วันต่อมา…
หลินซินเยว่รู้สึกตัวตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี เพราะเธอนำนาฬิกาปลุกจากในมิติออกมาใช้งาน เธอรีบตื่นเพื่อที่จะมาทำอาหารเช้า เพราะรู้ว่าวันนี้สามีต้องกลับไปทำงานในเมืองเหมือนเดิมแล้ว
ซึ่งไม่ต่างจากบ้านอื่น ๆ ที่เวลานี้ก็เริ่มมีคนตื่นขึ้นมาเพื่อหุงหาอาหารกันแล้ว
“ซินเยว่ ทำไมตื่นเช้าอย่างนี้ล่ะ ไม่ไปนอนอีกสักหน่อยหรือ”
ชายหนุ่มที่ตื่นแล้วและเดินออกมาจากห้องนอน เมื่อเห็นภรรยาจัดการเรื่องอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เห็นว่านี่ยังไม่เช้าดี เลยบอกให้อีกฝ่ายกลับเข้าไปนอน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันตื่นแล้วจะให้ไปนอนอีกก็คงจะนอนไม่หลับ ฉันถามหน่อยสิ พี่ต้องเดินไปกลับทุกวันแบบนี้ไม่เหนื่อยแย่เหรอคะ” หญิงสาวยิ้มรับความหวังดีของสามี ก่อนจะถามกลับไป เพื่อได้พูดถึงเรื่องที่เธอนอนคิดมาทั้งคืน
“ก็เหนื่อยนิดหน่อยครับ”
โม่กวนหยางตอบกลับไปตรง ๆ หากจะบอกว่าไม่เหนื่อยเลยก็จะเป็นการโกหกเกินไป เพราะระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ เลย
“ถ้าอย่างนั้นเราเอาจักรยานในมิติออกมาใช้สักคันดีไหมพี่ อย่างน้อยพี่ก็จะได้ปั่นไปทำงาน พี่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเดินไปกลับ” หญิงสาวพูดขึ้นมาถึงสิ่งที่เธอนอนคิดทั้งคืน ก่อนจะพูดเพิ่มเติมเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้
“ ไม่สิ คันเดียวคงไม่พอ จะต้องเอาออกมาไว้สักสามคัน จะได้เอาไว้ที่บ้านโม่หนึ่งคัน บ้านหลินหนึ่งคัน แล้วก็บ้านเราอีกหนึ่งคัน สามบ้านสามคันพอดีเลย” น้ำเสียงที่พูดนั้นเจือปนไปด้วยความดีอกดีใจ ที่จะได้เอาจักรยานมาให้ทั้งสามบ้านได้ใช้
“พี่เดินไปกลับก็ไม่ลำบากอะไรนะ แต่ถ้าซินเยว่อยากจะเอาออกมาไว้ใช้จริง ๆ พี่ว่าตอนนี้เอามาเพียงคันเดียวก็พอ ส่วนอีกสองคันให้ชะลอไว้ก่อนดีกว่า อย่าลืมว่าฐานะบ้านของเราในสายตาชาวบ้าน ไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดที่มีความสามารถซื้อจักรยานถึงสามคันในเวลาเดียวกันได้ ถ้าน้องเอาออกมาพร้อมกันสามคัน ชาวบ้านก็อาจจะสงสัยถึงที่ไปที่มาแน่นอน”
โม่กวนหยางพูดเตือนสติภรรยาอย่างห่วงใย และเขาเข้าใจดีว่าเธอต้องการที่จะให้ทั้งสามบ้านมีความสะดวกสบายในการเดินทาง แต่ก็ต้องป้องกันความสงสัยของชาวบ้านด้วย
