“หากพวกเจ้ามีสมุนไพร นำมาขายให้ร้านยาของข้าได้ตลอด” หมอฉีกล่าวบอกทั้งสองคน
“หากข้าได้ของดีเช่นนี้มาอีกจะนึกถึงร้านยาของท่านก่อนแน่นอนเจ้าค่ะ” หมอฉีดูจะพอใจกับคำพูดของลู่จื้อ
“ดีดีดี หากพวกเจ้ามีเรื่องใดที่ข้าช่วยเหลือได้ก็อย่าได้เกรงใจ” นี่แหละคือสิ่งที่ลู่จื้อต้องการ
“ท่านหมอฉีเจ้าคะ ข้าอยากรบกวนให้ท่านไปตรวจดูอาการของบิดาที่หมู่บ้านชุนหนานเจ้าค่ะ” ลู่จื้อแจ้งรายละเอียดอาการบาดเจ็บของบิดาที่ไม่สามารถเดินทางมาที่โรงหมอได้
เมื่อนัดเวลากับหมอฉีที่จะไปตรวจให้บิดาที่หมู่บ้านแล้วลู่จื้อจึงขอตัวกลับ
ลู่เพ่ยที่เก็บตั๋วเงินไว้ในอกก็มีอาการแข็งขาอ่อนแรง ก้าวเดินแทบจะไม่ออก ลู่จื้อจึงพาพี่ชายไปร้านรับฝากเงิน หากพี่ชายนำเงินกลับบ้านในสภาพนี้ได้ถูกโจรปล้นเป็นแน่
แม้จะมีมิติเก็บของได้แล้ว แต่นางก็อยากจะนำเงินบางส่วน ฝากเงินไว้ที่ร้านรับฝากด้วย ด้วยคนอื่นจะได้เห็นว่าครอบครัวนางมาเบิกเงินไปใช้ ไม่ใช่ว่าเงินทั้งหมดที่ได้จากการขายสมุนไพรถูกเก็บไว้ที่เรือน
เงินหนึ่งพันหกร้อยตำลึงทอง นางฝากเพียงสามร้อยตำลึงทองเท่านั้น แล้วส่งให้ลู่เพ่ยถือเงินไว้ซื้อของเพียงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ที่เหลือล้วนอยู่ในมิติของนาง
หลังจากฝากเงินเรียบร้อยแล้วสองพี่น้องซื้อข้าวสาร แป้ง อีกนิดหน่อย แล้วจึงเดินเข้าไปซื้อผ้าเพื่อให้มารดาตัดชุดใหม่ให้
เสื้อผ้าของคนในครอบครัวนั้น สมควรที่จะต้องเปลี่ยนแล้วจริงๆ ลู่จื้อซื้อผ้าพอให้ตัดชุดได้เพียงแค่คนละสองชุดก่อน เพราะวันนี้นางกับพี่ชายยังต้องนั่งเกวียนหมู่บ้านกลับหากเจอกันป้าสะใภ้ใหญ่อีกนางขี้เกียจจะตอบคำถาม
ระหว่างทางที่สองพี่น้องเดินไปขึ้นเกวียน นางได้พบกับนางเกาหงกับจางเยว่เดินออกมาจากโรงเตี๊ยมพร้อมบุรุษวัยสิบเจ็ดสิบแปดหนาว ลู่เพ่ยก็สังเกตเห็นเช่นกัน ตัวเขานั้นถึงกับขมวดคิ้วอย่างสงสัย
บุรุษที่ออกมากับสองแม่ลูกคือบุตรชายของกู้เหลี่ยง นามว่ากู้ซาน ตอนนี้เขาเป็นบัณฑิตอยู่ในสำนักศึกษาเฉินกั๋ว ที่บิดาของลู่จื้อบาดเจ็บในครั้งนี้เพราะได้ช่วยชีวิตกู้เหลี่ยงไว้ตอนเจอเสือเมื่อครั้งเข้าป่าล่าสัตว์ด้วยกัน
กู้เหลี่ยงจึงอยากตอบแทนจางหมินที่ช่วยชีวิตตนจึงได้พูดคุยเรื่องขอหมั้นหมายกู้ซานกับลู่จื้อไว้ แต่บิดาของนางยังไม่ได้รับปาก
