เช้าวันต่อมาเว่ยเถียนเถียนตื่นขึ้นมาตามปกติ หลังจากค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความฝันอันเงียบสงบ การตื่นนอนในบ้านเล็ก ๆ ที่เธออาศัยอยู่ไม่ได้เป็นเวลาที่เธอรู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย เสียงไก่ขันบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของวันใหม่ แต่สำหรับเว่ยเถียนเถียนมันคือการเริ่มต้นของวันแห่งความเหนื่อยล้าและความกดดันที่ต้องเผชิญกับครอบครัวสามีที่เรียกร้องสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทันทีที่เธอลุกขึ้นจากเตียงและเริ่มจัดการกับงานบ้านประจำวัน เสียงเรียกจากแม่สามีก็ดังขึ้นจากห้องข้าง ๆ "เถียนเถียน รีบมานี่สิ ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ"
เว่ยเถียนเถียนรีบลุกไปหาแม่สามีที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น โดยมีน้องสาวสามีนั่งอยู่ข้าง ๆ ทั้งคู่แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมจะออกไปข้างนอก เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังจะไปเที่ยวตลาดในเมืองอย่างที่เคยทำบ่อย ๆ
"เถียนเถียน แม่กับน้องสาวจะไปตลาดในเมืองวันนี้ เอาเงินมาให้พวกเราหน่อย" แม่สามีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความเกรงใจใด ๆ
"แม่คะ วันนี้ฉันอาจจะให้เงินไม่ได้ค่ะ พอดีว่ามีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ต้องจัดการด้วย" เว่ยเถียนเถียนพยายามพูดอย่างสุภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งที่อาจจะเกิดขึ้น
แม่สามีหรี่ตามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ "เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าเป็นลูกสะใภ้บ้านจาง หน้าที่ของเธอก็คือดูแลครอบครัวนี้ให้ดี เพราะงั้นถ้าแม่กับน้องสาวต้องการอะไรเธอก็ต้องจัดการให้ พ่อแม่ของเธอทิ้งสมบัติไว้ให้ตั้งเยอะ มันจะหมดง่าย ๆ ได้ยังไง"
คำพูดของแม่สามีทำให้เว่ยเถียนเถียนรู้สึกถูกกดดันอย่างมาก ที่ผ่านมาเงินของเธอร่อยหรอไปมากแล้ว แต่ความกลัวที่จะทำให้แม่สามีไม่พอใจทำให้ต้องตัดสินใจอย่างลำบาก เธอไม่กล้าแข็งข้อกับแม่สามีเพราะไม่อยากสร้างความขัดแย้งในครอบครัว
"ได้ค่ะแม่ เดี๋ยวฉันจะเอาเงินให้" เว่ยเถียนเถียนตอบเสียงเบา
เว่ยเถียนเถียนเดินกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง เปิดลิ้นชักหยิบกระเป๋าเงินออกมา ในขณะที่เธอนับเงินที่เหลืออยู่ในกระเป๋าความคิดถึงเรื่องอนาคตก็ผุดขึ้นมาในใจ เธอเริ่มกังวลว่าวันหนึ่งเงินมรดกที่พ่อแม่ของเธอทิ้งไว้จะหมดไปและเธอจะไม่มีอะไรเหลือให้ลูกชายของเธอเลย
เธอถอนหายใจยาวแล้วนับเงินที่มีอยู่ในมือก่อนที่จะหันกลับไปหาแม่และน้องสาวสามีอีกครั้ง ยื่นเงินให้พวกเขา "นี่ค่ะ"
แม่สามียิ้มรับเงินอย่างพอใจ "เธอนี่แหละลูกสะใภ้ที่ดี ถ้าพ่อแม่ที่ตายไปของเธอรับรู้คงจะภูมิใจในตัวเธอแน่ ๆ" คำพูดนั้นฟังดูเหมือนการชมเชย แต่ในความเป็นจริงแล้วมันกลับกลายเป็นคำพูดที่ทำให้เว่ยเถียนเถียนรู้สึกเจ็บปวดและหดหู่
เมื่อแม่และน้องสาวสามีออกจากบ้านไป เว่ยเถียนเถียนก็ยืนมองตามหลังพวกเขาด้วยความรู้สึกท้อแท้ เธอรู้ดีว่าชีวิตของเธอเป็นเพียงเครื่องมือในการให้ผู้อื่นได้สิ่งที่ต้องการและไม่มีใครในครอบครัวนี้สนใจว่าเธอจะต้องทำงานหนักแค่ไหนหรือเหนื่อยยากแค่ไหนเพื่อจุนเจือพวกเขา
