บทที่ 8 ข้าไม่ได้ตั้งใจ
ไม่นานแม่นมได้กลับมาพร้อมท่านหมอตรวจร่างกายจัดการบาดแผลให้แก่หลี่มี่ โชคดีที่นางไม่ได้รับบาดเจ็บมากเพียงแค่หัวแตกเท่านั้น ส่วนที่นางสลบน่าจะเป็นเพราะนางตกใจจนเกินไป
เมื่อท่านหมอรักษาแผลให้หลี่มี่เสร็จเขาจึงขอตัวกลับ ส่วนอ้ายเยว่ไม่กล้าที่จะเข้าไปที่ห้องเดินไปมาอยู่หน้าห้องอย่างเป็นกังวล ส่วนลูกแมวน้อยเขาได้ให้แม่นมพาไปที่ห้องของเขาแล้ว เทียนหลันเซ่อรู้ว่าเยิ่นเม่ยเม่ยปลอดภัย เขาจึงเดินออกมาหน้าห้องพบเห็นอ้ายเยว่เดินไปมาอย่างเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงเดินเข้ามาหาบุตรชายเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น อ้ายเยว่เห็นท่านพ่อเดินออกมาจากห้องจึงรีบเข้าไปเอ่ยถามอาการของเยิ่นเม่ยเม่ย
“ท่านพ่อนางเป็นเช่นไรบ้างขอรับ ข้าไม่ได้ทำให้นางตายใช่มั้ย? ท่านพ่อหากนางตายข้าจะทำเช่นไร” เทียนหลันเซ่อวางมือลงบนบ่าของอ้ายเยว่ทั้งสองข้างนั่งคุกเข่าลงเพื่อถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
“อ้ายเยว่บอกข้ามาว่าเรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้นทำไมนางถึงได้รับบาดเจ็บ แล้วทำไมเจ้าต้องคิดว่าตนเองฆ่านางหรือว่าเจ้ารังแกนาง” น้ำเสียงกดต่ำเพียงแค่ได้ยินก็รู้เย็นยะเยือกถึงหัวใจ
เด็กชายสั่นกลัวส่ายหน้ามองไปทางอื่นมิกล้าที่จะสบสายตาท่านพ่อ พร้อมเอ่ยบอกอย่างกระตุกกระตัก
“ข้าไม่ได้ตั้งใจขอรับท่านพ่อ ข้าแค่จะช่วยแมวที่ต้นไม้จึงปีนขึ้นบนหลังคาแต่ข้าพลาดตก ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางจะเข้ามาช่วย ข้าตกลงมาใส่นางทำให้หัวของนางเลือดออก อึก.. อึก.. ท่านพ่ออย่าบอกนะขอรับว่าข้าฆ่านาง” เด็กชายเริ่มเอ่ยเสียงสั่นสะอึกสะอื้น แต่เทียนหลันเซ่อกลับถอนหายใจ เขาคิดว่าบุตรชายของเขาเป็นคนรังแกทำให้นางได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเขาเองก็เบาใจ ยกมือลูบหัวของอ้ายเยว่อย่างแผ่วเบา น้ำเสียงนุ่มกว่าคราวก่อนเพื่อปลอบประโลมให้เด็กชายหยุดร้องไห้
“นางปลอดภัยแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าทำร้ายนางเสียอีก” เด็กชายมองหน้าท่านพ่อพร้อมย้อนคำพูดของเขาเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
“นางปลอดภัยแล้วหรือขอรับ? ” เด็กชายหน้าระรื่นใช้มือปาดน้ำตาอย่างดีใจ