ลู่เพ่ยสังเกตน้องสาวว่าน้องสาวจะเสียใจหรือไม่ เพราะลู่จื้อก็ดูจะชอบกู้ซานอยู่บ้างเช่นกัน แต่น้องสาวของตนเพียงปรายตาไปมองเท่านั้นมิได้สนใจอันใดต่อ ลู่เพ่ยจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
กู้ซานแม้จะรู้เรื่องที่บิดาของตนอยากให้หมั้นหมายกับลู่จื้อแต่ตนนั้นรังเกียจที่ลู่จื้อไม่คู่ควรกับตน ลู่จื้อโดนใช้งานจากบ้านใหญ่เหมือนทาส เนื้อตัวก็ผอมแห้ง มือหยาบกร้าน มีตรงใดที่หน้ามองกัน
ผิดกับจางเยว่ที่ไม่ต้องทำงานใช้ชีวิตไม่ต่างกับคุณหนูในตระกูลใหญ่ๆ พี่ชายของนาง จางหวง ก็ยังเป็นบัณฑิตเช่นเดียวกับกู้ซาน อีกทั้งจางหวงก็สอบผ่านเป็นซิ่วไฉแล้วด้วย กู้ซานจึงอยากจะหมั้นหมายกับจางเยว่มากกว่าที่จะเป็นลู่จื้อ
ตอนนี้ที่ตนอยู่กับนางลู่หงกับจางเยว่เพราะกำลังวางแผนที่จะเปลี่ยนตัวคู่หมั้น โดยไม่ทำให้ชื่อเสียงของตนต้องด่างพร้อย และยังมีจางหวงที่อยู่ด้วยอีกคน
คนทั้งสี่มองสองพี่น้องที่กำลังเดินผ่านอย่างนึกดูแคลน เสื้อผ้าที่ใส่แม้จะสะอาดแต่ก็ปะชุนจนไม่นึกว่าจะมีคนกล้าใส่ออกมาจากเรือน จางเยว่อยากจะเอ่ยวาจาดูถูกแต่ก็โดนพี่ชายของตนส่งสายตาห้ามปรามไว้
สองพี่น้องมิได้สนใจสิ่งใดนอกจากอยากกลับให้ถึงเรือนโดยเร็วเพื่อนำเรื่องที่หมอฉีจะมารักษาบิดาที่เรือนและเรื่องราคาที่ขายโสมได้ไปบอกกล่าวครอบครัว
บนเกวียนสองแม่ลูกบ้านใหญ่ยังคงพูดจาเยาะเย้ยลู่จื้อตลอดจนถึงหมู่บ้าน ยังดีที่เกวียนใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งเค่อมิเช่นนั้นลู่จื้ออาจจะหมดความอดทนได้
ส่วนข้าวของที่สองพี่น้องซื้อมาไม่ได้มากมายเท่าใด จึงทำให้ทั้งสองแม่ลูกไม่ได้สนใจจะมองนัก
นางจินหรูที่รอคอยบุตรทั้งสองกลับมาอย่างกระวนกระวาย เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามาในบ้านนางจึงรีบปิดประตูอย่างแน่นหนาแล้วเดินตามบุตรทั้งสองเข้าไปในห้องของจางหมิน
จางหมินกับจินหรูมองถุงใส่เงินตรงหน้าของตนอย่างเหม่อลอย นางจินหรูถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา ถุงใส่เงินเมื่อหักค่าของที่ลู่จื้อซื้อกลับมาแล้วมีถึงสี่สิบหกตำลึงเงิน กับตั๋วเงินห้าสิบตำลึงเงินอีกหนึ่งใบ และยังมีป้ายไม้ของโรงฝากเงินที่สองพี่น้องฝากไว้สามร้อยตำลึงทอง
“อีกหนึ่งพันสามร้อยตำลึงทองข้าเก็บเข้าไปในมิติแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่อยากเก็บไว้เองหรือไม่” ลู่จื้อเอ่ยถามความเห็นของจินหรู
