LOGINหลังจากทุกคนออกไปแล้วเมิ่งเหยาก็ลุกขึ้นมานั่งและมองสำรวจรอบห้องตัวเองอีกครั้ง
‘นี่มันยุค 80 จริงๆสินะ น่าสนใจจัง เอาเถอะ..ในเมื่อเธอทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใดก็ตาม ต่อ ไปนี้เธอจะใช้ชีวิตเป็นเมิ่งเหยาในโลกใบใหม่ให้ดีเลยล่ะ’ เมิ่งเหยาคิด เธอไม่มีอะไรผูกพันกับโลกก่อนหน้านี้แล้ว พ่อแม่ที่ให้กำเนิดก็ทอดทิ้งไปมีครอบครัวใหม่ตั้งแต่เธออายุยังน้อย ย่าของเธอ..ญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ซึ่งเธอให้ควาสำคัญก็จากไปนานแล้วเช่นกัน
ตอนนี้เธอกลับโชคดีได้มีชีวิตในโลกใบใหม่ มีพ่อแม่ที่ดูท่าว่าจะรักและห่วงใยเธอมาก แม้นแม่ของเธอจะจู้จี้อยากให้เธอแต่งออกไปกับมู่เฉินซึ่งมีสถานะทางบ้าน อาชีพหน้าที่การงานดีพร้อมทุกอย่างก็ตาม แต่ทั้งหมดก็เป็นไปเพราะรักและใส่ใจเธอมากนั่นเอง
ครอบครัวสกุลลู่เป็นครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อกับแม่เธอมีทรัพย์สินที่ดินทำกิน ทำการเกษตรสืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ หลังจากรัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนทำมาหากินในที่ดินของตนเองและเริ่มค้าขายเองได้ในช่วงปลายยุค 70 พ่อของเธอก็หันมาทำไร่ชา หาเลี้ยงครอบครัวกระจายรายได้ให้คนในหมู่บ้านฉางจงไห่มาโดยตลอด
‘เมืองหวงซานเป็นเมืองที่สวยงาม ต่อไปจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ การที่พ่อของเธอทำไร่ชาแบบนี้สามารถนำไปต่อยอดสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้อีกหลากหลายช่องทางเลยทีเดียว แต่ยุคสมัยนี้ผู้คนให้ความสำคัญกับสถานะการศึกษาไม่น้อย ดังนั้นแล้วการที่เธอไปเรียนต่อที่เซินเจิ้นเมืองสำคัญหลักอีกเมืองหนึ่งก็เป็นการดีเช่นกัน’ เมิ่งเหยาคิดวางแผนหนทางในวันข้างหน้าเพื่อสร้างฐานะอันมั่นคงให้กับครอบครัวและตัวเธอเอง
‘ด้วยความรู้ความสามารถของเธอในยุคสมัยนี้ รับรองว่าต้องนำพาสกุลลู่ให้เจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งร่ำรวยได้ไม่ยาก’ เมิ่งเหยาคิดพร้อมยิ้มพอใจกับโอกาสอันน่ามหัศจรรย์ที่ทำให้เธอได้มาใช้ชีวิตใหม่ในยุคทองของเศรษฐกิจและความรุ่งโรจน์เช่นยุคแปดสิบนี้
“ปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมดเลย คงเพราะตกจากเนินเขาสินะ ถ้ามียาแก้อักเสบปวดเมื่อยก็ดีน่ะสิจะได้กินสักเม็ดสองเม็ด” เมิ่งเหยาบ่นกับตัวเอง จากนั้นจู่ๆก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมาที่นิ้วกลางข้างซ้ายของเธอ ก่อนจะมีซองใส่ยาวางอยู่ตรงหน้า
‘เอ๊ะ ยานี่มาได้ไงกัน แล้วแสงนั่น อะไรน่ะ..นี่มันแหวนของคุณย่านี่นา ติดตัวมากับเธอด้วยงั้นเหรอ’ เมิ่งเหยาคิดก่อนจะก้มลงมองที่นิ้วกลางข้างซ้ายของตัวเอง ซึ่งมีแหวนหยกเก่าแก่มรดกตกทอดจากย่าของเธอสวมอยู่