เมื่อพูดเตือนสติออกไปแล้วเห็นหญิงสาวนิ่งไป เขาก็รีบพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “ที่พี่บอกไปอย่างนั้น ไม่ใช่พี่ไม่อยากให้จักรยานกับบ้านหลินหรือบ้านโม่นะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด พี่แค่กลัวว่าจะมีคนสงสัยแล้วมาขุดคุ้ยเรื่องของบ้านเรามากกว่า”
ที่ชายหนุ่มรีบอธิบายอย่างนั้น ก็เพราะกลัวว่าผู้เป็นภรรยาจะเข้าใจผิดเรื่องที่เขาแนะนำให้เอาจักรยานออกมาเพียงแค่คันเดียว
“ก็ได้ค่ะ เอาออกมาคันเดียวก่อนก็ได้” หลินซินเยว่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เธอเองก็ลืมคิดเรื่องนี้ไปเหมือนกัน
จากนั้นก็ยิ้มออกมาแล้วพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นเที่ยงนี้ฉันจะเอากับข้าวไปให้พี่ก็แล้วกัน แล้วฉันก็จะอยู่รอพี่ที่ในเมืองเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน ก่อนกลับบ้านเราหาที่ลับตาคนเพื่อเอาจักรยานออกมาและไปจ้างเขาทำทะเบียนให้ แบบนี้ทุกคนจะได้ไม่สงสัยยังไงล่ะ อีกอย่างฉันอยากจะไปดูตลาดด้วย ฉันอยากรู้ว่าที่นี่พอจะขายอะไรได้บ้าง หากเปิดร้านตอนนี้เลยทุกคนก็คงจะสงสัย”
ในตอนที่พูดนั้นใบหน้าของเธอดูสดใสมีความสุขมาก เพราะในหัวนั้นมีแต่เรื่องที่อยากจะทำเพื่อให้ฐานะของครอบครัวดีขึ้น
“ซินเยว่จะเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า หากต้องทำอาหารไปให้พี่ที่ร้าน แถมยังต้องเดินไปเองอีก” ชายหนุ่มรู้สึกเกรงใจภรรยามาก ที่เธอจะทำอาหารมื้อเที่ยงไปส่งให้ แถมยังจะต้องเดินไปเอง แบบนี้น่าจะเหนื่อยไม่น้อย
“มันไม่ได้เหนื่อยอะไรหรอกค่ะ ก็แค่ทำอาหารเท่านั้น ส่วนไปในเมืองฉันก็จะนั่งรถโดยสารไป อยู่บ้านก็เบื่อเพราะไม่รู้จะทำอะไร ไม่สู้ไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ในเมืองดีกว่า เผื่อจะมีลู่ทางทำมาหากินได้บ้าง พี่เองก็จะได้ไม่ต้องเป็นลูกจ้างเขาไปตลอดยังไงล่ะ” หญิงสาวตอบสามีพร้อมกับยิ้มให้ด้วยความสดใส
‘ฉันเองก็ไม่ต้องการให้สามีเป็นลูกจ้างร้านข้าวสารตลอดไปหรอกนะ อย่างน้อยเข้าเมืองในวันนี้ ก็จะได้ดูว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง มีมิติวิเศษทั้งที จะต้องใช้ให้คุ้มค่าสิ’ เธอคิดในใจอย่างมีความสุข
“นี่ซินเยว่คิดเผื่อพี่ขนาดนี้เชียวหรือ” ชายหนุ่มถามออกมาด้วยรอยยิ้มและส่งสายตาที่มีความหมายไปให้เธอ เมื่อได้ยินว่าภรรยาวางแผนเผื่ออนาคตของเขาไว้แล้ว
“ก็ใช่น่ะสิ แต่ตอนนี้พี่อย่ามัวมาชวนฉันพูดอยู่เลย รีบไปอาบน้ำแล้วจะได้มากินข้าว เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอกค่ะ”
