บทที่ 9 หากถูกท่านโอบกอดคงหายดี
หลังจากที่สาวใช้เดินออกไปหลี่มี่โน้มลงลงนอนพร้อมหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ไม่คิดเลยว่าการเจ็บตัวจะเจ็บได้ถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นการเจ็บที่ไม่ได้ถูกกระทำ แต่มันทำให้หลี่มี่รู้ว่าความเจ็บปวดเป็นเช่นไร แล้วอย่างนี้เยิ่นเม่ยเม่ยตอนที่นางถูกรังแกจะเจ็บปวดถึงเพียงใดกันนะ หลี่มี่หลับตาครุ่นคิดไม่นานจึงผล็อยหลับไป
“บาดเจ็บอีกแล้วสินะ ทำเช่นไรเจ้าถึงจะปลอดภัย ข้าไม่ชอบที่เห็นเจ้าบาดเจ็บเลยสักนิด” มือหนาลูบลงที่หัวของเยิ่นเม่ยเม่ยอย่างอ่อนโยน จ้องมองร่างบางที่นอนหลับสนิทด้วยใจที่เจ็บปวด
หลี่มี่รู้สึกตัวเหมือนมีมือมาลูบที่หัวของนาง นางลืมตาขึ้นมาพบเพียงในห้องตอนนี้มีเพียงความมืดสนิดว่างเปล่า นางลุกขึ้นนั่งกวาดตามองดูรอบ ๆ แต่กลับไม่พบผู้ใดสักคนหรือนี่นางจะรู้สึกหรือฝันไปนะ
“ฝันสินะไป๋ลู่เจ้าอยู่ด้านอกหรือไม่? ”
“เจ้าค่ะ “เสียงตอบขานอยู่ด้านนอกผลักประตูเดินเข้ามาในห้องพร้อมเดินไปจุดเทียนเพิ่มความสว่างในห้อง
“ฮูหยินตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ข้าเตรียมอาหารมาให้ฮูหยินแล้ว” นางจุดเทียนพลางเอ่ยบอกนายหญิง
“ตอนที่ข้าหลับอยู่มีผู้ใดเข้ามาหรือไม่?”
“ไม่นะเจ้าคะ ข้าเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องตลอดไม่เห็นจะมีผู้ใดมาเยือนเลยสักคน ลุกขึ้นไหวไม่เจ้าคะข้าช่วยพยุง” ไป๋ลู่เดินเข้ามาประคองร่างของหลี่มี่ให้ลุกขึ้นไปที่โต๊ะอาหาร
‘หรือว่าฉันฝันไปจริง ๆ แต่ทำไมเหมือนความจริงจังเลยแต่ช่างเถอะตอนนี้ฉันมีเรื่องให้คิดและสำคัญกว่า’ หลี่มี่คิดในใจก่อนจะเดินไปที่โต๊ะอาหารถูกจัดเตรียมไว้ให้เต็มโต๊ะไปหมด
นางจับตะเกียบคีบอาหารเข้าปากเพื่อลิ้มรส วันนี้ทั้งวันนางแทบไม่ได้กินอะไรเข้าไปในท้องสักอย่างตอนนี้ท้องของนางเริ่มร้องประท้วงให้นางกินเพื่อความอยู่รอด เมื่ออาหารเข้าปากดวงตาของหลี่มี่ลุกวาว ไม่คิดเลยว่าอาหารของที่นี่จะอร่อยมากขนาดนี้
“จริงสิ ท่านแม่ทัพไม่มาดูข้าบ้างเลยหรือ หรือว่าเขายังไม่กลับมาจากข้างนอกกัน”
“ข้าเฝ้าห้องฮูหยินตั้งแต่ท่านหลับยังไม่เห็นท่านแม่ทัพเลยเจ้าค่ะ " ไป๋ลู่รีบรายงานพร้อมสำรวจใบหน้าของเยิ่นเม่ยเม่ยว่านางจะแสดงสีหน้าเช่นไร แต่เมื่อนางได้เห็นกลับต้องสงสัยเพราะหลี่มี่กลับยิ้มเยาะออกมา พร้อมไม่เอ่ยอันใดแม้แต่น้อย
‘หึ! ช่างโชคดีตอนนี้ตะวันตกดินวันนี้เขาคงไม่มาสินะ แต่ก็น่าโมโหข้าเจ็บตัวขนาดนี้ไม่มาถามไถ่สักนิด เหอะ’ หลี่มี่คิดในใจพร้อมคีบอาหารเข้าปากต่อ แต่แล้วจู่ ๆ ประตูได้ถูกเปิดจากด้านนอกเข้ามาทั้งสองหันไปมองตาม ๆ กัน ใบหน้าของหลี่มี่พลันเปลี่ยนสีหุบยิ้มโดยปริยาย