“ใช่แล้ว เจ้าเห็นหรือไม่ว่านางเป็นห่วงเจ้าจนกล้าที่จะเจ็บแทน ให้ครั้งนี้เป็นบทเรียนของเจ้า ไปสิเข้าไปดูนางและต่อจากนี้เจ้าเลิกเรียกชื่อนางได้แล้ว จงเรียกนางว่าท่านแม่” ใบหน้าของอ้ายเยว่สลดลงอีกครั้ง แม้ว่าครั้งนี้นางจะช่วยเหลือเขา แต่จะให้เขายอมรับนางเป็นแม่มันช่างเป็นเรื่องที่ยากนัก แถมไม่ตอบอันใดเทียนหลันเซ่อสักคำ เขารับรู้ได้ว่าบุตรชายคิดเช่นไร การที่เด็กคนหนึ่งไม่เคยมีแม่ที่คอยเลี้ยงดูยากนักหากวันหนึ่งจะให้เรียกสตรีอื่นว่าท่านแม่
“ท่านพ่อ เรื่องนี้ข้าต้องขอเวลาสักนิดนะขอรับ”
“เอาเถิด หากนางฟื้นแล้วเจ้าจงนำยาให้นางดื่มด้วย ข้าจะออกไปด้านนอกสักครู่” เทียนหลันเซ่อไม่คาดคั้นลุกขึ้นยืนพร้อมบอกให้เขาดูแลเยิ่นเม่ยเม่ยเมื่อนางฟื้นขึ้นมา
“ข้ารับท่านพ่อ” เด็กชายพยักหน้ารับคำสั่งของท่านพ่อเขาลูบหัวบุตรชายอย่างอ่อนโยนก่อนจะย่างเท้าไปทำเรื่องที่ค้างคาอยู่
อ้ายเยว่เดินย่างเท้าอย่างเบาตัวเกรงว่าเยิ่นเม่ยเม่ยจะตื่นเมื่อเด็กชายเดินมาถึงเตียงนอนพบว่าตอนนี้นางหลับสนิทอยู่บนเตียงหัวถูกโพกด้วยผ้าสีขาว ทำให้อ้ายเยว่รู้สึกผิดที่ทำให้นางได้รับบาดเจ็บ
“ท่านโง่หรือไง มาช่วยข้าทำไมกัน คิดว่าจะทำดีด้วยแค่นี้แล้วข้าจะยอมรับท่านเป็นท่านแม่อย่างนั้นหรืออย่าหวังเลย ไม่มีวันนั้นเสียหรอก” เด็กชายยังคงถือทิฐิของตนเอง แม้จะรู้สึกผิดแต่ยังเย่อหยิ่งเพราะคิดว่าเป็นแผนของเยิ่นเม่ยเม่ย
หลี่มี่ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ข้างกายนางรู้สึกตัวตอนนี้เจ็บที่หัวปวดระบมไปหมด
“อื้อ… ทำไมข้าถึงเจ็บหัวอย่างนี้นะ” อ้ายเยว่ได้ยินเสียงครวญครางดังออมาจากปากของเยิ่นเม่ยเม่ยเขารีบเข้าไปดูใกล้ ๆ นางฟื้นแล้วจริง ๆ นะหรือ? แล้วเมื่อครู่นางได้ยินที่เขาเอ่ยหรือไม่? ใบหน้าของอ้ายเยว่กังวลอีกครั้ง
“นี่ท่านฟื้นแล้วหรือ” หลี่มี่ลืมตามาดูก็พบเด็กชายยืนจ้องหน้าอยู่ สมองของนางเริ่มประมวณผล นางจำได้ว่าเด็กชายกำลังหล่นมาจากหลังคานางเข้าไปช่วยจากนั้นก็หมดสติไป แล้วนางมาอยู่ที่ห้องได้อย่างไร
“เจ้าซาลาเปา ข้ามาอยู่ที่ห้องได้อย่างไรเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
“เหอะ! นี่ท่านสติฟั่นเฟือนหรืออย่างไรที่เข้ามาช่วยข้าจนตนเองได้รับบาดเจ็บ เมื่อฟื้นมาก็เอาแต่เป็นห่วงข้า ช่างไม่ดูตนเองบ้างเลยคนที่ได้รับบาดเจ็บคือท่านต่างหากเล่าแต่ท่านอย่าคิดนะการที่ช่วยข้าในครั้งนี้แล้วข้าจะยอมรับท่านนะ” เด็กชายกอดอกเบะปากอย่างน่าหมั่นไส้
‘นี่ฉันคิดถูกหรือคิดผิดที่ช่วยเด็กคนนี้กันนะ”
“เฮ้อ! เจ้านี่นะถ้าปากดีเช่นนี้คงไม่เป็นอะไรมาก ว่าแต่ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้กันนะ”
