“เอาเงินของข้าคืนมา ข้าจะไม่เอานางตัวซวยนี่ไปเหยียบเรือนข้าเป็นอันขาด!!”
“เอ้า!! ตาเฒ่า! เหตุใดเจ้าถึงได้ปลิ้นปล้อนเช่นนี้เล่า!! เสียแรงที่ข้าให้เกียรติมาตลอดเพราะเห็นว่าเป็นผู้อาวุโส ถุย!!”
กู้ชิงเหอได้ยินเสียงคนทะเลาะกันมาพักใหญ่แล้ว แต่นางรู้สึกอ่อนล้าเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมาได้ แต่หลังจากที่ทนฟังเรื่องราวของผู้อื่นที่นางไม่เข้าใจมาเนิ่นนาน นางก็พยายามฝืนลืมตาขึ้นมามอง
ดวงตาของหญิงสาวพร่าเลือนก่อนจะค่อยๆ ปรับสายตาได้ในที่สุด
ภาพตรงหน้าเป็นกลุ่มคนที่สวมใส่เสื้อผ้าแปลกตาเนื้อตัวมอมแมมราวกับไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน บางคนก็ชี้มือมาที่นาง บางคนก้มหน้า บางคนกำลังช่วยกันดึงร่างของสตรีวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเอาไว้
“ใครว่าข้าปลิ้นปล้อน! เจ้าดูเสียก่อนว่าคนของเจ้าทำสิ่งใดเอาไว้!” ชายชราผมสีดอกเลาอายุราว 60-70 ปี ชี้หน้าสตรีวัยกลางคนน้ำเสียงโกรธจัด ก่อนจะหันมากล่าวกับกลุ่มชาวบ้านหมู่บ้านเกาซานที่มามุงดู
“ทุกท่านเป็นพยานให้ข้าผู้นี้ด้วยเถิด ข้ามอบสินสอดให้นางหวางซื่อเมื่อเดือนก่อนไปแล้ว และตกลงมารับหลานสาวของพวกเขาไปเป็นภรรยาไว้ดูแลยามป่วยไข้ แต่พอมาถึงเจ้าสาวของข้ากลับมาชิงคิดสั้นไม่ยอมไปแต่โดยดี เช่นนี้ตาแก่อย่างข้าคือคนปลิ้นปล้อนเช่นนั้นหรือ?”
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากกลุ่มคน หลานสาวบ้านกู้คิดสั้นหนีออกจากเรือนมาผูกคออยู่หน้าหมู่บ้าน!!
ทุกสายตาหันมาจับจ้องร่างเล็กที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดินเย็นเฉียบ ร่างผอมแห้งจนแทบมองเห็นแนวกระดูกซี่โครงใต้เนื้อผิวซีดเซียว ดวงหน้าเล็กซีดขาวราวกระดาษ ไร้สีเลือด มีหยาดเหงื่อเกาะพราวบนหน้าผาก ผมเผ้ายุ่งเหยิงปรกแก้ม ลมหายใจแผ่วบางแทบมองไม่เห็นการขยับของอก
ลำคอของนางมีรอยแดงเข้มเป็นเส้นยาววนรอบ รอยนั้นยังใหม่และน่าขนลุก บางจุดแตกเป็นรอยถลอก บ่งบอกว่าถูกเชือกเสียดสีอย่างแรง
เสื้อผ้าหลวมโพลกเปียกปอนบนร่างกายบอบบางนั้นยิ่งขับให้เห็นความเปราะบางของนางอย่างชัดเจน แขนขาบางเฉียบคล้ายกิ่งไม้แห้ง มือข้างหนึ่งกำแน่นราวกับยังฝันว่ากำลังดิ้นรนต่อสู้ ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม ร่างของนางดูเศร้าสร้อยอย่างน่าเวทนา…
“นางจงใจประจานบ้านสกุลกู้หรือไม่” เสียงซุบซิบจากสตรีนางหนึ่งดังขึ้น
แม้ผู้เฒ่าผู้แก่จะเพียงหลุบตาลง ไม่กล่าวคำใด แต่ก็รู้กันในใจ ใครกันเล่าที่บีบให้หญิงสาวไร้หนทาง?
