ส่วนทางด้านโม่กวนหยาง
ขณะที่ชายหนุ่มทำงานอยู่นั้น มีคนมาบอกเรื่องที่ภรรยาเขาล้มหัวฟาด จึงรีบลางานเพื่อเดินทางมาโรงพยาบาลทันที แม้จะรู้ว่าจะต้องถูกหักเงินจำนวนไม่น้อยเลยก็ตาม
เมื่อมาถึงหน้าโรงพยาบาล ก็พบภรรยาและแม่ยายกำลังเดินออกมาพอดี
“นั่นกวนหยางไม่ใช่หรือไง สงสัยรีบมาเพราะเป็นห่วงลูกแน่เลย” จางฮุ่ยอีพูดขึ้นมาเมื่อเห็นลูกเขยกำลังเดินเข้ามาหา พร้อมกับชี้ให้ลูกสาวดู
หลินซินเยว่ได้ยินอย่างนั้นก็เงยหน้าขึ้น และเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาถึงและยืนอยู่ตรงหน้าก็อึ้งไปชั่วขณะ พร้อมกับคิดในใจว่า ‘นี่หรือโม่กวนหยาง ไม่คิดว่าเขาจะหล่อเหลาขนาดนี้’
“ซินเยว่ คุณเป็นยังไงบ้าง” โม่กวนหยางถามขึ้นมาอย่างห่วงใย สีหน้าของเขาดูตื่นตระหนกไม่น้อยเลย พร้อมกับใช้สายตากวาดมองทั่วร่างของภรรยาสาวเพื่อดูให้แน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไร
“เอ่อ ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ” หญิงสาวที่ถูกถามและถูกมองอย่างนั้น ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเหมือนกัน เพราะความไม่คุ้นชินในตอนที่ตอบกลับไป จึงดูเก้อเขินไม่น้อย
“จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง ล้มหัวฟาดพื้นจนสลบไปตั้งนาน นี่ก็ดื้อไม่ยอมนอนโรงพยาบาล แม่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วล่ะ” จางฮุ่ยอีได้ยินคำตอบของลูกสาวก็อดที่จะบ่นออกมาคล้ายกับฟ้องลูกเขยไม่ได้
พอได้ยินแม่ยายพูดแบบนั้น ชายหนุ่มทำเพียงพยักหน้า จากนั้นจึงมองไปที่ภรรยาต่อ เมื่อดูจนแน่ใจแล้วว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
“พวกเรากลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวผมไปตามรถสามล้อมาให้”
โม่กวนหยางพูดจบ และกำลังจะผละออกไปเรียกรถสามล้อ เนื่องจากเขารู้ดีว่าภรรยานั้นไม่ชอบเดิน เพราะเธอมักจะบอกเสมอว่าร้อนและเหนื่อย
แต่เท้าทั้งสองข้างของเขาก็ต้องชะงักลง เมื่อจู่ ๆ ผู้เป็นภรรยาพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องเรียกรถสามล้อหรอกค่ะพี่กวนหยาง เดี๋ยวเรากลับด้วยรถประจำทาง ฉันคิดว่าเดินไปพร้อมกันจะสะดวกกว่า พี่เองก็จะได้ไม่เหนื่อยที่ต้องเดินกลับไปกลับมา”
เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว ไม่เพียงแค่โม่กวนหยางที่รู้สึกแปลกใจและตกใจ แม้กระทั่งแม่ของหลินซินเยว่เองก็ยังมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ที่ลูกสาวดูจะเปลี่ยนไปมาก หลังจากที่ล้มหัวฟาดพื้นแล้วฟื้นคืนสติกลับมา
แม้จะตกใจและแปลกใจมากเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทั้งสองได้เพียงแต่พยักหน้ารับรู้ แล้วพากันเดินไปที่รถประจำทางเพื่อจะกลับเข้าไปในหมู่บ้าน
ระหว่างทาง หลินซินเยว่ได้แต่คิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ อยู่ในใจ
‘ฉันคงพยายามทำใจสินะว่าเวลานี้ฉันทะลุมิติมาอยู่ในยุค 80 จริง ๆ แถมจากความทรงจำ ร่างนี้ก็ร้ายไม่ใช่เล่นเลย ขนาดสามีตัวเองเธอยังใช้งานเขาเยี่ยงทาส สมแล้วที่บ้านสามีจะไม่ชอบร่างนี้ จนขอให้ทั้งสองคนแยกบ้านออกมา
ทั้งที่บ้านสามีล้วนแต่เป็นคนดีทั้งนั้น จะมีก็แต่คนบ้านรองโม่สินะที่คอยแต่จะหาเรื่องเธอ คงจะเป็นเพราะอาสะใภ้รองของสามีต้องการให้หลานสาวตนเองแต่งกับโม่กวนหยาง เพราะชายหนุ่มขยันทำงาน แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะร่างนี้ทำให้เขามาแต่งงานกับตัวเอง คิดดูแล้วก็ดีเหมือนกันที่แยกบ้านออกมาแบบนี้’
เธอคิดไปเงียบ ๆ และมีบางครั้งที่ขมวดคิ้วอย่างลืมตัว จนอีกสองคนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ สังเกตเห็น
“นั่งเงียบตลอดทางแบบนี้ ปวดหัวหรือเป็นอะไรหรือเปล่าลูก” จางฮุ่ยอีเห็นลูกสาวนั่งเงียบและมีสีหน้าครุ่นคิดมาตลอดทาง เลยกลัวว่าอาการของเธอจะแย่ลง จึงรีบถามออกมา
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะแม่ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง แม่ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกนะคะ” หญิงสาวได้ยินเสียงของแม่ ก็หลุดออกจากภวังค์ความคิด เธอพยายามยิ้มและตอบเบี่ยงประเด็นเพื่อไม่ให้แม่เป็นกังวลไปด้วย
‘นี่คงเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ฉันใจชื้นอยู่บ้าง ครอบครัวของร่างนี้นั้นเป็นคนดีทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้เป็นพ่อแม่หรือพี่ใหญ่ของเธอเองต่างก็ดีกับร่างนี้มาก
แต่ก็เป็นเพราะร่างนี้อีกนั่นแหละ ที่ไม่เคยทำดีกับครอบครัวเลย ตั้งแต่เล็กจนโตก็ล้วนเอาแต่ใจ จนคนที่บ้านแทบจะเอือมระอา แต่เมื่อฉันมาอยู่ในร่างนี้แล้ว ต่อไปฉันจะทำดีกับทุกคนเพื่อเป็นการตอบแทนอย่างแน่นอน’
หญิงสาวคิดในใจและยิ้มออกมาอย่างสบายใจ เธอตั้งใจว่าต่อไปนี้ใครดีมาเธอจะดีตอบ แต่ถ้าใครร้ายมา เธอจะร้ายกลับไปอย่างสาสม
“คุณไม่เป็นอะไรแล้วแน่นะ จะกลับไปนอนที่โรงพยาบาลสักคืนสองคืนก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอก”
โม่กวนหยางพูดขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทางของภรรยาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เขาเลยคิดจะพาเธอกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อให้เธอได้นอนพักฟื้นอีกสักสองสามคืน
แม้ว่าเขาจะแต่งงานกับเธอโดยที่ไม่ได้รักแบบชู้สาว แต่โม่กวนหยางก็รักเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง อีกทั้งเขายังมีหน้าที่เป็นสามีที่จะต้องดูแลภรรยา จึงไม่แปลกที่เขาจะเป็นห่วงและเอาใจใส่เธอ
“ฉันหายป่วยแล้วจริง ๆ ค่ะพี่กวนหยาง ว่าแต่พี่เถอะ มาแบบนี้ที่ร้านเขาไม่ว่าอะไรเหรอคะ”
หญิงสาวตอบสามีอย่างอ่อนโยนและถามกลับไปอย่างเป็นห่วง เพราะเธอจำได้ว่าสามีนั้นทำงานอยู่ที่ร้านขายของในเมือง หากออกมาในเวลางานแบบนี้ คงจะถูกหักค่าแรง หรือไม่ก็คงจะถูกตำหนิแน่นอน
“ไม่เป็นอะไรหรอก เถ้าแก่ก็ได้แต่บ่นนั่นแหละที่ผมลางานกะทันหัน ร่างกายของคุณสำคัญที่สุด เรื่องอื่นช่างมันเถอะ อย่างไรเดี๋ยวบ่ายนี้ผมจะลองขึ้นเขาสักหน่อย เผื่อจะได้สัตว์ป่ามาทำอาหารเย็นให้คุณกิน คุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” ชายหนุ่มตอบออกไป และไม่วายถามถึงความต้องการของเธอ
โม่กวนหยางรู้ดีว่าภรรยานั้นไม่ค่อยชอบกินผักสักเท่าไร แม้กระทั่งเนื้อปลาเธอยังไม่ค่อยจะกินเลย ทุกครั้งที่ต้องทำอาหาร เขาจะต้องไปหาเนื้อหรือว่าต้องซื้อเนื้อเข้ามาตลอด
“ฉันอยากกินต้มปลาค่ะ เดี๋ยวกลับไปถึงหมู่บ้าน เราไปจับปลาที่ลำธารสักหน่อยดีไหมคะ”
หลินซินเยว่นึกถึงอาหารที่เธออยากกินในตอนนี้ ในที่สุดก็คิดถึงอาหารจำพวกปลาขึ้นมา นั่นเพราะหนึ่งเลยหาง่าย สองมีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงตอบสามีไปอย่างสดใส
พอได้ยินว่าภรรยาต้องการกินปลา ชายหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าให้อย่างรับรู้ทันที และตั้งใจว่าเมื่อกลับไปถึงหมู่บ้านแล้ว เขาจะต้องไปที่ลำธารสักหน่อยเพื่อไปหาปลามาให้เธอ
“ได้สิ เดี๋ยวกลับไปถึงบ้านแล้วผมจะไปหาปลามาให้นะ”
แม้จะแปลกใจแต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก เขาคิดเพียงว่าภรรยาคงอยากกินจริง ๆ จึงบอกความตั้งใจของตนเองให้เธอรับรู้
ส่วนจางฮุ่ยอีชำเลืองมองลูกสาวด้วยความแปลกใจเหมือนกัน เธอนั้นเลี้ยงลูกสาวคนนี้มาตั้งแต่เด็ก ทำไมจะไม่รู้ว่าหลินซินเยว่นั้นไม่ชอบกินปลาเลยสักนิด แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร นั่นเพราะว่าเธอได้ยินมาเหมือนกันว่า คนที่ผ่านความตายมาแล้วมักจะมีท่าทีเปลี่ยนไป และไม่ค่อยเหมือนคนเดิมสักเท่าไหร่ นางเลยคิดว่าลูกตัวเองก็คงจะเป็นแบบนั้น
“เอาล่ะ แยกกันตรงนี้นะ เดี๋ยวแม่จะกลับไปที่บ้านเพื่อบอกพ่อและพี่ใหญ่ของลูกว่าลูกปลอดภัยดีและกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว ทั้งสองคนจะได้สบายใจ แล้วค่ำ ๆ แม่จะไปหา กวนหยางแม่ฝากซินเยว่ด้วยนะ”
เมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้าน จางฮุ่ยอีเห็นว่ามีลูกเขยอยู่กับลูกสาวแล้ว นางเลยเอ่ยปากขอตัวกลับบ้านหลิน เพื่อไปบอกข่าวกับสามีและลูกชายให้รู้ว่าหลินซินเยว่นั้นปลอดภัยดีและกลับมาบ้านแล้ว
“ครับ” โม่กวนหยางตอบรับคำฝากฝังของแม่ยายเพียงสั้น ๆ แต่ก็คอยประคองภรรยาอย่างห่วงใย
ส่วนทางด้านโม่กวนหยาง พอมาถึงบ้านของตนเอง ชายหนุ่มก็พาภรรยาเข้าไปนั่งพักผ่อนในบ้าน แล้วรีบเอาอุปกรณ์มาทำความสะอาดออกมาและกำลังจะลงมือทำความสะอาดบ้าน แต่กลับถูกผู้เป็นภรรยาเอ่ยห้ามไว้เสียก่อน
“งานบ้านมันไม่ใช่หน้าที่ของพี่ เดี๋ยวฉันจัดการเอง พี่จะเข้าป่าหรือไปจับปลาก็ไปเถอะ” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและลุกมาเพื่อจะทำความสะอาดบ้านด้วยตัวเอง
“เอ่อ…” ชายหนุ่มถึงกับนิ่งอึ้งไป เขาคิดว่าตนเองกำลังหูฝาดที่ได้ยินแบบนี้ เพราะตั้งแต่แต่งงานกันมา หน้าที่ทำงานบ้านเป็นของเขามาเสมอ แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมภรรยาถึงได้อยากทำแบบนี้ขึ้นมา
หลินซินเยว่เหมือนจะรู้ความคิดของสามี เลยรีบพูดขึ้นอีกครั้งด้วยท่าทีจริงจังว่า
“พี่ไม่ต้องแปลกใจอะไรหรอก ไม่ใช่ว่าฉันทำงานบ้านไม่เป็น แต่ก่อนหน้านี้ฉันแค่ไม่อยากทำเท่านั้น ฉันรู้ตัวเองดีว่าเมื่อก่อนฉันนั้นทั้งร้ายกาจและขี้เกียจแค่ไหน แต่การที่ฉันผ่านความเป็นความตายมาแล้ว ทำให้ฉันคิดอะไรได้มากมายเลยล่ะ ฉันจึงอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น หรือพี่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดี ถ้าฉันจะเปลี่ยนตัวเอง”
“ดีครับ”
นี่คือคำตอบเดียวที่ออกมาจากปากชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะไปหยิบอุปกรณ์จับปลามา แล้วเดินออกจากบ้านไปด้วยความงุนงง
พอเห็นว่าสามีออกจากบ้านไปแล้ว หลินซินเยว่ก็ไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดมาทำความสะอาดบ้านทันที เธอไม่ได้รู้สึกเลยว่าการทำงานบ้านจะเป็นเรื่องที่หนักหนาอะไร ในชีวิตที่แล้วก่อนที่จะมาเป็นนักธุรกิจชื่อดัง บ้านเธอก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร งานบ้านทุกอย่างเธอก็ทำเองทั้งหมด เรื่องแค่นี้จึงสบายมาก
หลังจากทำอะไรทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็นั่งนึกถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
‘แม้ว่าตอนนี้ฉันจะมาอยู่ในยุค 80 และยังเป็นช่วงต้นปี ความยากลำบากก็ยังคงมี ต่อให้การค้าจะมีการเปิดเสรีแล้วก็ตาม แต่สินค้าหลายอย่างก็ยังไม่สามารถซื้อขายได้ตามใจชอบ เนื่องจากยังเป็นสินค้าจำกัดของรัฐ ร้านค้าใหญ่ ๆ ทั่วไปก็คงจะเป็นสหกรณ์ของรัฐ หรือไม่ก็ห้างสรรพสินค้าที่นายทุนได้สร้างร่วมกับรัฐเหมือนกัน ส่วนร้านของชำของชาวบ้านก็คงจะมีประปราย’