“ไม่ ไม่ต้อง เจ้าเก็บไว้เองปลอดภัยเสียกว่า” เพียงแค่ได้ลูบคลำเล็กน้อยนางก็พอใจแล้ว
ลู่เพ่ยเล่าให้บิดาฟังว่าท่านหมอฉีจะมาตรวจดูอาการของบิดาในวันพรุ่งนี้ ทำให้นางจินหรูถึงกับคุกเข่าโขกหัวให้กับสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวของนาง
มื้อเย็นของบ้านรองจางวันนี้จึงมีแต่เสียงพูดคุย หัวเราะแล้วยังมีกลิ่นเนื้อที่ลอยไปไกลจนบ้านข้างเคียงนึกอิจฉา
หลังจากที่กินมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว ลู่จื้อนางก็เข้าไปพักผ่อนในห้องของนาง
“อืม จะเข้าไปได้หรือไม่” นางครุ่นคิดว่ามิติที่ได้มา จะเป็นเพียงแค่ช่องเก็บของหรือว่าจะเข้าไปอยู่ด้านในได้ด้วย
นาจึงงลองกำหนดจิตไปที่กำไลหยกสีดำบนข้อมือ เพียงครู่เดียว ตัวนางก็เหมือนถูกดูดเข้าไปอีกที่แห่งหนึ่ง
เป็นพื้นที่กว้างมีเพียงกระท่อมหลังน้อยหนึ่งหลัง พื้นที่โดยรอบนอกจากบึงน้ำที่มีดอกบัวแล้วที่เหลือก็เป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่า
ภายในกระท่อมมีห้องนอนเพียงหนึ่งห้อง ห้องโถงด้านหน้า และห้องตำราเท่านั้น ห้องน้ำกับห้องครัวอยู่ด้านหลัง สิ่งของภายในไม่มีสิ่งใดที่พิเศษเหมือนที่นางเคยอ่านตามนิยายเรื่องอื่น
นางเดินสำรวจให้ห้องตำรา ภายในห้องมีตำรามากมายนัก แต่ตำราทุกเล่มที่นางเปิดดูนั้นล้วนว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดเขียนไว้ นางยิ่งฉงนใจ แต่มีอยู่เพียงหนึ่งเล่มเท่านั้นที่มีตัวอักษรให้อ่าน หน้าปกเขียนไว้ว่า ฝึกปราณขั้นพื้นฐาน
แคว้นฉีที่นางอยู่นั้นยังไม่ปรากฏบุคคลที่มีพลังปราณ นางจึงไม่เข้าใจว่าทำไมหนังสือเล่มนี้จึงมีอยู่ในห้องตำราได้ นางจึงหยิบหนังสือเล่มนั้นมานั่งอ่านเพื่อทำความเข้าใจ
เมื่อทั้งสองพนันกันว่าหวังเหอรุ่ยจะตามมาหรือไม่ ลู่จื้อนางบอกว่าจะต้องตามมาในวันต่อไปเลย ส่วนโจวหรงเฉิงไม่คิดว่าจะตามมาด้วยคิดว่าคงกลัวคำขู่จองเขาอยู่บ้าง“เหอะ เจ้ามาจ่ายให้ข้าด้วย” โจวหรงเฉิงหันไปถลึงตามองหวังเหอรุ่ยที่รีบตามมาเร็วเกินไปจนเขาต้องเสียเงินให้เมียรักถึงหนึ่งพันตำลึงทอง“ดะ ได้ขอรับ ว่าแต่อาเยว่เล่านางอยู่ที่ใด”“หึ ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย หากอาเยว่เลิกสนใจในตัวเจ้า เจ้าต้องห้ามยุ่งกับนางอีก