กู้ต้าซุนกับภรรยายกหลานสาววัยสิบห้าปีให้เป็นภรรยาของชายชราอายุเจ็ดสิบ!! กู้ชิงเหอเพิ่งสิบห้า ไม่ต้องคิดเลยว่าหญิงสาวจะรู้สึกสะเทือนใจเพียงใด
“แล้วนางตายหรือยังเล่า!! ก็แค่คิดสั้นแต่ไม่ตายไม่ใช่หรือไร ตอนนี้นางก็ลืมตาขึ้นมาแล้วเจ้าก็รับตัวนางกลับไปเสียสิ เหตุใดจึงจะมาเรียกร้องเอาเงินคืนจากข้า!”
หญิงสูงวัยนางหนึ่งถึงกับต้องเบ้ปากให้กับหวางชุ่นฮวาอาสะใภ้ของหญิงสาวผู้อาภัพ
หลานสาวเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาได้ไม่กี่อึดใจ แต่นางหวางซื่อกลับคิดแต่จะส่งคนออกไปให้พ้นตัว ไม่ถามไถ่อาการของกู้ชิงเหอเลยแม้แต่ประโยคเดียว
“เพ่ย!! นางหนูนี่เพิ่งจะคิดสั้นอยู่หยกๆ แล้วจะให้ข้าแบกคนตายกลับไปที่เรือนหรืออย่างไร!! นี่มันอัปมงคลชัดๆ!”
“เหอะ!! ตาเฒ่านี่ไม่แค่แก่ แต่ยังตาบอดหูหนวกอีกด้วย! ก็เห็นๆ กันอยู่ว่านางยังไม่ตาย คนตายแล้วจะลุกขึ้นมานั่งอย่างนี้ได้หรือ!” หญิงวัยกลางคนร่างใหญ่ชี้มือไปที่กู้ชิงเหอ ริมฝีปากแสยะยิ้ม
กู้ชิงเหอเงยหน้าขึ้นมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยใบหน้าแตกตื่น เมื่อเห็นปลายนิ้วหยาบกร้านที่ชี้มายังตนจึงเพิ่งจะเข้าใจ สรุปแล้วที่พวกเขาถกเถียงกันอยู่ตั้งนานเป็นเรื่องของนางเช่นนั้นหรือ? แล้วพวกเขาเป็นใคร?!
แล้วนางมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้นางนั่งอยู่ในรถแท็กซี่มิใช่หรือ? จริงสิอุบัติเหตุ รถแท็กซี่ที่นางนั่งอยู่เกิดอุบัติเหตุ! แล้วที่นี่มันที่ไหน!!
ขณะที่ชายชราผมขาวกับสตรีร่างใหญ่ยังถกเถียงกันไม่เลิก บุรุษวัยกลางคนร่างสันดัด หัวตาแหลม ท่าท่าหลุกหลิกสวมชุดที่ตัดเย็บด้วยผ้าหยาบกระด้างผู้หนึ่งก็เดินตรงมาที่นาง
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ตามผู้เฒ่าหลู่กลับไปดีๆ แล้วอย่าคิดจะสร้างความเดือดร้อนให้ข้ากับป้าสะใภ้ของเจ้าอีกเล่า”
หญิงสาวเบิกตาโพลง บุรุษที่มีกลิ่นตัวเหม็นอับผู้นี้เป็นใคร?
เมื่อครู่เหมือนเขาจะบอกว่าสตรีร่างใหญ่ปากร้ายที่ชี้หน้านางอยู่ในเวลานี้คือป้าสะใภ้ของนางเช่นนั้นหรือ?