พอเห็นสายตาของสามีที่ส่งมา เธอก็รู้สึกเขินเล็กน้อย เลยเปลี่ยนเรื่องด้วยการรีบบอกให้เขาไปอาบน้ำ เพื่อจะได้มากินมื้อเช้าพร้อมกัน ก่อนจะไปทำงานในเมือง
“ครับ” ชายหนุ่มก็ตอบรับอย่างว่าง่ายเหมือนเดิม ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไปอีกครั้ง
หลังจากที่สามีเข้าไปอาบน้ำแล้ว หลินซินเยว่จึงตักแบ่งอาหารใส่กล่อง เสร็จแล้วก็รีบเดินเอาไปให้บ้านหลินและบ้านโม่ ก่อนจะรีบกลับมากินมื้อเช้าพร้อมกับสามี
บ้านหลินหลังจากได้รับอาหารที่หลินซินเยว่เอามาให้ ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยทำอะไรพวกนี้เลย จนพี่ชายอย่างหลินอี้เฉินยืนงงอยู่พักใหญ่ กว่าจะรู้สึกตัว ผู้เป็นน้องสาวก็เดินกลับไปถึงบ้านแล้ว
“อาเฉิน มัวแต่ยืนทำอะไรอยู่หน้าบ้าน ว่าแต่เมื่อครู่นี้ใครมากันเหรอ” หลินไป๋หานตะโกนถามลูกชาย ที่มัวแต่ยืนอยู่หน้าบ้าน ไม่ยอมเข้าบ้านมาเสียที
พอได้ยินเสียงพ่อตะโกนถามมา เขาก็รีบเดินเข้าบ้านมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พ่อ ช่วยตบผมหน่อยได้ไหม”
เพี้ยะ!!
ผู้เป็นพ่อก็ไม่รีรอ เขาตบแขนลูกชายดังเพี้ยะด้วยความงุนงง
“โอ๊ย เจ็บๆ ๆ พ่อ ตีซะแรงเลย นี่ผมลูกชายพ่อนะ” หลินอี้เฉินร้องโวยวายเสียงดังออกมา พร้อมกับลูบแขนที่ถูกตีไปด้วย
“เอ้า ก็แกบอกให้ฉันตบไม่ใช่เหรอ ฉันไม่ตบที่ใบหน้าก็ดีเท่าไรแล้ว หรือจะให้ตบใหม่” หลินไป๋หานพูดพร้อมกับง้างมือจะตบอีกครั้ง
แต่เมื่อเห็นของในมือลูกชายก็เอ่ยถามอย่างสงสัย “ว่าแต่ใครเอาอะไรมาให้ตั้งแต่เช้าขนาดนี้”
“ก็ลูกสาวสุดที่รักพ่อน่ะสิ เกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่เคยเห็นน้องทำอาหารเลยสักครั้ง แต่เช้านี้ซินเยว่กลับเอาอาหารมาให้พวกเรา และบอกว่าเธอทำเองอีกด้วย ว่าแต่จะกินได้ไหม พวกเราจะไม่ท้องเสียใช่ไหมพ่อ”
หลินอี้เฉินตอบกลับอย่างแปลกใจปนความทะเล้น เพราะต่อให้รักน้องสาวมากแค่ไหน แต่เรื่องให้กินอาหารที่เธอทำ เขาก็ยังมีความหวาดระแวงอยู่ไม่น้อย
เมื่อได้ยินว่าลูกสาวเป็นคนทำอาหารมาให้ด้วยตัวเอง หลินไป๋หานก็รู้สึกแปลกใจระคนดีใจ เพราะเขาไม่คิดว่าหลินซินเยว่จะเป็นคนทำอาหารเอง จึงได้ถามย้ำลูกชายอีกครั้ง
“นี่ลูกไม่ได้โกหกพ่อใช่ไหม ที่บอกว่าน้องเอาอาหารมาให้แถมอาหารนั้นซินเยว่ยังทำเองอีกด้วย” ตอนถามก็มองลูกชายอย่างรอคอยคำตอบ
“ผมจะโกหกพ่อทำไมล่ะ ซินเยว่เอามาให้แล้วก็บอกว่าเธอทำอาหารนี้เอง จากนั้นก็กลับไปทันที ผมว่าเราเข้าบ้านกันเถอะครับ ตรงนี้เย็นเกินไป เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้” ชายหนุ่มพูดยืนยันอีกครั้ง