“อะไรกันหรือว่าจะรู้ความคิดฉันนะ” หลี่มี่พึมพำเงียบ ๆ เพราะผู้ที่เดินเข้ามาคือท่านแม่ทัพเทียนหลันเซ่อ
“ฮูหยินเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ? .” แม่ทัพรีบย้ำเท้าเดินเข้ามาหาใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ท่านไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้ามันกระดูกแข็งอยู่แล้ว” แม้นางอยากจะเอ่ยออกไปเช่นนั้นแต่ทว่าตอนนี้ไป๋ลู่อยู่ในห้องด้วย นางต้องนำทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแจ้งฟางเหนียงแน่ ๆ หลี่มี่จึงแสร้งทำเป็นออดอ้อนท่านแม่ทัพอย่างไม่เต็มใจ
“ท่านแม่ทัพ ข้าเจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ” หลี่มี่บีบน้ำตาใบหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดส่งผ่านไปหาเทียนหลันเซ่อ
“เจ้าเจ็บมากอย่างนั้นหรือ? เจ้าไปตามท่านหมอมาตรวจอาการของนางอีกรอบ " เทียนหลันเซ่อรีบออกคำสั่งให้ไป๋ลู่ ไปตามท่านหมอมาตรวจนางอย่างละเอียดอีกครั้งแต่ก็ต้องถูกหลี่มี่ห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ท่านแม่ทัพไม่ต้องทำเช่นนั้นข้าเพียงเจ็บเท่านั้น แต่หากมีท่านอยู่เคียงข้างในคืนนี้ไม่แน่ ตื่นเช้ามาข้าอาจจะหายเป็นปลิดทิ้ง” หลี่มี่ออดอ้อนลุกขึ้นเดินไปหาเทียนหลันเซ่อพลางใช้มือทั้งสองข้างสอดเข้าข้างกายของเขาพร้อมกอดตัวซุกเข้าไปในอกแกร่งใบหน้าแนบอก แต่เมื่อเห็นท่าทีของนางเขาโล่งอกที่นางไม่ได้เป็นอันใดมาก เขาโอบกอดนางกลับพร้อมเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“ได้สิ ...หากเจ้าต้องการข้าจะโอบกอดเจ้าทั้งคืนย่อมได้ ส่วนเจ้าเก็บสำรับแล้วไปพักได้ ข้าจะอยู่ดูแลฮูหยินของข้าเอง” เทียนหลันเซ่อให้ไป๋ลู่เก็บสำรับที่หลี่มี่กินอยู่เมื่อครู่
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ " ไป๋ลู่เก็บสำรับไม่นานก็ได้เดินออกไปด้านนอก ทหารของท่านแม่ทัพที่อยู่ด้านนอกปิดประตูให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง เมื่อหลี่มี่ได้ยินเสียงประตูที่ปิดลงนางรีบผละออกจากอ้อมกอดของเทียนหลันเซ่อทันที
“ตอนนี้ข้าอยากพักแล้วท่านแม่ทัพเองก็กลับไปพักเถอะเจ้าค่ะ”
“อะไรกันเหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเช่นนี้เมื่อครู่มิใช่เจ้าหรอกหรือที่บอกให้ข้าโอบกอดเจ้าทั้งคืน " เหมือนเทียนหลันเซ่อจะรู้ที่นางทำเมื่อครู่เพียงทำต่อหน้าสาวใช้นางนั้น
