LOGINเมิ่งเหยาเอ่ยทักทายพร้อมถามสองพี่น้องมู่เฉินกับลี่จิ่นที่ตั้งท่าจะออกไปตามหาเธอด้วยความเป็นห่วง“เหยาเอ๋อกลับมาก็ดีแล้ว ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยล่ะนั่น” คุณนายซุนเอ่ยทักทายด้วยท่าทีปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ส่วนมู่เฉินกับลี่จิ่นก็ทำท่าเนียนๆไปกับแม่ของพวกเขาเช่นกัน“มีวัตถุดิบเป็นพวกเนื้อสัตว์ เครื่องปรุง เครื่องเทศที่จะนำมาทำรายการอาหารมื้อพิเศษให้ทุกคนได้ทานกันน่ะค่ะ”“รายการอาหารพิเศษงั้นเหรอ อะไรน่ะ” ลี่จิ่นเดินเข้ามาหาเมิ่งเหยา พร้อมเอ่ยถามด้วยความสนใจทันที ส่วนมู่เฉินเดินกลับไปนั่งไม่ห่างออกไปจากพ่อแม่เขาเท่าไหร่นัก“บาร์บีคิวค่ะ เป็นเนื้อกับผักหรือผลไม้ นำไปเสียบไม้แล้วทาด้วยซอสชนิดพิเศษก่อนนำไปย่างจนสุก รอชิมนะคะ” เมิ่งเหยาอธิบายคร่าวๆ พร้อมตั้งท่าจะเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารจานเด็ด“อะไรนะ บะ..คิวอะไรน่ะ” ลี่จิ่นเอ่ยถามงงๆ“บาร์บีคิวค่ะ เป็นเนื้อกับผักหรือผลไม้เสียบไม้แล้วทาด้วยซอสชนิดพิเศษก่อนนำไปย่างจนสุก รอชิมนะคะ” เมิ่งเหยากล่าว พร้อมตั้งท่าจะเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารจานเด็ด“เดี๋ยว มานั่งนี่ก่อน ป้าหลี่ช่วยเอาของเข้าไปเก็บทีครับ” มู่เฉินกล่าวกับเมิ่งเหยาเ
ชิงเหยียนมาอยู่ที่บ้านสกุลซุนได้ราวหนึ่งสัปดาห์แล้ว เธอออกตระเวนสำรวจพื้นที่ ซึ่งตั้งใจจะนำข้าวของรวมทั้งอาหารจากมิติพิเศษมาขาย และในระหว่างที่เธอกำลังสำรวจอยู่นั้นก็ได้พบกับสหายเก่าเข้าโดยบังเอิญ“เหยียนเอ๋อ นั่นเธอใช่ไหม” หญิงสาวรูปร่างหน้าตาดี เดินเข้ามาทักทายเมิ่งเหยาขณะสำรวจที่ทางทำมาหากินอยู่ในย่านตลาดกลางเมือง“ลี่เอ๋อ เธอนั่นเอง ดีใจจังที่ได้เจอเธอที่นี่” เมิ่งเหยาทำท่านึกอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะจำได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นเพื่อนในหมู่บ้านที่เรียนและเล่นด้วยกันมากับเมิ่งเหยาตั้งแต่ยังเด็ก นามว่าฉินเหม่ยลี่ซึ่งครอบครัวย้ายจากเมืองหวงซานมาเซินเจิ้นเพื่อทำธุรกิจเช่นเดียวกันกับสกุลซุนหลังจบจากชั้นมัธยมต้นเมิ่งเหยาจึงไม่ได้เจอเพื่อนคนนี้อีก ทั้งที่ความจริงแล้วสนิทสนมกันไม่น้อยเลย“ใช่ฉันเอง เหยาเหยา..เธอมาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ” เหม่ยลี่ถามด้วยความตื่นเต้นยินดีที่ได้พบเจอเพื่อนรักอีกครั้ง ทั้งยังเอ่ยเรียกเมิ่งเหยาอย่างสนิทสนมคุ้นเคยด้วย“ฉันมาเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยที่นี่น่ะ แล้วเธอล่ะเป็นยังไงบ้าง สบายดีนะ” เมิ่งเหยาตอบพร้อมถามกลับไป“ฉันสบายดี ฉันเองก็กำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยอยู่เหมือนกั