“ท่านสำออยแสร้งสลบแน่ ๆ ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าท่านพ่อจะเดินผ่านมา ท่านพ่อเป็นผู้อุ้มท่านมาที่นี่ เอ๊ะ! หรือว่าเมื่อท่านตื่นจะฟ้องท่านพ่อว่าข้ารังแก ท่านช่างเป็นสตรีที่ร้ายกาจเสียจริง” หลี่มี่มองหน้าเด็กชายที่เอ่ยออกด้วยความคิดของเด็กน้อยจนนางส่ายหน้า ยันตนเองลุกขึ้นมานั่งพิงเตียง จับหัวที่ถูกโพกด้วยผ้าอย่างแน่นหนา
“เจ้านี่นะ..ทำไมถึงคิดว่าข้าเป็นสตรีร้ายกาจเช่นนั้นกันหากข้าสตรีร้ายกาจข้าไม่ช่วยเจ้าหรอกนะ”
“แล้วอย่างไรล่ะต่อให้ท่านช่วยข้าอาจจะเป็นว่าท่านอยากได้ความรักจากท่านพ่อเลยเข้ามาช่วยข้าคงคิดหาผลประโยชน์จากข้าสินะ …จริงสิ! ท่านพ่อสั่งไว้เมื่อท่านฟื้นแล้วให้นำยาต้มมาให้ ท่านเจ็บที่หัวคงไม่ได้เจ็บที่ขาหรอกใช่มั้ย? เช่นนั้นท่านก็ลุกมาดื่มเองแล้วกันข้าจะกลับห้อง” เด็กชายเอาแต่ใจคิดอย่างไรก็พูดออกมาเช่นนี้ ตอนนี้หลี่่มี่เหนื่อยล้ามากจนไม่มีเรี่ยวแรงจะมาโต้เถียงกับซาลาเปาก้อนกลมที่อยู่ตรงหน้า
“ข้าหาดื่มเองได้เจ้ากลับห้องเจ้าเถิด ต่อจากนี้จงอย่าได้ทำอันใดอันตรายเช่นนั้นอีก หากวันนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ทันจะเกิดอันใดขึ้น เข้าใจหรือไม่ หากเจ้าไม่เชื่อฟังข้าจะเป็นสตรีที่ร้ายกาจอย่างที่เจ้าว่าเอง” หลี่มี่โบกมือไล่ให้เด็กชายออกไปจากห้อง ก่อนที่เด็กชายจะเดินออกไปหลี่มี่ได้ข่มขู่เพื่อให้เขาหวาดกลัวและไม่ทำเช่นดั่งวันนี้อีก แต่เด็กชายกลับหันมายิ้มยั่วพร้อมแลบลิ้นให้นางก่อนจะออกไป
“ข้าไม่สน ข้าไม่ฟังข้าไม่กลัว แบร่ ๆ ” หลี่มี่เจ็บหัวเกินกว่าจะโต้ตอบจึงไม่ได้เอ่ยอันใดปล่อยให้อ้ายเยว่ออกไปเช่นนั้น
นางลุกขึ้นเดินไปที่เครื่องแป้งเพื่อมองดูบาดแผลแต่ทว่าหัวของนางกลับถูกผ้าโพกไว้หมด
“ต้องเจอเรื่องน่าปวดหัวอีกนานแค่ไหนกันนะ ทะลุมิติมาอยู่ในนิยายของตัวเองยังไม่พ้นวัน ไม่คิดว่าจะเจ็บตัวขนาดนี้เลย อื้ม! จริงสิการเจ็บตัวครั้งนี้ก็มีประโยชน์สำหรับฉันนี่น่า” หลี่มี่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสนางจะใช้การบาดเจ็บในครั้งนี้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ต้องนอนเตียงเดียวกับท่านแม่ทัพ หลี่มี่ยิ้มกว้างเดินไปดื่มยาที่วางอยู่ที่โต๊ะ จากนั้นนางจึงเดินไปที่เตียงเพื่อจะนอนพักผ่อน
ก๊อก ๆ'''' นางกำลังโน้มตัวลงนอนบนเตียงเสียงเคาะประตูได้ดังมาจากข้างนอก เวลานี้ผู้ใดจะมาหานางกัน หรือว่าจะเป็นท่านแม่ทัพกันนะ?