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันนี่!” หญิงสาวอุทานออกมาเบาๆ
นางเริ่มสำรวจไปรอบตัวอีกครั้ง นอกจากกลุ่มคนที่ยืนเถียงกันเรื่องของนางแล้ว ข้างๆ นางยังมีคนอีกสองคนนั่งอยู่ด้วย
เด็กสาวที่กุมมือข้างหนึ่งของนางเอาไว้ ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินสิบสามสิบสี่ปี ดวงหน้าและผิวพรรณสะอาดสะอ้านกว่าทุกคนที่กำลังจ้องมองนางอยู่ ส่วนบุรุษอีกคนที่อยู่ข้างๆ เด็กสาวกลับหลุบตาไม่มองใคร สีหน้าคล้ายรำคาญใจ
“นี่..พวกคุณ ช่วยบอกฉันทีว่าที่นี่มันที่ไหน”
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาทว่าดูซีดเซียวไปหน่อย เหลือบตามามองนางเพียงแวบเดียว แทนที่เขาจะตอบแต่กลับทำตรงข้าม ร่างสูงลุกพรวดขึ้นยืนพลางดึงร่างเด็กสาวอีกคนให้ลุกตามไปด้วย
“ข้าอยากดูนางก่อนเจ้าค่ะพี่ใหญ่..” เด็กสาวหน้าตาฝืนตัวเอาไว้ นิ้วมือของนางกำแน่นไว้ที่ชายเสื้อของกู้ชิงเหอ
“พี่สาวเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ที่นี่ก็คือลานหน้าหมู่บ้านอย่างไรเล่า..ท่านจำไม่ได้หรือ?”
กู้ชิงเหอยืดคอไปทางด้านหลัง พลางมองร่างนุ่มนิ่มตรงหน้าด้วยใบหน้าเหยเก
เด็กคนนี้ก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่ทำไมต้องพูดจาด้วยภาษาแปลกๆ เช่นนั้นด้วย?
ไม่สิ!! ไม่ว่าจะภาษา ทรงผมหรือการแต่งกาย คนที่อยู่ในบริเวณนี้ก็ล้วนประหลาดกันทั้งสิ้น!!
ก่อนที่นางจะอ้าปากถามเด็กสาวให้ชัดเจน ว่าหน้าหมู่บ้านนี่คือหมู่บ้านใดกันแน่ เสียงของชายชราผมขาวก็ดังขึ้นกลบเสียงนางอีกครั้ง
“ข้าไม่เอา! เป็นตายอย่างไรข้าก็ไม่เอานางกลับไปด้วยเด็ดขาด” ผู้เฒ่าหลู่ปฏิเสธเสียงแข็ง
“เกิดนางไปทำเรื่องบ้าๆ เช่นนี้อีกครั้งในเรือนข้า ข้ามิซวยแย่หรือ เงินก็เสีย! คนก็ไม่ได้! เจ้าสาวที่ทำเรื่องอัปมงคลตั้งแต่วันแรกที่จะเข้าเรือนเช่นนี้ ข้าถามพวกเจ้าหน่อย เป็นพวกเจ้าจะยอมหรือไม่!” ผู้เฒ่าหลู่หันไปถามชาวบ้าน
กลุ่มชาวบ้านหลายคนส่ายหน้าช้าๆ พวกเขาเห็นด้วยกับผู้เฒ่าหลู่ กู้ชิงเหอถูกบังคับใจเช่นนี้อีกไม่นานนางก็คงทำเรื่องเดิมซ้ำอีกครั้ง แล้วใครจะยอมเสียเงินเพื่อรับเอาตัวปัญหาเข้ามาไว้ในเรือนกันเล่า
-ซื่อ เป็นคำที่ใช้ต่อท้ายแซ่ของสตรี มักจะใช้เรียกสตรีที่แต่งงานแล้ว เช่น หวังซื่อ (สตรีแซ่หวัง)หรือ หลี่ซื่อ (สตรีแซ่หลี่)