‘ยานี่ออกมาจากแหวนงั้นเหรอ’ จากนั้นเมิ่งเหยาก็หยิบซองยาตรงหน้าขึ้นมาพิจารณาดู มันเป็นยาแก้ปวดแก้อักเสบที่เธอต้องการและนึกถึงเมื่อครู่
‘นี่มันยายี่ห้อเดียวกันกับที่ร้านค้ายาของซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าหรูที่เธอดูแลอยู่นี่นา’ เมิ่งเหยาคิด จากนั้นก็มีแสงสว่างวาบออกมาจากแหวนหยกอีกรอบหนึ่ง
‘อะไรกัน? ซูเปอร์มาร์เก็ตงั้นเหรอ? เหมือนกับในห้างที่เธอดูแลอยู่เลย แต่ว่า..เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ ไม่ใช่ว่าเธอทะลุมิติย้อนเวลาไปอีกโลกหนึ่งแล้วงั้นเหรอ’ เมิ่งเหยามองไปโดยรอบซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ของห้างหรูที่เธอดูแลอยู่อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ข้าวของเยอะแยะมากมายวางพร้อมอยู่เต็มชั้นวางของ ทั้งของกินของใช้ ของสด ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม อาหารสำเร็จรูปสารพัดอย่าง รวมทั้งร้านขายยาที่ตั้งอยู่ในส่วนของซูเปอร์มาร์เก็ตด้วย จะมีต่างออกไปก็แค่..ที่แห่งนี้ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากเธอคนเดียวเท่านั้น
‘เยี่ยมไปเลย นี่เป็นห้วงมิติวิเศษจากแหวนหยกของคุณย่าสินะ แบบนี้แล้วเธอก็อยู่ในโลกใบใหม่ได้อย่างสบายเลยล่ะ ทั้งยังมีช่องทางในการทำเงินได้อย่างง่ายดายด้วย หนทางในการเป็นเศรษฐินีสาวสวยรวยเสน่ห์ ผู้มั่งคั่งร่ำรวยในยุคแปดสิบนี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลยสักนิด’ เมิ่งเหยาคิดอย่างพอใจ ก่อนจะเดินหยิบเลือกข้าวของมากมายหลากหลายอย่างในมิติพิเศษ รวมทั้งของกินออกไปด้วย
หลังเลือกของออกมาจากมิติพิเศษและได้รับการพักผ่อนเพียงพอแล้ว เมิ่งเหยาก็ออกมาจากห้อง พบข้อความที่แม่ของเธอทิ้งเอาไว้บนโต๊ะในห้องรับแขก แจ้งว่านำอาหารกลางวันไปให้พ่อของเธอที่ไร่ เมิ่งเหยาจึงถือโอกาสเดินสำรวจโดยรอบบ้านอีกครั้งตามความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม
จากนั้นก็ออกไปเดินเล่นนอกบ้านสูดอากาศบริสุทธิ์สดชื่นที่แทบจะหาไม่ได้เลยในตัวเมืองปักกิ่งที่เธออาศัยอยู่ในโลกก่อนหน้านี้ สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยตึกสูงมากมาย ถนนหนทางแออัด มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยรถรา ทางพิเศษสูงต่ำและโรงงานอุตสาหกรรม บ้านเมืองเต็มไปด้วยฝุ่นควัน
เมิ่งเหยาออกมานอกบ้านหลังขนาดกลางที่มีห้องนอนสองห้อง ห้องรับแขก ห้องครัวที่บริเวณโดยรอบมีสวนเล็กๆหน้าบ้าน ปลูกพืชผักกินได้เอาไว้หลังบ้าน มีรั้วไม้ล้อมรอบตัวบ้านอีกชั้นหนึ่ง นับเป็นบ้านที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป เรียกได้ว่าอบอุ่นกำลังดีเลยล่ะ