แล้วถ้าเจ้าทำให้อาเยว่นางเสียใจอีกครั้ง...” โจวหรงเฉิงมิได้บอกว่าจะจัดการหวังเหอรุ่ยเช่นไร แต่เขาปล่อยพลังปราณใส่ตัวของหวังเหอรุ่ยแม้จะอยู่ในขั้นจักรพรรดิ หวังเหอรุ่ยยังเจ็บจนต้องกลืนเลือดที่เกือบจะกระอักออกมาคืนกลับลงไป โจวหรงเฉิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนตัวของหวังเหอรุ่ยจะเข้าไปอยู่ภายในมิติ“ท่านเก่งมากท่านพี่ คืนนี้ข้าจะมอบรางวัลให้ท่านดีหรือไม่” ลู่จื้อช้อนสายตามองเขาอย่างยั่วยวน“ตอนนี้เลยมิได้รึ” โจวหรงเฉิงอุ้มเมียรักกลับขึ้นห้องพักทันทีโดยไม่สนใจสายตาตกตะลึงของตนในโรงเตี๊ยมที่มองพวกเขาอย่างตกตะลึง ชาวบ้านเพียงแค่ได้ยินเรื่องผู้ฝึกตน แต่ไม่เคยพบเห็นกับตาเช่นนี้“เย่เยว่”
นางอุตส่าห์ได้ปิ่นที่หวังเหอรุ่ยทำขึ้นด้วยตนเองมาจากมารดาที่เอ่ยขอมาตั้งนาน ทั้งยังปักมาเพื่อให้เขาได้เห็น แต่ไม่คิดว่าจะมาเห็นภาพบาดตาเข้า“อาเยว่เจ้าเอาของมาให้ข้ารึ วางไว้เถิด ประเดี๋ยวจะให้บ่าวยกไปเก็บ” เขาไม่ได้มองใบหน้าที่ตกตะลึงของนางเลย“หลานสาวท่านพี่เคยเอ่ยเล่าใช่หรือไม่เจ้าคะ” สตรีใบหน้างามไม่น้อยหันมาส่งยิ้มหวานให้ฟานเยว่“ใช่ อาเยว่ นี่แม่นางฝูหลิน...”“ท่านจะแต่งนางเป็นภรรยาใช่หรือไม่เจ้าคะ” ฟานเยว่เอ่ยถามหวังเหอรุ่ยเสียงแข็ง“...” เขามิได้เอ่ยตอบนาง“ใช่แล้ว ต่อไปเจ้าก็ต้องเรียกข้าว่าท่านป้าสะใภ้” ฝูหลินยังคงยิ้มแย้มอย่างใจดีให้ฟานเยว่“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเวลาสำราญของท่านแล้ว ท่านลุง” ฟานเยว่ยิ้มอย่างเจ็บปวดให้เขา ก่อนจะหันหลังกลับออกจากจวนตระกูลหวังไป โดยไม่หันมามองหวังเหอรุ่ยอีกเลย“ท่านต้องทำเช่นนี้ด้วยรึใต้เท้าหวัง บุรุษทั่วเมืองหลวงล้วนแต่อยากจะพิชิตนางให้ได้ มีเพียงท่านที่นางปักใจ แต่กลับใจร้ายกับนางเช่นนี้” ฝูหลินเอ่ยตำหนิเขาออกมานางเป็นหญิงขับร้องในหอนางโลม มิใช่หญิงคณิกา รู้จักกับหวังเหอรุ่ยมาหลายปีแล้ว ที่นางไม่ยอมขายคืนแรกให้ผู้ใดก็รอเพียงแค่เขาเท่าน
ลู่จื้อเดินทางมาถึงเมืองหลวง ครอบครัวของนางที่เขียนจดหมายส่งข่าวให้รู้ก่อนหน้า ก็พากันออกมารอต้อนรับอย่างคับคั่ง“นั่น หลานสาวข้าใช่หรือไม่” จินหรูชี้นิ้วที่สั่นเทาไปทางฟานเยว่ที่โบกมืออยู่บนหลังม้าตัวเดียวกับผู้เป็นบิดา"ท่านยาย ท่านตา ฟานเยว่เจ้าค่ะ” นางลงจากหลังม้าได้ก็วิ่งเข้าไปหาจางหมินและจินหรู“รู้จักตากับยายด้วยรึ” จางหมินมองหลานสาวอย่างเอ็นดู“เจ้าค่ะ ท่านแม่เล่าเรื่องท่านตาท่านยายให้ข้าฟังทุกวันเลย โอ๊ะ...