“เมื่อครู่สงสัยข้าจะสติเลอะเลือนเจ้าค่ะ ถึงเอ่ยออกมาเช่นนั้น ท่านแม่ทัพตอนนี้หัวของข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าอยากพักผ่อนหากท่านไม่ว่าอันใดจนกว่าข้าจะหายท่านช่วยกลับไปพักที่ห้องของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ? “เทียนหลันเซ่อแสยะยิ้มเดินเข้ามาใกล้หลี่มี่ที่เดินอยู่ห่างแค่คืบ พร้อมช้อนร่างบางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด บัดนี้นางถูกเขาอุ้มอย่างง่ายดาย
“หากเจ้าสติเลอะเลือนเช่นนั้นข้าต้องอยู่ที่นี่กับเจ้าถูกแล้ว ข้าจะได้ดูแลเจ้าหากเจ้าสติเลอะเลือนอีก ไปโอบกอดเช่นนี้กับทหารของข้าจะเกิดเรื่องใหญ่ได้” หลี่มี่เบิกตาโพลงโตเพียงไม่กี่เสี้ยววิเขากลับอุ้มนางมาอยู่ในอ้อมกอด แถมยังยิ้มราวกับผู้ชนะอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ได้นะเจ้าคะ ข้าเกรงว่าท่านจะนอนดิ้นแล้วจะถูกแผลเอาได้ ข้าสัญญาจะไม่เลอะเลือนอีก” หลี่มี่กระตุกกระตักหาทางหนีออกจากแขนแกร่งของเขา
“ข้าเป็นท่านแม่ทัพที่ไปออกรบมานับครั้งไม่ถ้วน ข้านอนไม่ดิ้นหรอกนะเจ้าโปรดวางใจ” เขาไม่ฟังคำพูดของนางด้วยซ้ำ แถมยังอุ้มนางเดินไปที่เตียงนอนอย่างไม่รีรอ หลี่มี่เริ่มใจหวิวกลัวว่าเขาจะทำอะไรมิดีมิร้าย เทียนหลันเซ่อวางนางลงบนเตียงปิดผ่านม่านคุมเตียงลง ก่อนจะเดินไปดับเทียนที่ห้อง หลี่มี่หมดหนทางหนีเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของเทียนหลันเซ่อเดินเข้ามาใกล้ ๆ ขยับกายขึ้นเตียงมานอนห่มผ้าห่มผืนเดียวกับนาง
“เอ่อ ... ท่านแม่ทัพคืนนี้ท่านคงไม่คิดร่วมหลับนอนกับข้าหรอกใช่มั้ย? ข้าเจ็บอยู่ท่านรู้ใช่หรือไม่หากข้าได้รับกระทบกระเทือนอาจทำข้าได้รับบาดเจ็บยิ่งขึ้น” หลี่มี่เอ่ยถามอย่างติดๆ ขัด ๆ ทำเอาชายที่อยู่ตรงหน้าหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เขานอนชันแขนหนุนกับหมอนใช้แขนยันหัวของตนเองจ้องมองหลี่มี่พลางหัวเราะออกมา
“ฮ่า ฮ่า ฮูหยิน นี่เจ้าคิดว่าในสมองของข้าคิดแต่เรื่องเช่นนั้นหรือ นอนเสียเถอะเจ้าวางใจได้ข้าไม่ทำอันใดเจ้าหรอกนะ " หลี่มี่โล่งอกแต่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อตอนนี้ตัวเองมาอยู่ในร่างของฮูหยินท่านแม่ทัพ จึงค่อย ๆ ข่มตาให้หลับ เทียนหลันเซ่อเอนตัวนอนลงข้าง ๆ พร้อมยื่นมือไปกอดหลี่มี่แน่น ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่จนกระทั่งหลี่มี่เผลอหลับไปในอ้อมกอดของท่านแม่ทัพ