“เมิ่งเหยา เธอออกมาเดินเล่นได้แล้วงั้นเหรอ” เสียงทักทายดังขึ้น เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นเสิ่นชิงเหยียน เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอนั่นเอง
‘ผู้หญิงคนนี้ ดูเหมือนภายนอกจะเป็นคนดีมีน้ำใจ สุภาพ อ่อนโยน หัวอ่อน แต่ความจริงแล้วมักจะคอยกลั่นแกล้งใส่ร้าย สร้างสถานการณ์ให้เจ้าของร่างเดิมกลายเป็นคนไม่ดีในสายตาผู้อื่นหลายครั้งหลายหนแล้ว ทั้งยังคิดหมายปองในตัวมู่เฉินเช่นเดียวกันด้วย เมิ่งเหยาคนเก่าที่หัวอ่อนรู้ไม่เท่าทันคนกลับวางใจหลงเชื่อว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีมีน้ำใจคนหนึ่ง คบหาจริงใจมาได้ตั้งนาน’ เมิ่งเหยาเห็นภาพในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก่อนหน้านี้ พร้อมพิจารณามองชิงเหยียน อ่านเธอออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าเป็นนังชาเขียวเสแสร้งแกล้งทำเก่งเหมือนที่เรียกกันในโลกก่อนหน้านี้ของเธอนั่นแหละ
“อ้าวชิงเหยียน แขนหายดีแล้วเหรอ ถึงได้เดินออกมานอกบ้านได้แล้วน่ะ แบบนี้ก็ไปช่วยพ่อแม่เธอเก็บใบชาได้แล้วกระมัง” เมิ่งเหยาทักทายกลับไปทำให้ชิงเหยียนหน้าง้ำและรู้สึกประหลาดใจไปพร้อมกัน
ก่อนหน้านี้เธอแกล้งทำทีเป็นถูกเมิ่งเหยาชนกระแทกจนล้มลงบาดเจ็บแขนซ้น เพื่อจงใจใส่ร้ายเมิ่งเหยาและหลีกเลี่ยงการทำงานในบ้านกับไร่ชาซึ่งพ่อแม่ของเธอเสิ่นหมิงเจ๋อกับเหอซินหนานเป็นลูกจ้างให้กับสกุลลู่มาช้านานแล้ว
“ใครว่าล่ะ ฉันยังเจ็บอยู่เลย เธอนั่นแหละ ได้ข่าวว่าเมื่อเช้านี้ซุ่มซ่ามเดินตกเขาไปไม่ใช่เหรอ พอเห็นพี่มู่เฉินเดินมาที่ไร่ก็แกล้งทำเป็นไม่ได้สติให้เขาทำเรื่องน่าอายต่อหน้าผู้คน คงหวังจับพี่มู่เฉินสินะ” ชิงเหยียนเอ่ยขึ้นหลังเหลือบไปเห็นมู่เฉินซึ่งอยู่บ้านหลังถัดไปจากสกุลลู่เดินออกมาพอดี มู่เฉินได้ยินที่สองสาวพูดคุยกันจึงหยุดนิ่งฟังอยู่ไม่ห่างออกไปนัก
“ฉันตกเนินเขากลิ้งลงมาจริงแต่ไม่ได้เป็นเพราะซุ่มซ่ามหรอกนะ เธอเองน่าจะรู้ดีกว่าใครนี่ เมื่อเช้าเธอนัดฉันไปเจอกันที่ไร่ชาตอนกลางวันบอกว่ามีเรื่องไปเรียนต่อที่เซินเจิ้นจะพูดคุยด้วยไม่ใช่เหรอ ตอนที่ฉันยืนรอเธออยู่ ฉันรู้สึกว่ามีคนผลักฉันกลิ้งตกลงไปนะ หรือเธอว่าไง” เมิ่งเหยาเอ่ยอย่างคาดเดาได้ว่าที่เมิ่งเหยาตกจากเนินเขาก่อนหน้านี้คงไม่พ้นฝีมีชิงเหยียนที่ขี้อิจฉาริษยา คอยลอบทำร้ายเธอลับหลังอยู่ตลอดนั่นแหละ
พอรู้ว่าเธอจะไปสอบเข้ามหาลัยและอาศัยอยู่กับสกุลซุน บ้านของซุนมู่เฉินที่เธอแอบชอบมานานตามข้อตกลงของพวกผู้ใหญ่ก็คิดเกลียดแค้นเมิ่งเหยาจนอยากทำร้ายเธอให้บาดเจ็บหรือตายไปเลย และดูท่าว่าเจ้าของร่างเดิมจะตายไปจริงๆเสียด้วย ไม่งั้นแล้วเธอคงไม่สามารถเข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้แน่