จากนั้นก็รีบดันหลังพ่อให้เข้าบ้าน เพราะเช้า ๆ แบบนี้อากาศค่อนข้างจะเย็น
“ก็ดีเหมือนกัน พ่อเองก็อยากกินอาหารฝีมือของซินเยว่แล้ว” หลินไป๋หานพูดอย่างอารมณ์ดี แล้วเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับลูกชาย
ส่วนทางด้านบ้านโม่
โม่จงฉิงเป็นคนมารับอาหารเช้าที่หลินซินเยว่เอามาให้ ถึงกับยืนอึ้งไปด้วยความงุนงงเหมือนกัน เพราะนอกจากจะเอาอาหารมาให้แล้ว หญิงสาวยังบอกอีกว่าเธอเป็นคนทำอาหารเองอีกด้วย แบบนี้จะไม่ให้ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจได้ยังไง
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าสะใภ้สามจะทำอาหารเอง ตอนที่น้องสามกับภรรยาอยู่ที่บ้านนี้ ไม่เคยเห็นสะใภ้สามตื่นมาช่วยสะใภ้คนอื่นทำงานเลยสักวัน แต่นี่กลับเอาอาหารมาให้ มันน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยจริง ๆ หรือสิ่งที่แม่บอกว่าเธอเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วจะเป็นความจริงกันนะ”
เขามองตามหลังน้องสะใภ้จนสุดสายตาพร้อมพูดกับตัวเองอย่างแปลกใจ
เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว ชายหนุ่มส่งต่อกล่องอาหารให้ภรรยา พร้อมกับบอกที่มาของอาหารกล่องนี้อย่างไม่ปิดบัง
“เธอจะต้องไม่เชื่อแน่เลยใช่ไหมว่าอาหารนี้ซินเยว่เป็นคนทำเอง” เขาถามขึ้นมาหลังจากเล่าจบแล้ว
เฉินชุงอิ๋งเองเมื่อได้ฟังอย่างนั้นก็มีความแปลกใจไม่ต่างกัน นอกจากนี้ยังรู้สึกพอใจที่น้องสะใภ้เปลี่ยนไปในทางที่ดีจริง ๆ จึงตอบกลับสามีไปด้วยรอยยิ้มว่า
“ทำไมฉันจะไม่เชื่อล่ะ วันที่ไปที่บ้านสามโม่พร้อมแม่และสะใภ้รอง ฉันยังได้ชิมอาหารที่เธอทำอยู่เลย ฉันอยากบอกว่ามันอร่อยมาก” เธอบอกด้วยน้ำเสียงสดใส
“อย่างนั้นเรารีบเอาอาหารขึ้นโต๊ะให้ทุกคนได้กินกันเถอะ ฉันก็อยากจะลองกินฝีมือของน้องสะใภ้สามเหมือนกัน” โม่จงฉิงพูดอย่างตื่นเต้นและรีบเดินนำภรรยาเข้าไปในครัวทันที
นั่นจึงทำให้เช้าวันนี้ ทุกคนในบ้านโม่ได้กินอาหารฝีมือของหลินซินเยว่กันอย่างพร้อมหน้าและต่างก็ชมว่าอร่อยมาก
บทส่งท้าย ความรักที่สมบูรณ์ของหลินซินเยว่ตอนที่ได้ยินว่าภรรยาตั้งท้อง โม่กวนหยางก็ตกใจและดีใจมากแล้ว แต่พอรู้ว่าเธอตั้งท้องแฝด เขากลับยิ่งทั้งดีใจและเริ่มเป็นกังวล เพราะกลัวจะดูแลเธอไม่ดี“ซินเยว่ได้ยินที่คุณหมอบอกแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้ไม่ต้องทำงานอะไรอีกแล้วนะ เดี๋ยวพี่จะทำทุกอย่างแทนซินเยว่เอง เรากลับบ้านกันเถอะ ส่วนที่ร้านก็ให้โม่เจิ้งฉีกับน้องสะใภ้ดูแลไปก่อน” โม่กวนหยางพูดกับภรรยาอย่างอ่อนโยน“ก็ได้ค่ะ” หลินซินเยว่ตอบรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเพราะเธอก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่เมื่อเดินออกมาจากห้องตรวจ ก็พบเข้ากับพ่อแม่จากทั้งสองบ้านมารอถามข่าว เมื่อทุกคนได้รับรู้ข่าวดีก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ“ดีจริง ๆ ต่อไปเจ้าสามจะต้องดูแลสะใภ้สามให้ดี ๆ นะ งานขายของก็พักไว้ก่อน เดี๋ยวพ่อแม่จะมาช่วยดูแลร้านให้เอง แถมตอนนี้ยังมีโม่เจิ้งฉีกับเซี่ยเป้ยนีมาช่วยดูแลด้วย ซินเยว่ก็ไม่ต้องห่วงนะ” ฟางเหนียงพูดกับลูกชายของตนเองกับสะใภ้“นั่นสิ ซินเยว่ต้องพักผ่อนเยอะๆ นะลูก ท้องแรกแถมยังเป็นท้องแฝดด้วย ต้องระวังตัวให้มากๆ เดี๋ยวแม่จะอยู่ช่วยดูแลซินเยว่เองนะลูก เราจะต้องเริ่มบำรุงด้วยอาหารที่เพิ่มน้ำนมแล้วนะฟางเหนียง
บทที่ 59 งานแต่งของหลินอี้เฉินเมื่อวันที่บ้านหลินมาสู่ขอคุณหนูหวาง แม้ว่าทั้งสองคนจะฐานะต่างกัน แต่บ้านหลินทำเต็มที่ จนชาวบ้านที่รู้ข่าวตกตะลึงไม่น้อย แล้วยังมีของขวัญจากน้องสาวและน้องเขยคือตึกในแหล่งการค้าอีกด้วย“หลังจากนี้ฉันฝากหลิงหลิงไว้กับนายด้วยนะ ต่อจากนี้ฉันก็กล้าที่จะวางมือแล้ว” นายท่านหวางเอ่ยขึ้นมาอย่างอ่อนโยนเขาไม่ได้สนใจว่าสินสอดที่อีกฝ่ายให้มานั้นจะมากน้อยแค่ไหน เพราะเขาตั้งใจว่ายื่นคืนกลับให้ว่าที่ลูกเขยและลูกสาวไว้ทำทุน เพราะอย่างไรหลินอี้เฉินย่อมก็ต้องเข้ามาช่วยดูแลกิจการของครอบครัวหวางอยู่แล้ว“ครับนายท่าน ผมจะดูแลคุณหนูและกิจการของตระกูลหวางให้ดี” หลินอี้เฉินรับปากอย่างหนักแน่นจริงจัง“ยังจะมาเรียกนายท่าน เรียกคุณหนูอยู่อีก เราจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ นายก็ควรเรียกฉันว่าพ่อได้แล้ว ส่วนหลิงหลิงนายจะเรียกชื่อเธอหรือจะเรียกภรรยาก็ตามใจนาย” นายท่านหวางพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี“ครับคุณพ่อ ผมจะดูแลหลิงหลิงกับตระกูลหวางให้ดีครับ” หลินอี้เฉินตอบใหม่อีกครั้ง“และเราสองคนจะกลับไปดูแลพ่อกับแม่ที่บ้านหลินบ่อยๆ นะคะ” หวางหลิงหลิงเองก็หันไปพูดกับหลินไป๋หานและจางฮุ่ยอี อย่างนอ