เจียงเหิงกัดฟันแน่น เจียงไห่สามีของแม่นมหายตัวไปจริง แต่คนที่แม่นมลั่วคิดจะออกไปตามหาในเวลานั้นไม่ใช่เขาในปีนั้น กวานจิ้งหยวน บิดาที่แท้จริงของเขาถูกผู้มีอำนาจใส่ความว่ากบฏ จึงรีบส่งคนมาบอกให้มารดาของเขารีบหนีออกจากจวนโดยด่วนระหว่างทาง รถม้าที่พวกเขาโดยสารถูกคนร้ายติดตามไม่ลดละ ทหารที่คุ้มกันจำต้องลวงศัตรูให้แยกไปอีกทางปล่อยให้สามแม่ลูกหลบหนีมาพร้อมกับลั่วหลินและบุตรสาวของนางแต่ก่อนจะถึงหมู่บ้านเกาซาน รถม้ากลับลื่นตกเหว แม่นมลั่วคว้าตัวเจียงเหยียนไว้ได้ทัน ส่วนเขาก็กระเด็นออกมาอยู่บนพื้นดิน… ทว่าเบื้องล่างเหวนั้นกลับกลืนร่างของ จางเหยามารดาของตนและบุตรสาวของแม่นมไปพร้อมกันลั่วหลินในเวลานั้นมิใช่ไม่อยากเสี่ยงชีวิตลงไป แต่เหวลึกชันนัก ต่อให้เดินอ้อมภูเขาหลายลูกเพื่อหาทางลงไปถึงก้นเหวก็ไม่รู้ว่ากว่าจะไปถึงจะยังเหลือสิ่งใดให้ค้นหา พวกเขาสามคนนั่งร่ำไห้อยู่บนปากเหวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แม่นมลั่วสูญเสียบุตรสาว ตัวเขาเองก็เสียใจที่เห็นมารดาตกเหวลึกไปต่อหน้า แต่เจียงเหยียนนั้นอาการหนักที่สุด นางตกใจอย่างรุนแรงตาค้างจนหมดสติ สุดท้ายแม่นมลั่วก็ต้องกัดฟันพาเขาและน้องสาวเดินทางต่อจนถึงหมู่บ
สวี่อี้หมิงไม่เพียงไม่ยอมตามน้ำ หากยังตอกย้ำเสียงดังฟังชัด“เมื่อครู่ข้าเพิ่งมอบเงินร้อยตำลึงให้นางหนูนั่นใช้ขยายเรือน เงินนั่นยังมากพอจะซื้ออุปกรณ์การเรียนให้เด็กๆ ในหมู่บ้านได้อีกด้วยซ้ำ ข้าจะอยู่ตรงไหนก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนให้ผู้ใดมาจัดหา”กู้ชิงเหออ้าปากตาค้าง ดวงตากลมเบิกโพลง นางนึกว่าเงินนั้นได้มาเปล่าๆ ที่ไหนได้ กลายเป็นว่าต้องใช้สร้างเรือน ต้องจัดหาอาหารการกินเลี้ยงดูท่านผู้สูงส่งผู้นี้ แล้วยังต้องแบกรับภาระซื้อของแจกเด็กๆ อีก! หากมิใช่ว่านางยังหวังจะให้เขาช่วยชี้แนะเจียงเหิงในเรื่องการสอบจวี่เหรินที่ใกล้จะมาถึง นางคงตะเพิดเขาออกไปตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว!!ฝ่ายหลี่ซื่อ เมื่อได้ยินว่าเงินก้อนโตถึงร้อยตำลึงไปตกอยู่ในมือของกู้ชิงเหอ ดวงตาก็ลุกวาวด้วยความโลภทันที ความอิจฉาผสมโกรธจนอกแทบระเบิด นางรีบแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยสวี่อี้หมิง“เอาเงินตั้งร้อยตำลึงไปไว้กับเด็กสาวไม่รู้ประสาเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากเอาไปเผาไฟเล่นหรอกเจ้าค่ะ! ไม่สู้มอบมาให้ข้าจัดการเถิด รับรองจะทำได้ดีกว่า”นางปรายตามองกู้ชิงเหออย่างเยาะหยัน ก่อนเอ่ยต่อราวกับตัดสินแทนทุกคน“อย่างไรก็สกุลเจียงด้วยกันทั้