ท่านพ่อก็เล่าเรื่องท่านปู่กับท่านย่าด้วยเจ้าค่ะ” ฟานเยว่กลัวเสนาบดีโจวและฮูหยินโจวจะเสียใจจึงได้เอ่ยขึ้นมา“ฉลาดนักหลานสาวข้า” เสนาบดีโจวหัวเราะอย่างชอบใจ“ท่านลุงเพ่ย ท่านลุงหยาง พวกท่านมีน้องให้ข้ารึยัง” ใบหน้าของทุกคนแข็งค้างไป เมื่อฟานเยว่หันไปเอ่ยถามลู่เพ่ยและหลินตงหยางที่ออกมารอรับอยู่ด้วย“ฮ่า ฮ่า อาเยว่ เจ้าช่างปากร้ายเหมือนบิดาไม่มีผิด” เซียวซีซวนที่อุ้มบุตรสาวตัวน้อยของเขามาด้วยก็หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ“กลับจวนกันก่อนเถิดขอรับ” โจวหรงเฉิงอุ้มฟานเยว่กลับมา เขาปิดปากน้อยๆ ของบุตรสาวไว้ไม่ได้ส่วนลู่จื้อเส้นเลือดที่ข้างขมับของนางเต้นไม่หยุด เจ้าบุตรสาวตัวแสบไม่รู้
โจวหรงเฉิงที่เห็นเช่นนั้นจึงได้ช้อนตัวนางลงมาอยู่ในสระน้ำ ความเจ็บเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายไป เขาจึงกดลำทวนเข้าไปจนสุดลำ“ดีแล้วหรือยัง”“อืม...”“ให้ข้าขยับเลยหรือไม่” เขากระซิบถามที่ข้างหู“หากไม่ขยับก็เอาออกไปซะ” ลู่จื้อกัดฟันแน่น นางเริ่มจะหงุดหงิดบุรุษหน้าหนาเสียแล้ว“หึหึ” โจวหรงเฉิงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ ก่อนจะเริ่มขยับเอวเข้าออกอย่างช้าๆ แล้วเร็วขึ้นจนน้ำในสระกระเพื่อมออกไปนอกสระ“อ๊ะ...อ๊า” ลู่จื้อกัดปากแน่น เมื่อเขาเริ่มขยับเอวหนาเข้าออกอย่างไม่คิดจะผ่อนเลย“จื้อเออร์ ข้ามีความสุขยิ่งนัก” โจวหรงเฉิงเชิดหน้าขึ้นอย่างเสียวซ่าน ก่อนที่น้ำรักจะพุ่งเข้าสู่ช่องทางรักของลู่จื้ออย่างเต็มเปี่ยมแสงหลากหลายสีภายในสระบัวพุ่งวนอยู่รอบตัวของทั้งคู่ยามที่ทั้งคู่เสร็จสมจากการร่วมรักลู่จื้อและโจวหรงเฉิงมองไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจ เพียงครู่เดียวร่างกายของทั้งสองก็ราวกับจะปริแตก เมื่อพลังปราณในร่างกายต่างวิ่งวนอย่างสับสน“อื้อ...” ลู่จื้อร้องออกมาเสียงเบา โจวหรงเฉิงเม้มปากแน่น กอดลู่จื้อที่ร่างยังผสานกันอยู่แน่นขึ้นความเจ็บปวดเกิดไม่นาน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือดวงตาของทั้งสองเปล่งประกายไปด้วยสีทองอร