บทที่ 58 ซื้อที่ดินสร้างกิจการของตัวเอง“นายมาหาฉันทำไม” หญิงสาวถามหลวนหมิงด้วยน้ำเสียงเย็นชา เพราะเธอพอจะสืบเรื่องนี้มาได้เหมือนกัน“ผมมีเรื่องมาสารภาพครับ” หลวนหมิงพูดออกมาด้วยท่าทางนอบน้อมจากนั้นชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีคำไหนตกหล่นเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้เขาก็ไม่รู้ว่าหน้าที่การงานจะยังอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจที่จะพูดออกมาทั้งหมดเพื่อรักษาชีวิต“ฉันดีใจนะหลวนหมิง ที่นายมาสารภาพด้วยตนเองแบบนี้ ครั้งนี้ฉันถือว่านายได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่นายทำตามคำขอของหญิงคนนั้น หน้าที่การงานรวมถึงชีวิตของนายก็จะไม่เหลือ เพราะฉันเองก็คงจะต้องตามล่านายเหมือนกัน นายรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ตระกูลหลินกับตระกูลหวางมีความเกี่ยวดองกันแล้ว”หวางหลิงหลิงพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกยินดี ที่ลูกน้องของคุณพ่อคนนี้กล้ามาพูดตรงๆ และกล้ายอมรับความผิดทั้งหมดด้วยตัวเอง เธอจึงพร้อมที่จะให้อภัย และให้เขาทำหน้าที่เดิมต่อไป “ครับคุณหนู” หลวนหมิงตอบกลับมาเพียงเท่านี้ ก่อนจะก้มหน้ารู้สึกผิดอีกครั้ง“ถ้าอย่างนั้นนายก็ทำหน้าที่ของนายต่อไป และเมื่อไรที่นายพบผู้หญิงที่อยากจะ
บทที่ 57 จบสิ้นเรื่องวุ่นวายส่วนทางด้านหลินอี้เฉิน เขาได้พาหวางหลิงหลิงมาเดินเล่นในหมู่บ้านโดยมีสายตาของชาวบ้าน ต่างก็มองอย่างอยากรู้อยากเห็น“ทำไมคุณต้องเดินห่างฉันขนาดนี้ หรือว่าคุณมีคนรักอยู่ในหมู่บ้านนี้ เลยกลัวว่าเธอจะเห็นเราสองคนเดินด้วยกันเหรอ” หญิงสาวถามขึ้นมาคล้ายกับจะหยอกล้อ แต่ความจริงเธอต้องการคำตอบนี้อย่างมาก“ผมยังไม่มีคนรักครับ แต่ที่ผมต้องเดินเว้นระยะห่างกับคุณเพราะกลัวชาวบ้านจะเอาไปนินทา แล้วจะทำให้คุณเสียหาย”หลินอี้เฉินตอบกลับอย่างจริงจัง ขณะที่ตอบก็สบตาหญิงสาวอย่างไม่หลบเลี่ยง เพราะกลัวว่าเธอจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้บอกไป“เป็นไปได้เหรอที่คุณจะไม่มีคนรัก ดูจากอายุแล้วน่าจะเลยวัยที่จะต้องแต่งงานแล้วนะ” เธอแสร้งถามอย่างหยอกล้ออีกครั้ง ทั้งที่หัวใจนั้นพองโตไม่น้อยกับคำตอบที่ได้รับรู้“เมื่อก่อนบ้านผมจนน่ะ ไม่มีใครอยากให้ลูกสาวต้องมาลำบากหรอกครับ” คราวนี้เขาตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ๆ เพราะนึกถึงฐานะของตนเองกับหญิงสาวที่แตกต่างกันมาก“แต่ตอนนี้บ้านของคุณมีฐานะดีขึ้นแล้วนี่ จะกลัวการแต่งงานทำไม ถ้าอย่างนั้นคุณลองมาคบหากับฉันไหม แต่คุณจะรับความเสี่ยงได้หรือเปล่าล่ะ เพร