“ท่านแม่! ท่านมาวุ่นวายอะไรที่นี่!” เจียงเสี่ยวเหวินรีบเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง บดบังสายตาของเจียงเหิงไว้ ทำให้เจียงเหิงต้องพยายามทำใจให้เย็นลง ต่อให้เขาเกลียดสตรีผู้นี้เพียงใด นางก็เป็นมารดาของเจียงเสี่ยวเหวินอยู่ดีหลี่ซื่อค้อนบุตรชายทีหนึ่ง แต่ไม่กล้าบ่นอะไรมากต่อหน้าเจียงเหิง นางจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเปลี่ยนเรื่อง“ข้าได้ยินท่านย่าเจ้าบอกว่ามีขุนนางเข้ามาตรวจสอบฝ้ายมิใช่หรือ? ข้าอยากมาถามให้แน่ใจว่าฝ้ายพวกนี้จะขายได้ราคาดีจริงหรือไม่น่ะสิ” ชาวบ้านที่ติดตามลูกๆ ของตนมาด้วยทำสีหน้างุนงง เจียงเสี่ยวเหวินวิ่งออกไปบอกกับสหายของเขาในหมู่บ้านว่ายามนี้มีอาจารย์จากเมืองหลวงมาพักอยู่ที่เรือนเจียงซิ่วไฉ และยังจะสอนหนังสือให้เขากับกู้ชิงฉีด้วย เด็กๆ อยากเห็นอาจารย์จากในวังจึงได้ตามเสี่ยวเหวินมา ส่วนพวกตนที่ได้ยินข่าวก็เดินตามมาด้วยหวังจะมาเคารพท่านอาจารย์จากในเมืองสักครั้ง แต่เหตุใดหลี่ซื่อจึงบอกว่าคนผู้นั้นเป็นขุนนางที่มาตรวจสอบฝ้ายเล่า? “ขุนนางตรวจสอบฝ้ายอันใดกันหลี่ซื่อ? บุตรชายเจ้าบอกว่าที่เรือนของเจียงซิ่วไฉมีท่านอาจารย์มาพำนักอยู่ด้วยต่างหาก!” สตรีนางหนึ่งตำหนิ เกรงว่าคำพูดไม่รู้ควา
กู้ชิงเหอรู้สึกหนักใจเล็กน้อย เมื่อครู่ที่นางกล่าวว่าเชื่อเขานั้น นางไม่ได้พูดปดเลยสักนิดแม้จะไม่แน่ชัดว่าสวี่อี้หมิงเคยเกี่ยวพันกับฮ่องเต้จริงหรือไม่ แต่นางรู้สึกว่าระหว่างเขากับเจียงเหิงดูเหมือนคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน ที่สำคัญ..ตัวละครที่ปรากฏตัวออกมาอย่างน่าตื่นตะลึงเช่นสวี่อี้หมิงจะไม่มีบทบาทใดเลยหรือ? เขาน่าจะเป็นตัวปัญหาอย่างที่นางคิดไว้แต่แรก และอาจเป็นผู้ชักจูงเจียงเหิงให้เปลี่ยนแปลงไปในทางร้ายด้วยซ้ำ!!กู้ชิงเหอหลับตาลงชั่วครู่ นึกถึงภาพเจียงเหิงในอนาคตที่นางเคยอ่านในนิยาย ชายหนุ่มผู้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งขุนนางใหญ่ในราชสำนัก เป็นผู้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยม คำพูดทุกคำแฝงคมมีด ทุกย่างก้าวบดขยี้ผู้อื่นโดยไร้ความลังเล ในตำแหน่งเดิมเขาอาจดูสงบเยือกเย็น ทว่าแท้จริงแล้วเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต เหมือนงูพิษที่เงียบเชียบแต่พร้อมจะฉกกัดทุกเมื่อบุคคลเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทาง ไม่ว่าจะขุนนาง ขันที หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ล้วนต้องถอยให้เขาสามก้าว แค่เอ่ยนาม “เจียงเหิง” ก็เพียงพอจะทำให้ทั้งราชสำนักสะท้านหวาดหวั่นทว่าบุรุษตรงหน้ากลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง สวี่อี้หมิงเป็นคนอวดดีตรงไปตรงมา ร้
