเอกนิยายคนอื่นที่เธอเคยอ่านมาล่ะ“นั่นมันในนิยาย เธอจะคิดแบบนั้นได้ยังไง”หญิงสาวคิดไปคิดมาแล้วก็พูดอย่างยอมจำนน ก่อนจะรีบส่ายศีรษะทันทีเพื่อสลัดความคิดไร้สาระให้พ้นจากหัว จากนั้นจึงเดินไปหยิบข้าวสารเพื่อมาหุงไว้ให้สามีแม้ว่าหมู่บ้านนี้จะมีไฟฟ้าใช้แล้วก็ตาม แต่หลายครัวเรือนยังคงมีความเป็นอยู่เหมือนเดิม อีกทั้งไฟฟ้าในหมู่บ้านนี้ยังติด ๆ ดับ ๆ ไม่เสถียรเหมือนในเมือง บ้านหลังนี้แม้จะมีดวงไฟ แต่เครื่องใช้ไฟฟ้ายังคงราคาแพง ดังนั้นการหุงข้าวจึงยังคงเป็นแบบดั้งเดิม“เห้อ... หม้อหุงข้าวก็ไม่มี ต้องก่อเตาไฟและหุงแบบโบราณจริง ๆ เหรอเนี่ย ดีนะที่ฉันเคยเข้าค่ายลูกเสือมาก่อน”หญิงสาวบ่นออกมาเล็กน้อย แล้วลงมือก่อไฟเตาถ่านก่อนเป็นสิ่งแรก ซึ่งเธอก็ทำได้อย่างคล่องแคล่วเพราะเรียนวิชาลูกเสือมาอย่างไรล่ะระหว่างที่รอให้ข้าวสุกอยู่นั้น หลินซินเยว่ก็สำรวจครัวต่อ แม้ปากจะบอกว่าอยากกินต้มปลา แต่เมื่อในบ้านมีแค่แตงกวานิดหน่อยกับไข่เกือบสิบใบ จึงตั้งใจว่าจะผัดแตงกวา

  • ทะลุมิติมาเป็นสตรีร้ายกาจ 80s   บทที่ 2 สามีที่หล่อเหลา

    บทที่ 2 สามีที่หล่อเหลาส่วนทางด้านโม่กวนหยาง ขณะที่ชายหนุ่มทำงานอยู่นั้น มีคนมาบอกเรื่องที่ภรรยาเขาล้มหัวฟาด จึงรีบลางานเพื่อเดินทางมาโรงพยาบาลทันที แม้จะรู้ว่าจะต้องถูกหักเงินจำนวนไม่น้อยเลยก็ตามเมื่อมาถึงหน้าโรงพยาบาล ก็พบภรรยาและแม่ยายกำลังเดินออกมาพอดี“นั่นกวนหยางไม่ใช่หรือไง สงสัยรีบมาเพราะเป็นห่วงลูกแน่เลย” จางฮุ่ยอีพูดขึ้นมาเมื่อเห็นลูกเขยกำลังเดินเข้ามาหา พร้อมกับชี้ให้ลูกสาวดูหลินซินเยว่ได้ยินอย่างนั้นก็เงยหน้าขึ้น และเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาถึงและยืนอยู่ตรงหน้าก็อึ้งไปชั่วขณะ พร้อมกับคิดในใจว่า ‘นี่หรือโม่กวนหยาง ไม่คิดว่าเขาจะหล่อเหลาขนาดนี้’ “ซินเยว่ คุณเป็นยังไงบ้าง” โม่กวนหยางถามขึ้นมาอย่างห่วงใย สีหน้าของเขาดูตื่นตระหนกไม่น้อยเลย พร้อมกับใช้สายตากวาดมองทั่วร่างของภรรยาสาวเพื่อดูให้แน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไร“เอ่อ ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ” หญิงสาวที่ถูกถามและถูกมองอย่างนั้น ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเหมือนกัน เพราะความไม่คุ้นชินในตอนที่ตอบกลับไป จึงดูเก้อเขินไม่น้อย“จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง ล้มหัวฟาดพื้นจนสลบไปตั้งนาน นี่ก็ดื้อไม่ยอมนอนโรงพยาบาล แม่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วล่ะ” จาง

  • ทะลุมิติมาเป็นสตรีร้ายกาจ 80s   บทที่ 1 ฉันย้อนมาในยุค 80

    บทที่ 1 ฉันย้อนมาในยุค 80เมืองหลิงโจว หมู่บ้านไผ่เขียว ปี 1981 “ฮือ ๆ ซินเยว่ ตื่นมาเถิดลูกแม่ อย่าทำให้แม่กลัวแบบนี้สิ รู้ไหมว่าใจแม่จะขาดแล้ว ตื่นเถอะลูก” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยออกมาพร้อมกับร้องไห้เสียใจปานใจจะขาด นางมองบุตรสาวที่นอนไร้สติด้วยสายตาเป็นห่วง“สมน้ำหน้าแล้ว หาเรื่องเขาไปทั่วแบบนี้ก็สมควรแล้ว นี่คงเป็นผลพวงจากที่ผู้คนสาปแช่งสินะ”เสียงหญิงชราคนหนึ่งดังขึ้นอย่างเย้ยหยัน นางไม่ชอบหญิงสาวที่นอนสลบอยู่เลยแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายมักจะหาเรื่องคนไปทั่ว ใครมองหน้าเข้าหน่อยก็ชี้หน้าด่าอย่างไร้เหตุผล จึงทำให้มีแต่คนสาปแช่งเธอมากมาย“นั่นสิ หาเรื่องคนอื่นก่อนแล้วตัวเองล้มหัวฟาดพื้นจนหมดสติ แล้วอย่างนี้จะเอาผิดใครกันล่ะ แบบนี้ก็สมน้ำหน้าแล้ว” ชาวบ้านอีกคนที่มุงดูอยู่พูดขึ้นอย่างเหลืออด เพราะหล่อนก็ไม่ค่อยชอบหญิงสาวที่ชื่อหลินซินเยว่คนนี้สักเท่าไร เนื่องจากครั้งหนึ่งเคยถูกอีกฝ่ายชี้หน้าด่า โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้เลย“ทำไมถึงพูดกันแบบนี้ ต่อให้มีเรื่องหรือไม่ชอบใจกัน เห็นคนล้มหัวฟาดพื้นสลบไปแบบนี้ ทำไมถึงไม่เรียกหมอหรือให้ใครมาช่วยพาเธอไปโรงพยาบาล นี่ไม่เท่ากับต้องการให้ซินเยว่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status