“แล้วในหมู่บ้านของแห่งนี้ มีสหกรณ์หรือร้านค้าหรือเปล่านะ ลองออกไปดูว่ามีอะไรให้ซื้อดีไหมนะ”
หญิงสาวพึมพำออกมาเพียงลำพัง ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วคิดว่า ‘ก่อนที่จะคิดว่าไปซื้ออะไร ก็คงจะต้องคิดก่อนว่าจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อ ตอนนี้ไปดูในครัวก่อนดีกว่าว่ามีอะไรให้ทำกินได้บ้าง หิวแล้วเหมือนกัน’
คิดได้อย่างนั้นก็รีบเดินเข้าครัวไปทันที
“จะว่าไปบ้าน หลังนี้ก็ไม่ได้ย่ำแย่จนเกินไป ข้าวสารและของแห้งก็ยังคงมีไม่ขาด จะว่าไปบ้านโม่เองก็คงจะไม่ได้ยากจนเหมือนกัน เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว คงไม่ให้เงินลูกชายมาสร้างบ้านในราคาหลายร้อยหยวนแบบนี้หรอก เป็นบุญเธอแท้ ๆ หลินซินเยว่ ที่ทำตัวร้ายกาจและขี้เกียจขนาดนั้นสุขสบาย แถมสามียังคงดูแลและใส่ใจอย่างดีแบบนี้”
ขณะที่หญิงสาวเดินสำรวจในครัวและภายในบ้านแล้ว ก็ได้แต่บ่นร่างเดิมออกมาอย่างหัวเสีย เพราะหากทำตัวดีกว่านี้ ก็คงไม่เกิดเรื่องแย่ ๆ กับเธอหรอกนะ
แม้จะทำใจไว้แล้วว่าเธอจะต้องอยู่ในร่างของหญิงสาวร้ายกาจประจำหมู่บ้าน แต่ก็ไม่คิดว่าร่างเดิมจะร้ายกับครอบครัวตัวเองแบบนี้ด้วยเหมือนกัน
บทที่ 3 ถึงฉันจะร้ายแต่ก็ไม่โง่หลินซินเยว่คิดสงสัยอยู่อีกเรื่องหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าในเมื่อให้เธอมาอยู่ที่นี่แล้ว ทำไมไม่มีมิติหรือช่องว่างเหมือนนางเอกนิยายคนอื่นที่เธอเคยอ่านมาล่ะ“นั่นมันในนิยาย เธอจะคิดแบบนั้นได้ยังไง”หญิงสาวคิดไปคิดมาแล้วก็พูดอย่างยอมจำนน ก่อนจะรีบส่ายศีรษะทันทีเพื่อสลัดความคิดไร้สาระให้พ้นจากหัว จากนั้นจึงเดินไปหยิบข้าวสารเพื่อมาหุงไว้ให้สามีแม้ว่าหมู่บ้านนี้จะมีไฟฟ้าใช้แล้วก็ตาม แต่หลายครัวเรือนยังคงมีความเป็นอยู่เหมือนเดิม อีกทั้งไฟฟ้าในหมู่บ้านนี้ยังติด ๆ ดับ ๆ ไม่เสถียรเหมือนในเมือง บ้านหลังนี้แม้จะมีดวงไฟ แต่เครื่องใช้ไฟฟ้ายังคงราคาแพง ดังนั้นการหุงข้าวจึงยังคงเป็นแบบดั้งเดิม“เห้อ... หม้อหุงข้าวก็ไม่มี ต้องก่อเตาไฟและหุงแบบโบราณจริง ๆ เหรอเนี่ย ดีนะที่ฉันเคยเข้าค่ายลูกเสือมาก่อน”หญิงสาวบ่นออกมาเล็กน้อย แล้วลงมือก่อไฟเตาถ่านก่อนเป็นสิ่งแรก ซึ่งเธอก็ทำได้อย่างคล่องแคล่วเพราะเรียนวิชาลูกเสือมาอย่างไรล่ะระหว่างที่รอให้ข้าวสุกอยู่นั้น หลินซินเยว่ก็สำรวจครัวต่อ แม้ปากจะบอกว่าอยากกินต้มปลา แต่เมื่อในบ้านมีแค่แตงกวานิดหน่อยกับไข่เกือบสิบใบ จึงตั้งใจว่าจะผัดแตงกวา