“อาเหิง เจ้ากลับมาแล้ว เช่นนั้นข้ากับย่าเจ้าจะกลับเรือนใหญ่ล่ะนะ” ท่านปู่ตะโกนเรียกเสียงดัง “เสี่ยวเหวิน คืนนี้เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนพี่ใหญ่เถิด ข้าจะบอกแม่เจ้าเอง” ผู้เฒ่าเจียงยังไม่วางใจนัก จึงกำชับต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นย่าเหยาเม้มปากแน่น หากผู้เฒ่าเจียงไม่สั่งความเช่นนี้นางก็คงไม่คิดมาก แต่ตอนนี้นางเริ่มห่วงว่าหากคนร้ายตามสวี่อี้หมิงมาถึงเรือนของหลานชายเล่า? จะมีอันตรายอะไรกับเด็กๆ หรือไม่ หญิงชราลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวมาหาหลานรัก “หากเกิดเหตุร้ายแรงอันใด…เจ้าต้องรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น วิ่งไปเรือนหูซุนจ่างก็แล้วกัน ไม่ต้องกลับไปที่เรือนเราหรอก บิดาเจ้าก็ช่วยเหลือใครไม่ได้อยู่ดี”กู้ชิงเหอได้ยินถ้อยคำนั้น มุมปากก็ยกยิ้มจาง ๆ ในใจแอบคิดว่า แม้ท่านย่าเหยาจะเคยลำเอียงจนทำให้สองพี่น้องลำบาก แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะรักเสี่ยวเหวินมากเกินไป หาใช่เพราะโหดร้ายอันใด ที่แท้ในใจนางก็ยังคิดห่วงเจียงเหิงกับเจียงเหยียนอยู่บ้างต่างจากกู้ต้าซุนกับหวางชุ่นฮวา ที่กล้าขายหลานกินอย่างไม่น่าให้อภัย!!คืนนั้น เจียงเหิงพากู้ชิงฉีและเจียงเสี่ยวเหวินมาปูเสื่ออยู่หน้าห้อง ปล่อยให้สวี่อ
สวี่อี้หมิงถูกปู่เจียงกับกู้ชิงฉีช่วยกันพาเข้าไปนอนในห้องของเจียงเหิงที่ไม่ได้กลับมานอนที่เรือนหลายวันแล้ว กู้ชิงฉีคอยเป็นลูกมือพร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เฒ่าเจียงฟัง ระหว่างที่เขาช่วยจัดการบาดแผลบนหน้าอกให้กับชายแปลกหน้า พอสวี่อี้หมิงหลับไปแล้ว ชายชราก็ยังนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง บางครั้งก็ลุกขึ้นชะเง้อมองไปทางหน้าเรือนไม่หยุด จนเจียงเหยียนต้องเตือนให้เขาพักผ่อนบ้าง“ในเรือนมีแต่สตรีกับเด็ก ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าอยู่กับชายแปลกหน้าเพียงลำพังได้อย่างไร” ท่านปู่บ่น“ข้าขออภัยด้วยเจ้าค่ะท่านปู่ ที่ทำให้ท่านต้องกังวล..” กู้ชิงเหอขอโทษเสียงแผ่ว “ข้าเห็นว่าเขาท่าทางภูมิฐานไม่เหมือนพวกโจรป่าจึงกล้าช่วยเหลือ อีกอย่าง..เขาบอกว่าหากช่วยเขา เขาจะตอบแทนน้ำใจอย่างงามเลยเจ้าค่ะ” ย่าเหยาคิ้วกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย รีบลุกเดินเข้าไปสำรวจบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นอย่างละเอียด “ชิงเหอกล่าวไม่ผิดเขาไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราหรอกนะตาเฒ่า หรือว่าอาจจะเป็นขุนนางที่เข้ามาตรวจสอบการเพาะปลูกฝ้าย!!” คำกล่าวนั้นทำให้กู้ชิงเหอสะดุ้งเล็กน้อย หากมีขุนนางมานอนตายอยู่ในที่ดินของเจียงเหิงคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ โชคด