“เข้ามาสิ “นางตอบเสียงที่เคาะประตูข้างนอก แต่เมื่อผู้ที่เข้ามามิใช่ท่านแม่ทัพเป็นสตรีที่นางไม่เคยพบเจอเลย มองดูเสมือนจะเป็นสาวใช้ในจวนแห่งนี้
“ข้ามีนามว่า ‘ไป๋ลู่’ ฮูหยินผู้เฒ่าส่งข้ามาดูแลปรนนิบัติฮูหยินเจ้าค่ะ” เสมือนนางรู้ว่าหลี่มี่คิดอะไร เมื่อเข้ามานางได้เอ่ยนามเพื่อแจ้งให้หลี่มีได้รับรู้ นางได้ยินใบหน้าของหลี่มี่ก็เปลี่ยนไปพลางกระตุกยิ้มที่มุมปาก
‘มาแล้วสินะ สาวใช้ของเยิ่นเม่ยเม่ยที่หักหลังนาง’ นางคิดในใจก่อนจะมองดูไป๋ลู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“จากนี้เจ้าจะมาดูแลข้าสินะ มาเป็นสาวใช้ประจำตัวของข้าใช่หรือไม่? ”
“ใช่เจ้าค่ะฮูหยิน”
“เช่นนั้นเจ้าต้องทำทุกอย่างที่ข้าสั่งใช่หรือไม่? ”
“เจ้าค่ะฮูหยิน ไม่ว่าท่านจะสั่งให้ข้าทำอันใดข้าสามารถทำได้ทุกอย่างต่อจากนี้ข้าจะจงรักภักดีต่อฮูหยินเพียงผู้เดียวเจ้าค่ะ” ไป๋ลู่เป็นคนพูดจาฉอเลาะเอาอกเอาใจเก่งอย่างที่หลี่มี่แต่งในนิยาย ดังนั้นนางจึงคิดจะแกล้งดูว่านางจะจงรักภักดีอย่างที่นางเอ่ยออกมาหรือไม่ หลี่มี่หันไปพบดาบที่ถูกประดับตกแต่งอยู่ในห้องจึงเอ่ยลองใจนางดู
“หากเช่นนั้นเจ้าจงใช้ดาบที่อยู่ตรงด้านขวานั้นแทงตนเองให้ข้าดูสิ ข้าจะได้รู้ว่าเจ้าจงรักภักดีต่อข้าจริงหรือไม่? ” หลี่มี่เอ่ยออกมาแววตานิ่งเรียบน้ำเสียงเย็นยะเยือกทำให้ไป๋ลู่ใบหน้าถอดสี ทรุดตัวลงกับพื้นก้มลงใช้หัวแนบพื้นอ้อนวอนให้หลี่มี่เปลี่ยนคำสั่งใหม่
“ฮูหยิน โปรดถอนคำพูดด้วยเจ้าค่ะข้าจงรักภักดีต่อท่านจริง ๆ แต่จะให้ข้าทำร้ายตนเองมันไม่ดูโหดร้ายเกินไปหรือเจ้าคะ มีหนทางพิสูจน์ตนแบบอื่นหรือไม่เจ้าคะข้ามีท่านแม่ที่ต้องดูแลไหนจะน้องชายของข้าที่ยังเล็กนักครอบครัวของข้า ขาดท่านพ่อตั้งแต่ท่านแม่ตั้งครรภ์น้องคนเล็ก ฮูหยินโปรดเมตตา” หลี่มี่มองสาวใช้นั่งตัวสั่นเทาเอ่ยออกมาอย่างเว้าวอนเพื่อให้นางเปลี่ยนคำพูด
“เจ้ากลัวหรือ ข้าแค่อยากลองใจเจ้าเท่านั้นเองเจ้าหาได้ทำอันใดผิดข้าจะให้เจ้าทำเช่นนั้นทำไม ต่อจากนี้เจ้าจงดูแลข้าให้ดีตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บอยากพักผ่อนเจ้าจะไปทำอันใดก็ไปเถิด หากข้าตื่นแล้วจะเรียกใช้” ไป๋ลู่มีสีหน้าดีขึ้นอย่างโล่งอกลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งคำนับเพื่อออกจากห้องตามคำสั่งของฮูหยิน
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