บทที่ 4 เขาคือคนที่ฉันคิดถึงมาตลอดไม่นานนักเซ่อเหลียนได้กลับมาพร้อมยาที่เขาตั้งใจไปซื้อมาให้เธอเขาเดินเข้ามาในห้องของหลี่มี่ได้ยินเสียงน้ำที่หยดลงพื้น เขาจึงเดินไปที่ห้องครัวของเธอเปิดตู้เย็นเพื่อดูของจะทำอาหารให้เธอได้กินเช้านี่แต่กลับไม่เห็นอาหารที่มีประโยชน์เลยมีเพียงอาหารสำเร็จรูปเท่านั้น"เธอใช้ชีวิตอย่างไรเนี้ยะ! ทำไมไม่มีอะไรกินเลย” เขาบ่นพึมพำอยู่หน้าตู้ก่อนจะคว้าอาหารสำเร็จรูปมาต้มให้เธอได้กินก่อนจะกินยาหลี่มี่อาบน้ำเสร็จเธอเดินออกมาจากห้องน้ำผมยังไม่แห้งดีกลิ่นสบู่อ่อน ๆ ออกมาจากเธอทำให้เขาหันไปมองเพราะตอนนี้เธอมายืนดูเขาอยู่“ทำอะไรเหรอ”“หาอะไรทำให้คุณกินนะสิ ทำไมไม่มีอะไรเลยนอกจากอาหารสำเร็จรูปแบบนี้”“เฮ้อ! นายไม่ต้องสนใจการอยู่การกินของฉันหรอกนะ มานี่ฉันมีเรื่องจะพูดกับนายมากมายเรื่องกินเอาไว้ก่อน” เธอดึงมือของเขาออกจากห้องครัวไปนั่งที่โซฟาเพื่อตกลงเรื่องที่เกิดขึ้น“เรื่องที่จะพูดคงไม่คิดผลักไสไล่ส่งผมหรอกนะ รู้มั้ยว่าคุณคือคนที่พรากความบริสุทธิ์ของผมไป” เซ่อเหลียนกลัวว่าเธอจะไม่ให้เขาได้เจอเธออีกเลยเอ่ยออกมาแบบนี้“เฮ้อ! ฉันไม่เข้าใจนายเลย เอาอย่างนี้หากเรื่องที่เก
บทที่ 3 ฉันจะรับผิดชอบเองเมื่อพาเธอเข้านอนเขาได้จัดแจงนำกระเป๋าของเธอวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง สายตาของเขาจ้องมองรอบ ๆ ห้องของหลี่มี่เห็นรูปที่เธอสั่งวาดช่างเหมือนเขาเหลือเกิน ยิ่งทำให้เขาดีใจที่เธอไม่เคยลืมเขาแม้แต่น้อย“ดีใจจังเลยที่เธอไม่เคยลืมฉัน ...คงเสียใจมากสินะที่กลับมาทั้งอย่างนี้ เธอเป็นคนเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตของฉัน ขอบคุณนะหลี่มี่” เขาหันมามองเธอที่หลับอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนที่เขาจะกลับบ้านของตัวเองได้เข้าไปนั่งข้างเธอยื่นมือไปลูบหน้าของเธอย่างอ่อนโยน“ดูสิไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้เธอยังคงงดงามเช่นเดิม” เขาลูบหน้าของเธอก่อนจะลุกเพื่อกลับบ้านแต่แล้วหลี่มี่กลับจับมือของเขาเอาไว้แน่นละเมอออกมาเสียงแผ่วเบา“อย่าไปนะ อย่าจากฉันไป อึก อึก ฉันเหงาเหงามากเหลือเกิน” แม้ว่าเธอจะไม่ลืมตาแต่น้ำตาของเธอไหลรินออกมาอย่างช้า ๆ“เธอใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีใครมาตลอดอย่างนั้นเหรอ แล้วอย่างนี้ฉันจะหักห้ามใจตัวเองไม่ให้อยากโอบกอดเธอได้อย่างไร” เซ่อเหลียนใช้มืออีกข้างเช็ดหยาดน้ำตาให้หลี่มี่ส่วนมืออีกข้างของเขาตอนนี้ถูกเธอกอดเอาไว้แน่น เขาพยายามแกะมือของเธอออกอย่างแผ่วเบากลัวว่าเธอจะตื