“พูดอะไรของเธอน่ะ ฉันตามไปพบเธอแล้วนะ แต่พอไปถึงก็ไม่เจอใคร จากนั้นก็รู้สึกเจ็บแขนที่เธอชนฉันจนล้มบาดเจ็บจึงกลับมาพักผ่อนที่บ้าน ต่อมาถึงได้รู้เรื่องที่เธอตกจากเนินเขาจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้านเมื่อไม่นานนี้เอง” ชิงเยียนรีบพูดแก้ตัวทันที เมิ่งเหยาถึงกลับมองบนแสยะยิ้มให้กับคำพูดแก้ตัวโยนความผิดให้คนอื่นของชาเขียวตรงหน้า
‘ไม่ว่าโลกใบไหนก็มีนังชาเขียวนิสัยแย่กันทั้งนั้นสินะ’ เมิ่งเหยาคิดอย่างปลงตก
“ว่าแต่ตอนกลางวันเธอกล้าทำเรื่องน่าอายแบบนั้นกับพี่มู่เฉินได้ยังไงกัน ทั้งยังได้ยินว่าป้าลู่แม่ของเธอคิดบังคับให้พี่มู่เฉินรับผิดชอบแต่งงานกับเธอให้ได้ด้วย คงเป็นแผนของเธอสินะ” ชิงเยียนกล่าวหลอกล่อให้เมิ่งเหยาพูดในเรื่องไร้ยางอายที่แอบรักมู่เฉินอยู่และคิดทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครอบครองเขา มู่เฉินที่กำลังตั้งใจฟังสองสาวพูดคุยกันอยู่เงียบๆจะได้รังเกียจไม่พอใจเมิ่งเหยามากขึ้น
“เธอจะบ้าหรือเปล่า ใครมันจะไปแกล้งกลิ้งตกจากเขาลงมาสลบไสลนอนแผ่อยู่กลางไร่ชาร้อนๆแบบนั้นกันล่ะ ที่สำคัญฉันจะไปรู้เหรอว่าคุณหมอซุนหรือพี่มู่เฉินของเธออยู่แถวนั้นน่ะ ฉันไม่ใช่เธอนะที่ชอบเสแสร้งแกล้งทำ ลงทุนให้ตัวเองบาดเจ็บเพื่อใส่ร้ายคนอื่นน่ะ” เมิ่งเหยาสวนกลับไป ชิงเหยียนตกใจจนพูดไม่ออก
‘อะไรกัน ปกตินังนี่โง่จะตายไป ที่สำคัญยังสงบปากสงบคำไม่กล้าพูดกล้าเถียงหรือกล้าแสดงความคิดเห็นอะไรด้วยซ้ำ ทำไมตอนนี้จู่ๆกลับฉลาดขึ้นมาแล้วล่ะ ทั้งยังโต้ตอบกลับมาได้ด้วย’ ชิงเหยียนคิดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ใคร ใครกันเสแสร้ง เธอนั่นแหละจงใจทำฉันเจ็บตัวแท้ๆ ฮึ..เธอคงโกรธฉันสินะที่ขอให้พ่อช่วยโทรไปหาคุณลุงซุนรับฉันไปอยู่ที่เซินเจิ้นเพื่อสอบเรียนต่อมหาลัยด้วยน่ะ ฮือฮือฮือ เมิ่งเหยาเธอมันใจร้ายสิ้นดีมีหน้ามากล่าวหาฉันอีก” ชิงเยียนที่เห็นมู่เฉินเดินออกมานอกบ้านแล้ว แสร้งทำเป็นร้องห่มร้องไห้ใส่ความเมิ่งเหยากลับไปโดยไม่รอช้า
“เธอนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ” เมิ่งเหยาพูดได้เพียงแค่นั้น มู่เฉินก็เดินตรงเข้ามาหาชิงเยียนที่ยืนเสแสร้งแกล้งทำเป็นร้องไห้อย่างน่าเวทนาสงสารอยู่ตรงนั้น
“พอทีเถอะเมิ่งเหยา บ้านฉันจะรับใครไปอยู่ด้วยมันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอหรือแม้นแต่ชิงเหยียนจะมาตัดสินด้วยซ้ำ เลิกทำตัวร้ายกาจ ใส่ร้ายด่าว่าทำให้ชิงเหยียนเสียใจได้แล้ว” มู่เฉินเอ่ยเข้าข้างชิงเยียน เพราะก่อนหน้านี้เขาได้ยินผู้คนในหมู่บ้านพูดเกี่ยวกับเรื่องที่เมิ่งเหยาชอบรังแกชิงเหยียนทุกครั้งที่เขากับครอบครัวเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด มาตอนนี้ยังได้เห็นได้ยินที่เมิ่งเหยาต่อว่าให้ร้ายชิงเหยียนด้วยตัวเองอีก