บทที่ 4 เขาคือคนที่ฉันคิดถึงมาตลอดไม่นานนักเซ่อเหลียนได้กลับมาพร้อมยาที่เขาตั้งใจไปซื้อมาให้เธอเขาเดินเข้ามาในห้องของหลี่มี่ได้ยินเสียงน้ำที่หยดลงพื้น เขาจึงเดินไปที่ห้องครัวของเธอเปิดตู้เย็นเพื่อดูของจะทำอาหารให้เธอได้กินเช้านี่แต่กลับไม่เห็นอาหารที่มีประโยชน์เลยมีเพียงอาหารสำเร็จรูปเท่านั้น"เธอใช้ชีวิตอย่างไรเนี้ยะ! ทำไมไม่มีอะไรกินเลย” เขาบ่นพึมพำอยู่หน้าตู้ก่อนจะคว้าอาหารสำเร็จรูปมาต้มให้เธอได้กินก่อนจะกินยาหลี่มี่อาบน้ำเสร็จเธอเดินออกมาจากห้องน้ำผมยังไม่แห้งดีกลิ่นสบู่อ่อน ๆ ออกมาจากเธอทำให้เขาหันไปมองเพราะตอนนี้เธอมายืนดูเขาอยู่“ทำอะไรเหรอ”“หาอะไรทำให้คุณกินนะสิ ทำไมไม่มีอะไรเลยนอกจากอาหารสำเร็จรูปแบบนี้”“เฮ้อ! นายไม่ต้องสนใจการอยู่การกินของฉันหรอกนะ มานี่ฉันมีเรื่องจะพูดกับนายมากมายเรื่องกินเอาไว้ก่อน” เธอดึงมือของเขาออกจากห้องครัวไปนั่งที่โซฟาเพื่อตกลงเรื่องที่เกิดขึ้น“เรื่องที่จะพูดคงไม่คิดผลักไสไล่ส่งผมหรอกนะ รู้มั้ยว่าคุณคือคนที่พรากความบริสุทธิ์ของผมไป” เซ่อเหลียนกลัวว่าเธอจะไม่ให้เขาได้เจอเธออีกเลยเอ่ยออกมาแบบนี้“เฮ้อ! ฉันไม่เข้าใจนายเลย เอาอย่างนี้หากเรื่องที่เก
บทที่ 3 ฉันจะรับผิดชอบเองเมื่อพาเธอเข้านอนเขาได้จัดแจงนำกระเป๋าของเธอวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง สายตาของเขาจ้องมองรอบ ๆ ห้องของหลี่มี่เห็นรูปที่เธอสั่งวาดช่างเหมือนเขาเหลือเกิน ยิ่งทำให้เขาดีใจที่เธอไม่เคยลืมเขาแม้แต่น้อย“ดีใจจังเลยที่เธอไม่เคยลืมฉัน ...คงเสียใจมากสินะที่กลับมาทั้งอย่างนี้ เธอเป็นคนเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตของฉัน ขอบคุณนะหลี่มี่” เขาหันมามองเธอที่หลับอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนที่เขาจะกลับบ้านของตัวเองได้เข้าไปนั่งข้างเธอยื่นมือไปลูบหน้าของเธอย่างอ่อนโยน“ดูสิไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้เธอยังคงงดงามเช่นเดิม” เขาลูบหน้าของเธอก่อนจะลุกเพื่อกลับบ้านแต่แล้วหลี่มี่กลับจับมือของเขาเอาไว้แน่นละเมอออกมาเสียงแผ่วเบา“อย่าไปนะ อย่าจากฉันไป อึก อึก ฉันเหงาเหงามากเหลือเกิน” แม้ว่าเธอจะไม่ลืมตาแต่น้ำตาของเธอไหลรินออกมาอย่างช้า ๆ“เธอใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีใครมาตลอดอย่างนั้นเหรอ แล้วอย่างนี้ฉันจะหักห้ามใจตัวเองไม่ให้อยากโอบกอดเธอได้อย่างไร” เซ่อเหลียนใช้มืออีกข้างเช็ดหยาดน้ำตาให้หลี่มี่ส่วนมืออีกข้างของเขาตอนนี้ถูกเธอกอดเอาไว้แน่น เขาพยายามแกะมือของเธอออกอย่างแผ่วเบากลัวว่าเธอจะตื