บทที่ 2 เจอกันอีกครั้งหลังจากที่เขาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเขียนจึงได้รู้ว่าอีกไม่กี่วันจะมีการรับรางวัลมีรายชื่อของนักเขียนหลี่มี่ที่เขาต้องการพบ เซ่อเหลียนจึงตั้งใจจะไปพบเธอให้ได้ เขาเฝ้ารอการพบเจอจนกระทั่งได้เห็นเธอขึ้นไปบนเวทีรับรางวัล ใบหน้าของเธอช่างเหมือนเยิ่นเม่ยเม่ยอย่างไรอย่างนั้น ตอนที่เธอพูดถึงหนังสือเรื่องนี้ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลในครั้งนี้ เขายิ่งมั่นใจว่าเธอคือคนที่เขาตามหา"นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันรักมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครทุกเหตุการณ์ที่ฉันบรรจงแต่งออกมาแต่ละบทความฉันใช้ความรู้สึกของฉันเขียนไปด้วย เมื่อตัวละครมีความสุขฉันก็มีความสุขหากเมื่อไหร่ที่ตัวละครฉันเสียใจฉันเองก็เสียใจไม่น้อยร้องไห้จนไม่เป็นอันทำอะไร ฉันไม่คิดเลยว่านิยายของฉันเรื่องนี้จะเป็นที่ยอมรับของทุกคน ขอบคุณนะคะสำหรับรางวัลนี้และขอบคุณที่ให้โอกาสนักเขียนตัวน้อยได้มาโลดแล่นในวงการนี้ฉันขอสัญญาจะตั้งใจเขียนนิยายออกมาให้ดีที่สุด ขอบคุณค่ะ" รอยยิ้มแววตาที่เขาคุ้นเคยแม้กระทั่งน้ำเสียงของเธอเขาจดจำได้ทุกอย่าง น้ำตาแห่งความดีใจได้หลั่งไหลออกมา เขาที่นั่งอยู่ด้านหลังสุดรีบเช็ดน้ำตาหัวใจของเขาเต้นแรงตึกตั
บทที่ 1 ทะลุมิติ"เฮือก!!! " ชายนอนอยู่บนเตียงลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงงวย มองซ้ายมองขวาต้องตกใจเข้าไปใหญ่ สถานที่ที่ไม่คุ้นเคยช่างแปลกตายิ่งนัก แม้แต่เตียงที่นอนอยู่ก็มิใช่เตียงที่เขานอนในทุกวัน"ที่นี่ที่ใดกัน!! หรือว่าข้าถูกศัตรูลักพาตัวมา ไม่ได้การแล้วข้าต้องรีบหาทางออกไปจากที่นี่ต้องหาผู้บงการในครั้งนี้เพื่อจัดการให้สิ้นซาก" เทียนหลันเซ่อลุกขึ้นจากเตียงมองพนังสีขาวเป็นห้องสี่เหลี่ยมเดินสำรวจก่อนจะเปิดประตูค่อย ๆ ย่องเพื่อหลบหนีเขาเดินออกมาต้องตกใจมากกว่าเดิม ด้านนอกมีสิ่งแปลกประหลาดมากกมาย เขามองซ้ายมองขวาไม่พบเจอผู้คนเขามองเห็นโต๊ะที่ไม่เคยเห็นจึงนั่งลงเพื่อครุ่นคิดแต่แล้วเขากลับนั่งทับรีโมททำให้ทวีต่อหน้าได้เปิดขึ้นเสียงดัง ทีวีได้ฉายข่าวเทียนหลันเซ่อไม่เคยเห็นเขาตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ"นั่นใครกัน!! ออกมามาเดี๋ยวนี้นะ เจ้าเป็นใคร" เขาชี้นิวไปด้านหน้าทีวีพลางกระโดดขึ้นโซฟา จู่ ๆ มีหญิงชราเดินเข้ามาในมือถือทัพทีใบหน้าคิ้วขมวด"อะไรของแกกันห่ะ!!! ตื่นมาโวยวายเช่นนี้ได้อย่างไร เวรกกรรมอะไรของฉันมีลูกโตขนาดนี้แล้วแต่ยังต้องคอยหาเลี้ยงอีก " เทียนหลันเซ่อคิ้วขมวดอย่างสงสัยสตรีด้าน