เมิ่งเหยาเอ่ยทักทายพร้อมถามสองพี่น้องมู่เฉินกับลี่จิ่นที่ตั้งท่าจะออกไปตามหาเธอด้วยความเป็นห่วง“เหยาเอ๋อกลับมาก็ดีแล้ว ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยล่ะนั่น” คุณนายซุนเอ่ยทักทายด้วยท่าทีปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ส่วนมู่เฉินกับลี่จิ่นก็ทำท่าเนียนๆไปกับแม่ของพวกเขาเช่นกัน“มีวัตถุดิบเป็นพวกเนื้อสัตว์ เครื่องปรุง เครื่องเทศที่จะนำมาทำรายการอาหารมื้อพิเศษให้ทุกคนได้ทานกันน่ะค่ะ”“รายการอาหารพิเศษงั้นเหรอ อะไรน่ะ” ลี่จิ่นเดินเข้ามาหาเมิ่งเหยา พร้อมเอ่ยถามด้วยความสนใจทันที ส่วนมู่เฉินเดินกลับไปนั่งไม่ห่างออกไปจากพ่อแม่เขาเท่าไหร่นัก“บาร์บีคิวค่ะ เป็นเนื้อกับผักหรือผลไม้ นำไปเสียบไม้แล้วทาด้วยซอสชนิดพิเศษก่อนนำไปย่างจนสุก รอชิมนะคะ” เมิ่งเหยาอธิบายคร่าวๆ พร้อมตั้งท่าจะเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารจานเด็ด“อะไรนะ บะ..คิวอะไรน่ะ” ลี่จิ่นเอ่ยถามงงๆ“บาร์บีคิวค่ะ เป็นเนื้อกับผักหรือผลไม้เสียบไม้แล้วทาด้วยซอสชนิดพิเศษก่อนนำไปย่างจนสุก รอชิมนะคะ” เมิ่งเหยากล่าว พร้อมตั้งท่าจะเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารจานเด็ด“เดี๋ยว มานั่งนี่ก่อน ป้าหลี่ช่วยเอาของเข้าไปเก็บทีครับ” มู่เฉินกล่าวกับเมิ่งเหยาเ
ชิงเหยียนมาอยู่ที่บ้านสกุลซุนได้ราวหนึ่งสัปดาห์แล้ว เธอออกตระเวนสำรวจพื้นที่ ซึ่งตั้งใจจะนำข้าวของรวมทั้งอาหารจากมิติพิเศษมาขาย และในระหว่างที่เธอกำลังสำรวจอยู่นั้นก็ได้พบกับสหายเก่าเข้าโดยบังเอิญ“เหยียนเอ๋อ นั่นเธอใช่ไหม” หญิงสาวรูปร่างหน้าตาดี เดินเข้ามาทักทายเมิ่งเหยาขณะสำรวจที่ทางทำมาหากินอยู่ในย่านตลาดกลางเมือง“ลี่เอ๋อ เธอนั่นเอง ดีใจจังที่ได้เจอเธอที่นี่” เมิ่งเหยาทำท่านึกอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะจำได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นเพื่อนในหมู่บ้านที่เรียนและเล่นด้วยกันมากับเมิ่งเหยาตั้งแต่ยังเด็ก นามว่าฉินเหม่ยลี่ซึ่งครอบครัวย้ายจากเมืองหวงซานมาเซินเจิ้นเพื่อทำธุรกิจเช่นเดียวกันกับสกุลซุนหลังจบจากชั้นมัธยมต้นเมิ่งเหยาจึงไม่ได้เจอเพื่อนคนนี้อีก ทั้งที่ความจริงแล้วสนิทสนมกันไม่น้อยเลย“ใช่ฉันเอง เหยาเหยา..เธอมาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ” เหม่ยลี่ถามด้วยความตื่นเต้นยินดีที่ได้พบเจอเพื่อนรักอีกครั้ง ทั้งยังเอ่ยเรียกเมิ่งเหยาอย่างสนิทสนมคุ้นเคยด้วย“ฉันมาเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยที่นี่น่ะ แล้วเธอล่ะเป็นยังไงบ้าง สบายดีนะ” เมิ่งเหยาตอบพร้อมถามกลับไป“ฉันสบายดี ฉันเองก็กำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยอยู่เหมือนกั