บทที่ 56 ไม่หาเรื่อง เรื่องก็มาหา“พี่คิดว่าฉันโหดร้ายเกินไปหรือเปล่าคะ ที่ตัดสินใจทำตามแผนการนี้”“ไม่เลย ในเมื่อลูกสาวบ้านตู้คิดจะเล่นงานน้องก่อน อย่างไรเธอก็ควรจะได้บทเรียนในครั้งนี้”โม่กวนหยางรีบตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนทันที เขาไม่ได้มองว่าภรรยาตนเองนั้นโหดร้าย และไม่ว่าเธอตัดสินใจจะทำอย่างไร เขาก็พร้อมจะสนับสนุนทุกอย่าง แม้ว่าสิ่งที่ภรรยาของเขาทำนั้น จะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม “ขอบคุณมากนะคะที่เข้าใจฉัน” หลินซินเยว่พูดขอบคุณและยิ้มให้สามีอย่างอ่อนโยน“ถ้าอย่างนั้นเราทำตามแผนการที่วางไว้เลยนะคะ กลับไปฉันจะได้สั่งให้คนดำเนินการเลย ส่วนคุณ เมื่อถึงเวลานั้นก็แสร้งทำทีพาคนไปพบ เรื่องนี้ตู้หลินเซียนไม่อาจหนีชะตากรรม ที่เธอได้ทำไว้ในตอนแรกแน่” หวางหลิงหลิงพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าหลินซินเยว่มีความเด็ดขาด ไม่ยอมให้คนที่ทำร้ายตนเองลอยนวล“ขอบคุณมากนะคะคุณหนูหวางที่ช่วยในเรื่องนี้ ฝากขอบคุณไปถึงนายท่านหวางด้วย จริงสิ รอสักครู่นะคะ” หลินซินเยว่ยิ้มและเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ห้องตัวเอง แล้วหยิบเอารังนกออกมาชุดใหญ่“นี่ฉันฝากไปให้นายท่านหวางด้วยนะคะ ฉันไม่รู้ว่าจ
บทที่ 55 ต้องจัดการให้เด็ดขาด“ครับ แต่อย่างไรเรื่องนี้ผมจะต้องไปคุยกับซินเยว่และพี่กวนหยางดูก่อน แต่เชื่อว่าทั้งสองคนน่าจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ และหากจะหาใครสักคนให้แต่งงานกับตู้หลินเซียน ก็น่าเป็นชายหนุ่มจากหมู่บ้านอื่น หรือไม่ก็คงจะเป็นพวกพรานป่า หรือไม่ต้องเป็นคนที่โหดสักหน่อย เพื่อที่จะจัดการให้เธออยู่ในโอวาทได้ ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงจะเอาผู้หญิงคนนี้ไม่อยู่”หลินอี้เฉินพูดขึ้นมาตามความคิดของเขา โดยที่เขายังไม่มีใครอยู่ในใจ แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็คงจะต้องไปคุยกับน้องสาวและน้องเขยให้ชัดเจนเสียก่อนว่า จะจัดการลูกสาวบ้านตู้อย่างไร“แต่ฉันเห็นต่างเล็กน้อย เรื่องอื่นไม่มีปัญหา แต่ชายที่จะมาแต่งงานกับตู้หลินเซียนนั้น จะต้องเป็นคนที่ยากจนเพิ่มขึ้นมาด้วย ผู้หญิงคนนั้นจะได้เลิกเชิดหน้าชูคอสักที”หวางหลิงหลิงพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง ใครจะคิดว่าเธอนั้นจะโหดร้ายเกินไปก็ช่าง แต่เพราะผู้หญิงร้ายกาจแบบตู้หลินเซียน จะต้องจัดการขั้นเด็ดขาดแบบนี้เท่านั้นพอได้ยินอย่างนั้น หลินอี้เฉินก็หันไปมองหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปากออกมาอย่างพึงพอใจ เขาไม่มองเลยว่าเธอนั้นโหดร้ายกับผู้หญิงด้วยกัน เพราะคนอย่างตู้ห