บทที่ 2 สามีที่หล่อเหลาส่วนทางด้านโม่กวนหยาง ขณะที่ชายหนุ่มทำงานอยู่นั้น มีคนมาบอกเรื่องที่ภรรยาเขาล้มหัวฟาด จึงรีบลางานเพื่อเดินทางมาโรงพยาบาลทันที แม้จะรู้ว่าจะต้องถูกหักเงินจำนวนไม่น้อยเลยก็ตามเมื่อมาถึงหน้าโรงพยาบาล ก็พบภรรยาและแม่ยายกำลังเดินออกมาพอดี“นั่นกวนหยางไม่ใช่หรือไง สงสัยรีบมาเพราะเป็นห่วงลูกแน่เลย” จางฮุ่ยอีพูดขึ้นมาเมื่อเห็นลูกเขยกำลังเดินเข้ามาหา พร้อมกับชี้ให้ลูกสาวดูหลินซินเยว่ได้ยินอย่างนั้นก็เงยหน้าขึ้น และเมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาถึงและยืนอยู่ตรงหน้าก็อึ้งไปชั่วขณะ พร้อมกับคิดในใจว่า ‘นี่หรือโม่กวนหยาง ไม่คิดว่าเขาจะหล่อเหลาขนาดนี้’ “ซินเยว่ คุณเป็นยังไงบ้าง” โม่กวนหยางถามขึ้นมาอย่างห่วงใย สีหน้าของเขาดูตื่นตระหนกไม่น้อยเลย พร้อมกับใช้สายตากวาดมองทั่วร่างของภรรยาสาวเพื่อดูให้แน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไร“เอ่อ ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ” หญิงสาวที่ถูกถามและถูกมองอย่างนั้น ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเหมือนกัน เพราะความไม่คุ้นชินในตอนที่ตอบกลับไป จึงดูเก้อเขินไม่น้อย“จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง ล้มหัวฟาดพื้นจนสลบไปตั้งนาน นี่ก็ดื้อไม่ยอมนอนโรงพยาบาล แม่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วล่ะ” จาง
บทที่ 1 ฉันย้อนมาในยุค 80เมืองหลิงโจว หมู่บ้านไผ่เขียว ปี 1981 “ฮือ ๆ ซินเยว่ ตื่นมาเถิดลูกแม่ อย่าทำให้แม่กลัวแบบนี้สิ รู้ไหมว่าใจแม่จะขาดแล้ว ตื่นเถอะลูก” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยออกมาพร้อมกับร้องไห้เสียใจปานใจจะขาด นางมองบุตรสาวที่นอนไร้สติด้วยสายตาเป็นห่วง“สมน้ำหน้าแล้ว หาเรื่องเขาไปทั่วแบบนี้ก็สมควรแล้ว นี่คงเป็นผลพวงจากที่ผู้คนสาปแช่งสินะ”เสียงหญิงชราคนหนึ่งดังขึ้นอย่างเย้ยหยัน นางไม่ชอบหญิงสาวที่นอนสลบอยู่เลยแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายมักจะหาเรื่องคนไปทั่ว ใครมองหน้าเข้าหน่อยก็ชี้หน้าด่าอย่างไร้เหตุผล จึงทำให้มีแต่คนสาปแช่งเธอมากมาย“นั่นสิ หาเรื่องคนอื่นก่อนแล้วตัวเองล้มหัวฟาดพื้นจนหมดสติ แล้วอย่างนี้จะเอาผิดใครกันล่ะ แบบนี้ก็สมน้ำหน้าแล้ว” ชาวบ้านอีกคนที่มุงดูอยู่พูดขึ้นอย่างเหลืออด เพราะหล่อนก็ไม่ค่อยชอบหญิงสาวที่ชื่อหลินซินเยว่คนนี้สักเท่าไร เนื่องจากครั้งหนึ่งเคยถูกอีกฝ่ายชี้หน้าด่า โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้เลย“ทำไมถึงพูดกันแบบนี้ ต่อให้มีเรื่องหรือไม่ชอบใจกัน เห็นคนล้มหัวฟาดพื้นสลบไปแบบนี้ ทำไมถึงไม่เรียกหมอหรือให้ใครมาช่วยพาเธอไปโรงพยาบาล นี่ไม่เท่ากับต้องการให้ซินเยว่