หากจะถามว่าเรื่องของลู่เพ่ยและหลินตงหยางเกิดขึ้นเมื่อใด ก็คงตั้งแต่ที่เขาเดินทางมาที่เมืองหลวง ตอนที่หลินตงหยางมักจะเข้ามาอยู่ในมิติเพื่อเดินลมปราณ ลู่เพ่ยที่ได้เข้าไปช่วยดูแล ทำให้ทั้งสองรู้ใจตนเอง หลังจากนั้นก็ลอบนัดพบกันโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้เห็นแม้แต่ลอบเข้ามาในจวนยามค่ำคืนหลินตงหยางก็ทำมาแล้ว และดูเหมือนว่าจะบ่อยครั้งกว่าที่โจวหรงเฉิงได้พบลู่จื้อในมิติเสียอีก“เชื่อข้าพี่เพ่ย ท่านต้องรักตนเอง อย่าสนใจสายตาของผู้ใด หากท่านเลือกแล้วว่าเป็นแม่ทัพหลิน ท่านเป็นถึงผู้ฝึกตนจะมีใครกล้าว่าท่านใด”“อืม...เข้าใจแล้ว” เขายิ้มกว้างออกมา เหมือนว่าเรื่องหนักอกได้ถูกยกออกไปแล้วหลินตงหยางเป็นคนที่ไม่สนสายตาของผู้ใดอยู่แล้ว เขาต้องการจะบอกเรื่องนี้กับสหายหลายครั้ง แต่ก็ถูกลู่เพ่ยขอร้องเอาไว้ตลอดเกี้ยวแปดคนหามเคลื่อนตัวไปที่จวนตระกูลโจวหลังใหม่ ด้านหน้าเกี้ยวมีเสี่ยวเฮยที่คืนร่างเดิม เดินนำหน้าอยู่อย่างน่าเกรงขามเมื่อเกี้ยวหยุดลง โจวหรงเฉิงก็เดินเข้ามาอุ้มตัวเจ้าสาวลงไม่ยอมให้นางได้เดิน ชาวเมืองได้แต่ชะเง้อคอมองด้วยอยากรู้ว่าสตรีที่อยู่ในอ้อมแขนของโจวหรงเฉิงงามมากเพียงใด เขาถึงไม่กล้าให้เท้าของนาง
เสนาบดีโจวตัวเขามีสามภรรยา สี่อนุ เช่นบุรุษส่วนมากในเมืองหลวง ที่โจวหรงเฉิงเอ่ยถามก็เพียงสงสัยว่าเขาสามารถตัดใจจากเมียรักทั้งหมดได้รึ“เหอะ ข้าไม่เป็นแล้วก็ได้” เขาแค่นเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ภรรยาทุกคนของเขาล้วนแต่มีบุตร หากให้ทิ้งขว้างพวกนางก็ดูจะไร้คุณธรรมเกินไป“ท่านไม่ต้องห่วงว่าจะมีเมียเพิ่มไม่ได้นะเจ้าคะ ข้าจะมอบน้ำพุจิตวิญญาณไว้ให้ท่านสักสองโอ่ง” ลู่จื้อชูนิ้วขึ้นมาด้วยสองพ่อลูกหันมาถลึงตามองลู่จื้อกันใหญ่ พร้อมทั้งเสียงหัวเราะของฮูหยินโจวที่ลู่จื้อพูดได้ถูกใจนางเสียจริงทั้งหมดแยกย้ายกลับไปที่จวนเพื่อจัดการเก็บข้าวของที่นำมาด้วยไม่น้อยเลย ลู่จื้อบอกกล่าวบิดาเรื่องที่นางจะเดินทางเที่ยวไปทั่วแคว้นจางหมินจึงต้องหาซื้อที่ดินในเมืองหลวงเพื่อปลูกผัก โดยมีเซียวซีซวนให้การช่วยเหลือ มันคือผลประโยชน์ของเขาทั้งสิ้นลู่จื้อบอกเรื่องจะทิ้งน้ำพุจิตวิญญาณไว้ที่จวนให้มากเสียหน่อย เพื่อให้เขาผสมน้ำใช้รดผักที่ปลูก ส่วนผลไม้ ก็จะมีวางขายเพียงแค่ไม่กี่อย่างแทนแต่สิ่งที่ลู่จื้อนึกไม่ถึงคือ เสนาบดีโจวหลังจากที่กลับไปวันนั้น เขาก็เรียกภรรยาและบุตรทั้งหมดมาพบ ก่อนจะจัดการแบ่งทรัพย์สินที่มีให้ท