ชิงเหยียนไม่พอใจที่เมิ่งเหยาดึงความสนใจในครอบครัวสกุลซุนไปหมด ทั้งยังคิดไม่ถึงด้วยว่าเมิ่งเหยาจะมีฝีมือในการทำอาหารได้หลากหลายอย่างเช่นนี้“เมิ่งเหยา เธอนี่เก่งนะ แต่อยู่ที่บ้านไม่เห็นเธอจะหยิบจับทำอะไรเลย ถ้าลุงกับป้าลู่พ่อแม่ของเธอรู้เข้าคงเสียใจแย่ที่ลูกสาวมาลงมือทำอาหารให้คนอื่นกิน แต่ตัวเองกลับไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน” ชิงเหยียนมิวายหาเรื่องใส่ความเมิ่งเหยาอีกครั้ง“ชิงเหยียน ฉันเคยถามเธอแล้วนะว่าเธออยู่บ้านหลังเดียวกันกับฉันเมื่อไหร่กัน ถึงได้รู้เห็นว่าฉันทำอะไรหรือไม่ทำอะไรบ้าง อีกอย่างพ่อแม่ฉันเคยชิมอาหารฝีมือฉันตั้งหลายครั้งหลายหนแล้ว พ่อแม่เธอเองก็น่าจะรู้ดีนะ เพราะฉันไปส่งอาหารมื้อกลางวันให้พ่อกับแม่ที่ไร่ชาออกจะบ่อยไป อ้อ..ฉันลืมไป เธอที่ชอบพูดบอกกับคนอื่นว่าไปช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานในไร่ชาเพื่อแบ่งเบาภาระให้พวกท่าน แต่ฉันไปกี่ครั้งกี่หนกลับไม่เคยพบเจอเธอเลยสักครั้ง เธอจึงไม่รู้นะสิว่าฉันทำอาหารส่งข้าวส่งน้ำให้พ่อแม่อยู่บ่อยๆ ลองกลับไปถามพ่อแม่เธอดูก็ได้ พวกท่านยังเคยชมเลยว่าอาหารฝีมือฉันอร่อย” เมิ่งเหยาเอ่ยตอกหน้าชิงเหยียนกลับไป‘ชิงเหยียนชอบพูดอวดอ้างตัวกับคนนู้นคนนี้ว่าเธอช่
มู่เฉินขับรถพาสองสาวเดินทางไปเซินเจิ้น มีชิงเหยียนนั่งด้านหน้าข้างคนขับคู่กันไปกับเขา ส่วนเมิ่งเหยานั่งด้านหลัง โดยก่อนหน้านี้มู่เฉินให้ทั้งสองสาวไปนั่งด้านหลังด้วยกันทั้งคู่ ตัวเองทำหน้าที่เป็นคนขับ แต่ชิงเหยียนไม่ยอมรีบเสนอตัวมานั่งด้านหน้าบอกว่าอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ชวนมู่เฉินพูดคุยจะได้ไม่ง่วงเมิ่งเหยาไม่ได้แสดงท่าทีเสนอตัวหรือคัดค้านอะไร มู่เฉินเองก็ตอบรับความหวังดีของชิงเหยียนให้เธอมานั่งหน้ารถด้วยกัน ผ่านไปได้ครึ่งทางถึงจุดแวะพัก มู่เฉินก็ให้เวลาเด็กสาวไปยืดเส้นยืดสายทำธุระส่วนตัว เช่นเดียวกันกับเขาที่เข้าห้องน้ำเสร็จก็ไปซื้อน้ำและขนมมาให้ทั้งคู่“นี่ขนมเปี๊ยะไส้เนื้อของที่นี่อร่อยมากเลยนะเอาไปชิมสิ” มู่เฉินกล่าวพร้อมยื่นขนมไปให้ชิงเหยียนที่ยืนอยู่ข้างตัวรถด้วยกันกับเมิ่งเหยา“ขอบคุณมากค่ะพี่มู่เฉิน พี่ใจดีมากเลย” ชิงเหยียนเอ่ยขอบคุณพร้อมรับขนมไปด้วยรอยยิ้มจนแก้มแทบปริ ส่วนเมิ่งเหยาไม่ได้ใส่ใจอะไรเดินกลับไปขึ้นรถประจำที่นั่งของตนเองทางด้านหลังเงียบๆ มู่เฉินตั้งใจจะบอกให้ชิงเหยียนแบ่งขนมกับเมิ่งเหยาด้วย แต่เขาเห็นท่าทีเฉยเมยเช่นนั้นของเธอจึงไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกไป“เมิ่งเหยาขน