ชิงเหยียนไม่พอใจที่เมิ่งเหยาดึงความสนใจในครอบครัวสกุลซุนไปหมด ทั้งยังคิดไม่ถึงด้วยว่าเมิ่งเหยาจะมีฝีมือในการทำอาหารได้หลากหลายอย่างเช่นนี้“เมิ่งเหยา เธอนี่เก่งนะ แต่อยู่ที่บ้านไม่เห็นเธอจะหยิบจับทำอะไรเลย ถ้าลุงกับป้าลู่พ่อแม่ของเธอรู้เข้าคงเสียใจแย่ที่ลูกสาวมาลงมือทำอาหารให้คนอื่นกิน แต่ตัวเองกลับไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน” ชิงเหยียนมิวายหาเรื่องใส่ความเมิ่งเหยาอีกครั้ง“ชิงเหยียน ฉันเคยถามเธอแล้วนะว่าเธออยู่บ้านหลังเดียวกันกับฉันเมื่อไหร่กัน ถึงได้รู้เห็นว่าฉันทำอะไรหรือไม่ทำอะไรบ้าง อีกอย่างพ่อแม่ฉันเคยชิมอาหารฝีมือฉันตั้งหลายครั้งหลายหนแล้ว พ่อแม่เธอเองก็น่าจะรู้ดีนะ เพราะฉันไปส่งอาหารมื้อกลางวันให้พ่อกับแม่ที่ไร่ชาออกจะบ่อยไป อ้อ..ฉันลืมไป เธอที่ชอบพูดบอกกับคนอื่นว่าไปช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานในไร่ชาเพื่อแบ่งเบาภาระให้พวกท่าน แต่ฉันไปกี่ครั้งกี่หนกลับไม่เคยพบเจอเธอเลยสักครั้ง เธอจึงไม่รู้นะสิว่าฉันทำอาหารส่งข้าวส่งน้ำให้พ่อแม่อยู่บ่อยๆ ลองกลับไปถามพ่อแม่เธอดูก็ได้ พวกท่านยังเคยชมเลยว่าอาหารฝีมือฉันอร่อย” เมิ่งเหยาเอ่ยตอกหน้าชิงเหยียนกลับไป‘ชิงเหยียนชอบพูดอวดอ้างตัวกับคนนู้นคนนี้ว่าเธอช่
มู่เฉินขับรถพาสองสาวเดินทางไปเซินเจิ้น มีชิงเหยียนนั่งด้านหน้าข้างคนขับคู่กันไปกับเขา ส่วนเมิ่งเหยานั่งด้านหลัง โดยก่อนหน้านี้มู่เฉินให้ทั้งสองสาวไปนั่งด้านหลังด้วยกันทั้งคู่ ตัวเองทำหน้าที่เป็นคนขับ แต่ชิงเหยียนไม่ยอมรีบเสนอตัวมานั่งด้านหน้าบอกว่าอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ชวนมู่เฉินพูดคุยจะได้ไม่ง่วงเมิ่งเหยาไม่ได้แสดงท่าทีเสนอตัวหรือคัดค้านอะไร มู่เฉินเองก็ตอบรับความหวังดีของชิงเหยียนให้เธอมานั่งหน้ารถด้วยกัน ผ่านไปได้ครึ่งทางถึงจุดแวะพัก มู่เฉินก็ให้เวลาเด็กสาวไปยืดเส้นยืดสายทำธุระส่วนตัว เช่นเดียวกันกับเขาที่เข้าห้องน้ำเสร็จก็ไปซื้อน้ำและขนมมาให้ทั้งคู่“นี่ขนมเปี๊ยะไส้เนื้อของที่นี่อร่อยมากเลยนะเอาไปชิมสิ” มู่เฉินกล่าวพร้อมยื่นขนมไปให้ชิงเหยียนที่ยืนอยู่ข้างตัวรถด้วยกันกับเมิ่งเหยา“ขอบคุณมากค่ะพี่มู่เฉิน พี่ใจดีมากเลย” ชิงเหยียนเอ่ยขอบคุณพร้อมรับขนมไปด้วยรอยยิ้มจนแก้มแทบปริ ส่วนเมิ่งเหยาไม่ได้ใส่ใจอะไรเดินกลับไปขึ้นรถประจำที่นั่งของตนเองทางด้านหลังเงียบๆ มู่เฉินตั้งใจจะบอกให้ชิงเหยียนแบ่งขนมกับเมิ่งเหยาด้วย แต่เขาเห็นท่าทีเฉยเมยเช่นนั้นของเธอจึงไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกไป“เมิ่งเหยาขน