บทที่ 55 นักเขียนหน้าใหม่หลี่มี่ได้ถูกรับเชิญให้ไปรับรางวัลนักเขียนหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จในงานเลี้ยงฉลองนักเขียนดัง ๆ ระดับแถวหน้าของประเทศ เธอแต่งหน้าอยู่ที่กระจกแม้เวลาผ่านไปหนึ่งปีแต่เธอยังคงคิดถึงเทียนหลันเซ่อพระเอกนิยายตัวเองไม่จางหายเขาไม่เคยหายไปจากใจของเธอเลย แม้กระทั่งน้ำเสียงหรือใบหน้าเธอยังคงจำได้ดีแต่ทว่าตอนนี้เธอไม่ได้ร้องไห้เหมือนที่ผ่านมาเธอกลับยิ้มออกมาอย่างสุขใจ "เทียนหลันเซ่อปานนี้ท่านจะเป็นอย่างไรนะ รู้หรือไม่ว่าฉันคิดถึง วันนี้เป็นวันที่ฉันประสบความสำเร็จถ้ามีท่านอยู่เคียงข้างคงจะดี เอ๊ะ! แต่เดี๋ยวสิยังไงทุกวันนี้ฉันก็มีเทียนหลันเซ่ออยู่ข้างกายอยู่แล้ว วันนี้เราไปรับรางวัลด้วยกันนะ" หลี่มี่หยิบหนังสือของตัวเองพร้อมถือออกจากห้องไปพร้อม ๆ กัน ฝั่งด้านเทียนหลันเซ่อหลังจากที่เขากลับมาจากทะเลวันนั้น เยิ่นเม่ยเม่ยดูอ่อนโยนมากกว่าเดิมวาจานิสัยไม่เหมือนเดิมแถมยังเหมือนสตรีที่สูงส่งแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่เหตุใดความรู้สึกของเขาเสมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป วันนี้เขามายืนจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนฟากฟ้าลมเย็นกระทบกาย จู่ ๆ รอยยิ้มใบหน้าที่เขาคิดถึงก็ปรากฎข
บทที่ 54 ลาจากด้วยความรักเทียนหลันเซ่อจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างสุขใจ ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งเขาย้อนเวลามาอีกครั้ง หากเป็นเช่นดั่งอดีตเขาก็คงไม่มีทางรู้ว่ามีสตรีที่เขารักและรักเขามาเพียงใด นางเข้ามาเติมเต็มทุกอย่างในชีวิตของเขาจริง ๆ หลี่มี่วางมือของเทียนหลันเซ่อพร้อมหันหลังไปมองพลุที่ยังคงถูกจุดอีกหลายดอกบนท้องฟ้า น้ำทะเลไหลมาสัมผัสที่เท้าจนหลี่มี่ต้องก้มมองดูแต่แล้วหัวใจของนางต้องหล่นวูบเมื่อบัดนี้ไม่ใช่แค่เท้าหรือขาของนางที่เลือนรางตอนนี้บนตัวของนางก็เริ่มเลือนรางขึ้นมาเรื่อย ๆ นางไม่เข้าใจทำไมคนอื่นไม่เห็นเหมือนนางหรือมีเพียงแค่นางผู้เดียวที่เห็นความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ นางไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นแค่คิดนางก็ใจหายรีบหันไปมองหน้าของเทียนหลันเซ่ออย่างลึกซึ้งอีกครั้ง "ท่านพี่เจ้าคะ วันนี้ข้าอยากให้ท่านสัมผัสตัวข้าช่วยมอบจูบที่ลึกซึ้งให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ""ได้สิทำไมข้าจะให้เจ้าไม่ได้แค่เพียงจูบ" พูดจบเทียนหลันเซ่อโอบกอดหลี่มี่ก้มลงประทับจูบที่นุ่มนวลหอมหวานแต่ทว่านางกลับรู้สึกเสียใจ เพราะหากเป็นอย่างที่นางคิดนี่จะเป็นจูบสุดท้ายที่นางจะได้รับจากเขา ทั้งสองจูบกันท่ามกลางแสงพลุที่ส่องประ