บทที่ 2 เจอกันอีกครั้งหลังจากที่เขาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเขียนจึงได้รู้ว่าอีกไม่กี่วันจะมีการรับรางวัลมีรายชื่อของนักเขียนหลี่มี่ที่เขาต้องการพบ เซ่อเหลียนจึงตั้งใจจะไปพบเธอให้ได้ เขาเฝ้ารอการพบเจอจนกระทั่งได้เห็นเธอขึ้นไปบนเวทีรับรางวัล ใบหน้าของเธอช่างเหมือนเยิ่นเม่ยเม่ยอย่างไรอย่างนั้น ตอนที่เธอพูดถึงหนังสือเรื่องนี้ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลในครั้งนี้ เขายิ่งมั่นใจว่าเธอคือคนที่เขาตามหา"นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันรักมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครทุกเหตุการณ์ที่ฉันบรรจงแต่งออกมาแต่ละบทความฉันใช้ความรู้สึกของฉันเขียนไปด้วย เมื่อตัวละครมีความสุขฉันก็มีความสุขหากเมื่อไหร่ที่ตัวละครฉันเสียใจฉันเองก็เสียใจไม่น้อยร้องไห้จนไม่เป็นอันทำอะไร ฉันไม่คิดเลยว่านิยายของฉันเรื่องนี้จะเป็นที่ยอมรับของทุกคน ขอบคุณนะคะสำหรับรางวัลนี้และขอบคุณที่ให้โอกาสนักเขียนตัวน้อยได้มาโลดแล่นในวงการนี้ฉันขอสัญญาจะตั้งใจเขียนนิยายออกมาให้ดีที่สุด ขอบคุณค่ะ" รอยยิ้มแววตาที่เขาคุ้นเคยแม้กระทั่งน้ำเสียงของเธอเขาจดจำได้ทุกอย่าง น้ำตาแห่งความดีใจได้หลั่งไหลออกมา เขาที่นั่งอยู่ด้านหลังสุดรีบเช็ดน้ำตาหัวใจของเขาเต้นแรงตึกตั
บทที่ 1 ทะลุมิติ"เฮือก!!! " ชายนอนอยู่บนเตียงลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงงวย มองซ้ายมองขวาต้องตกใจเข้าไปใหญ่ สถานที่ที่ไม่คุ้นเคยช่างแปลกตายิ่งนัก แม้แต่เตียงที่นอนอยู่ก็มิใช่เตียงที่เขานอนในทุกวัน"ที่นี่ที่ใดกัน!! หรือว่าข้าถูกศัตรูลักพาตัวมา ไม่ได้การแล้วข้าต้องรีบหาทางออกไปจากที่นี่ต้องหาผู้บงการในครั้งนี้เพื่อจัดการให้สิ้นซาก" เทียนหลันเซ่อลุกขึ้นจากเตียงมองพนังสีขาวเป็นห้องสี่เหลี่ยมเดินสำรวจก่อนจะเปิดประตูค่อย ๆ ย่องเพื่อหลบหนีเขาเดินออกมาต้องตกใจมากกว่าเดิม ด้านนอกมีสิ่งแปลกประหลาดมากกมาย เขามองซ้ายมองขวาไม่พบเจอผู้คนเขามองเห็นโต๊ะที่ไม่เคยเห็นจึงนั่งลงเพื่อครุ่นคิดแต่แล้วเขากลับนั่งทับรีโมททำให้ทวีต่อหน้าได้เปิดขึ้นเสียงดัง ทีวีได้ฉายข่าวเทียนหลันเซ่อไม่เคยเห็นเขาตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ"นั่นใครกัน!! ออกมามาเดี๋ยวนี้นะ เจ้าเป็นใคร" เขาชี้นิวไปด้านหน้าทีวีพลางกระโดดขึ้นโซฟา จู่ ๆ มีหญิงชราเดินเข้ามาในมือถือทัพทีใบหน้าคิ้วขมวด"อะไรของแกกันห่ะ!!! ตื่นมาโวยวายเช่นนี้ได้อย่างไร เวรกกรรมอะไรของฉันมีลูกโตขนาดนี้แล้วแต่ยังต้องคอยหาเลี้ยงอีก " เทียนหลันเซ่อคิ้วขมวดอย่างสงสัยสตรีด้าน