เมิ่งเหยาที่เห็นมู่เฉินรีบเดินออกมาปกป้องชิงเหยียน ซึ่งเสแสร้งแกล้งทำเป็นผู้หญิงอ่อนแอถูกเธอรังแก หลี่ตามองดูเขานิดหนึ่งพร้อมอดคิดดูถูกไม่ได้‘ที่แท้ก็คนโง่อีกคนที่หลงเชื่อการแสดงเสแสร้งแกล้งทำของชิงเหยียนได้อย่างง่ายดาย’ เมิ่งเหยาคิดพร้อมถอนหายใจแรงไปทีหนึ่ง“คุณหมอซุน หากฉันบอกว่าฉันไม่สนใจเลยสักนิดว่าสกุลซุนจะรับใครเข้าไปอยู่ในบ้าน หรือคุณกับเสิ่นชิงเหยียนจะมีอะไรกัน มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลยแม้นแต่น้อย คุณก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดีสินะคะ ดังนั้นแล้วคุณจะคิดยังไงก็ตามสบายเถอะ ฉันขอตัวก่อนล่ะ” เมิ่งเหยาเอ่ยอย่างไม่คิดจะใส่ใจกับชายหนุ่มหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าอีก ก่อนจะเดินจากไปยังไร่ชาเพื่อมองสำรวจสถานที่โดยรอบต่อทางด้านมู่เฉินที่ได้ยินและเห็นท่าทีเฉยชาไม่สนใจอะไรของเมิ่งเหยาก็ถึงกับตกตะลึงไปอีกรอบ เช่นเดียวกับชิงเหยียน เพราะหากเป็นก่อนหน้านี้เมิ่งเหยาคงร้องไห้ฟูมฟายจนใครๆมาเห็นและได้ยิน จากนั้นก็กล่าวโทษว่าเขากลั่นแกล้งเธอ ทำให้เขาโดนพ่อแม่ดุเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา“พี่มู่เฉิน อย่าไปถือสาเมิ่งเหยาเลยนะคะ เธอคงอารมณ์ไม่ดีเพราะรู้ว่าฉันจะเดินทางไปเซินเจิ้นด้วยนะค่ะ” ชิงเหยียนแสร้งทำ
หลังจากทุกคนออกไปแล้วเมิ่งเหยาก็ลุกขึ้นมานั่งและมองสำรวจรอบห้องตัวเองอีกครั้ง‘นี่มันยุค 80 จริงๆสินะ น่าสนใจจัง เอาเถอะ..ในเมื่อเธอทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใดก็ตาม ต่อ ไปนี้เธอจะใช้ชีวิตเป็นเมิ่งเหยาในโลกใบใหม่ให้ดีเลยล่ะ’ เมิ่งเหยาคิด เธอไม่มีอะไรผูกพันกับโลกก่อนหน้านี้แล้ว พ่อแม่ที่ให้กำเนิดก็ทอดทิ้งไปมีครอบครัวใหม่ตั้งแต่เธออายุยังน้อย ย่าของเธอ..ญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ซึ่งเธอให้ควาสำคัญก็จากไปนานแล้วเช่นกันตอนนี้เธอกลับโชคดีได้มีชีวิตในโลกใบใหม่ มีพ่อแม่ที่ดูท่าว่าจะรักและห่วงใยเธอมาก แม้นแม่ของเธอจะจู้จี้อยากให้เธอแต่งออกไปกับมู่เฉินซึ่งมีสถานะทางบ้าน อาชีพหน้าที่การงานดีพร้อมทุกอย่างก็ตาม แต่ทั้งหมดก็เป็นไปเพราะรักและใส่ใจเธอมากนั่นเองครอบครัวสกุลลู่เป็นครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อกับแม่เธอมีทรัพย์สินที่ดินทำกิน ทำการเกษตรสืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ หลังจากรัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนทำมาหากินในที่ดินของตนเองและเริ่มค้าขายเองได้ในช่วงปลายยุค 70 พ่อของเธอก็หันมาทำไร่ชา หาเลี้ยงครอบครัวกระจายรายได้ให้คนในหมู่บ้านฉางจงไห่มาโดยตลอด‘เมืองหวงซานเป็นเมืองที่สวยงาม