เมิ่งเหยาที่เห็นมู่เฉินรีบเดินออกมาปกป้องชิงเหยียน ซึ่งเสแสร้งแกล้งทำเป็นผู้หญิงอ่อนแอถูกเธอรังแก หลี่ตามองดูเขานิดหนึ่งพร้อมอดคิดดูถูกไม่ได้‘ที่แท้ก็คนโง่อีกคนที่หลงเชื่อการแสดงเสแสร้งแกล้งทำของชิงเหยียนได้อย่างง่ายดาย’ เมิ่งเหยาคิดพร้อมถอนหายใจแรงไปทีหนึ่ง“คุณหมอซุน หากฉันบอกว่าฉันไม่สนใจเลยสักนิดว่าสกุลซุนจะรับใครเข้าไปอยู่ในบ้าน หรือคุณกับเสิ่นชิงเหยียนจะมีอะไรกัน มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลยแม้นแต่น้อย คุณก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดีสินะคะ ดังนั้นแล้วคุณจะคิดยังไงก็ตามสบายเถอะ ฉันขอตัวก่อนล่ะ” เมิ่งเหยาเอ่ยอย่างไม่คิดจะใส่ใจกับชายหนุ่มหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าอีก ก่อนจะเดินจากไปยังไร่ชาเพื่อมองสำรวจสถานที่โดยรอบต่อทางด้านมู่เฉินที่ได้ยินและเห็นท่าทีเฉยชาไม่สนใจอะไรของเมิ่งเหยาก็ถึงกับตกตะลึงไปอีกรอบ เช่นเดียวกับชิงเหยียน เพราะหากเป็นก่อนหน้านี้เมิ่งเหยาคงร้องไห้ฟูมฟายจนใครๆมาเห็นและได้ยิน จากนั้นก็กล่าวโทษว่าเขากลั่นแกล้งเธอ ทำให้เขาโดนพ่อแม่ดุเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา“พี่มู่เฉิน อย่าไปถือสาเมิ่งเหยาเลยนะคะ เธอคงอารมณ์ไม่ดีเพราะรู้ว่าฉันจะเดินทางไปเซินเจิ้นด้วยนะค่ะ” ชิงเหยียนแสร้งทำ
หลังจากทุกคนออกไปแล้วเมิ่งเหยาก็ลุกขึ้นมานั่งและมองสำรวจรอบห้องตัวเองอีกครั้ง‘นี่มันยุค 80 จริงๆสินะ น่าสนใจจัง เอาเถอะ..ในเมื่อเธอทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใดก็ตาม ต่อ ไปนี้เธอจะใช้ชีวิตเป็นเมิ่งเหยาในโลกใบใหม่ให้ดีเลยล่ะ’ เมิ่งเหยาคิด เธอไม่มีอะไรผูกพันกับโลกก่อนหน้านี้แล้ว พ่อแม่ที่ให้กำเนิดก็ทอดทิ้งไปมีครอบครัวใหม่ตั้งแต่เธออายุยังน้อย ย่าของเธอ..ญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ซึ่งเธอให้ควาสำคัญก็จากไปนานแล้วเช่นกันตอนนี้เธอกลับโชคดีได้มีชีวิตในโลกใบใหม่ มีพ่อแม่ที่ดูท่าว่าจะรักและห่วงใยเธอมาก แม้นแม่ของเธอจะจู้จี้อยากให้เธอแต่งออกไปกับมู่เฉินซึ่งมีสถานะทางบ้าน อาชีพหน้าที่การงานดีพร้อมทุกอย่างก็ตาม แต่ทั้งหมดก็เป็นไปเพราะรักและใส่ใจเธอมากนั่นเองครอบครัวสกุลลู่เป็นครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อกับแม่เธอมีทรัพย์สินที่ดินทำกิน ทำการเกษตรสืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ หลังจากรัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนทำมาหากินในที่ดินของตนเองและเริ่มค้าขายเองได้ในช่วงปลายยุค 70 พ่อของเธอก็หันมาทำไร่ชา หาเลี้ยงครอบครัวกระจายรายได้ให้คนในหมู่บ้านฉางจงไห่มาโดยตลอด‘เมืองหวงซานเป็นเมืองที่สวยงาม