บทที่ 55 นักเขียนหน้าใหม่หลี่มี่ได้ถูกรับเชิญให้ไปรับรางวัลนักเขียนหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จในงานเลี้ยงฉลองนักเขียนดัง ๆ ระดับแถวหน้าของประเทศ เธอแต่งหน้าอยู่ที่กระจกแม้เวลาผ่านไปหนึ่งปีแต่เธอยังคงคิดถึงเทียนหลันเซ่อพระเอกนิยายตัวเองไม่จางหายเขาไม่เคยหายไปจากใจของเธอเลย แม้กระทั่งน้ำเสียงหรือใบหน้าเธอยังคงจำได้ดีแต่ทว่าตอนนี้เธอไม่ได้ร้องไห้เหมือนที่ผ่านมาเธอกลับยิ้มออกมาอย่างสุขใจ "เทียนหลันเซ่อปานนี้ท่านจะเป็นอย่างไรนะ รู้หรือไม่ว่าฉันคิดถึง วันนี้เป็นวันที่ฉันประสบความสำเร็จถ้ามีท่านอยู่เคียงข้างคงจะดี เอ๊ะ! แต่เดี๋ยวสิยังไงทุกวันนี้ฉันก็มีเทียนหลันเซ่ออยู่ข้างกายอยู่แล้ว วันนี้เราไปรับรางวัลด้วยกันนะ" หลี่มี่หยิบหนังสือของตัวเองพร้อมถือออกจากห้องไปพร้อม ๆ กัน ฝั่งด้านเทียนหลันเซ่อหลังจากที่เขากลับมาจากทะเลวันนั้น เยิ่นเม่ยเม่ยดูอ่อนโยนมากกว่าเดิมวาจานิสัยไม่เหมือนเดิมแถมยังเหมือนสตรีที่สูงส่งแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่เหตุใดความรู้สึกของเขาเสมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป วันนี้เขามายืนจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟากฟ้าลมเย็นกระทบกาย จู่ ๆ รอยยิ้มใบหน้าที่เขาคิดถึงก็ปรากฎข
บทที่ 54 ลาจากด้วยความรักเทียนหลันเซ่อจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างสุขใจ ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งเขาย้อนเวลามาอีกครั้ง หากเป็นเช่นดั่งอดีตเขาก็คงไม่มีทางรู้ว่ามีสตรีที่เขารักและรักเขามาเพียงใด นางเข้ามาเติมเต็มทุกอย่างในชีวิตของเขาจริง ๆ หลี่มี่วางมือของเทียนหลันเซ่อพร้อมหันหลังไปมองพลุที่ยังคงถูกจุดอีกหลายดอกบนท้องฟ้า น้ำทะเลไหลมาสัมผัสที่เท้าจนหลี่มี่ต้องก้มมองดูแต่แล้วหัวใจของนางต้องหล่นวูบเมื่อบัดนี้ไม่ใช่แค่เท้าหรือขาของนางที่เลือนรางตอนนี้บนตัวของนางก็เริ่มเลือนรางขึ้นมาเรื่อย ๆ นางไม่เข้าใจทำไมคนอื่นไม่เห็นเหมือนนางหรือมีเพียงแค่นางผู้เดียวที่เห็นความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ นางไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นแค่คิดนางก็ใจหายรีบหันไปมองหน้าของเทียนหลันเซ่ออย่างลึกซึ้งอีกครั้ง "ท่านพี่เจ้าคะ วันนี้ข้าอยากให้ท่านสัมผัสตัวข้าช่วยมอบจูบที่ลึกซึ้งให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ""ได้สิทำไมข้าจะให้เจ้าไม่ได้แค่เพียงจูบ" พูดจบเทียนหลันเซ่อโอบกอดหลี่มี่ก้มลงประทับจูบที่นุ่มนวลหอมหวานแต่ทว่านางกลับรู้สึกเสียใจ เพราะหากเป็นอย่างที่นางคิดนี่จะเป็นจูบสุดท้ายที่นางจะได้รับจากเขา ทั้งสองจูบกันท่ามกลางแสงพลุที่ส่องประ