ในขณะเว่ยเถียนเถียนกำลังเตรียมตัวออกไปทำงานที่คอมมูน จางกวนหย่งสามีของเธอก็เข้ามาในห้อง เขาดูหงุดหงิดและเครียดมาก เส้นผมยุ่งเหยิง ใบหน้าซูบเซียวแสดงถึงการไม่ได้นอนหลับเต็มอิ่มมาตลอดหลายคืน
"เถียนเถียน…ผมอยากได้เงิน ตอนนี้" เขาพูดขึ้นทันทีที่เข้ามาในห้อง
เว่ยเถียนเถียนหยุดมือที่กำลังจัดกระเป๋าแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองสามี "เงินที่ให้ไปคราวก่อน ยังไม่พออีกเหรอ"
"ผมจำเป็นต้องใช้เงินอีก ยังไงผมก็ต้องถอนทุนคืนให้ได้" จางกวนหย่งพูดอย่างรวดเร็ว แสดงออกถึงความคับแค้นที่แฝงอยู่ในใจของเขา
"พี่กวนหย่ง ฉันไม่สามารถให้เงินพี่ไปเล่นพนันได้อีกแล้ว ฉันจะต้องเก็บเงินทั้งหมดไว้ให้เสวียอี้" เว่ยเถียนเถียนพูด
คำพูดของเว่ยเถียนเถียนทำให้จางกวนหย่งโกรธมาก เขาตะโกนใส่เธอ "นี่จะไม่ให้งั้นเหรอ ผมเป็นสามีของคุณนะ คุณต้องทำตามคำสั่งผม"
เว่ยเถียนเถียนพยายามใจเย็น "ฉันเข้าใจว่าพี่เป็นสามี แต่ฉันให้พี่เอาเงินไปเล่นการพนันไม่ได้ เรามีลูกที่ต้องดูแล ถ้าเงินหมดแล้วจะทำยังไง"
จางกวนหย่งไม่ฟังคำพูดของเธอ เขาเดินเข้ามาหาเธอด้วยความโกรธและเริ่มพูดจาข่มขู่ "เธอมันแค่ผู้หญิง ไม่มีสิทธิ์มาห้ามออะไรทั้งนั้น เอาเงินมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะ..."
จางกวนหย่งไม่ยอมลดละและยังคงเรียกร้องเงิน เว่ยเถียนเถียนยืนหยัดที่จะไม่ให้เงินเขา "ฉันไม่ให้"
"เธอนี่มันน่ารำคาญนัก" เขาตะโกนเสียงดัง แล้วเดินเข้ามาผลักเว่ยเถียนเถียนอย่างแรงจนเธอเสียหลักล้มลงไปที่พื้น
เสียงโวยวายของพ่อแม่ดึงดูดความสนใจของจางเสวียอี้ ลูกชายวัยห้าขวบที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในห้องข้าง ๆ เขารีบวิ่งเข้ามาในห้องและเห็นแม่ของเขาล้มอยู่ที่พื้น เด็กน้อยไม่รอช้ารีบวิ่งเข้ามาช่วยแม่ในทันที "แม่ แม่เจ็บไหม"
จางกวนหย่งเห็นลูกชายวิ่งเข้ามาก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น เขาผลักจางเสวียอี้ออกจนเด็กน้อยกระเด็นไปชนกับกำแพง "ออกไป อย่ายุ่ง"
เว่ยเถียนเถียนเห็นลูกชายของเธอล้มลงก็รู้สึกใจสลาย เธอรีบลุกขึ้นมาและเข้าไปกอดเขา
"เสวียอี้ ไม่เป็นไรใช่ไหม" เธอถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้จะมีความเจ็บปวดในใจแต่ก็พยายามรักษาความสงบเพื่อให้ลูกชายไม่รู้สึกกลัว
"ไม่เป็นไรครับแม่" จางเสวียอี้พยักหน้าเบา ๆ แต่ดวงตาของเขาก็แสดงถึงความกลัวและความสับสนที่เด็กน้อยไม่อาจเข้าใจได้
จางกวนหย่งตรงเข้ามาผลักเว่ยเถียนเถียนอีกครั้ง แต่คราวนี้แรงผลักของเขาทำให้เธอล้มไปชนกับขอบโต๊ะเข้าอย่างจัง ศีรษะของเธอกระแทกกับขอบโต๊ะและหมดสติไปทันที
"แม่! แม่!" จางเสวียอี้ร้องเรียกแม่ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลและความกลัว เขาพยายามเขย่าร่างของแม่แต่เธอก็ไม่ตอบสนอง
ผู้เป็นสามีมองดูภรรยาที่นอนหมดสติอยู่กับพื้นแต่กลับไม่แสดงความเสียใจหรือความห่วงใยเลยแม้แต่น้อย เขารีบเดินไปค้นห้องนอนหวังว่าจะหาที่ซ่อนเงินที่เธอเก็บเอาไว้
เขาเปิดลิ้นชัก ตู้เสื้อผ้า และทุกมุมของห้อง แต่ก็ไม่พบเงินสักหยวน ความโกรธเริ่มท่วมท้นในใจเขาอีกครั้ง กำหมัดแน่นแล้วตะโกนเสียงดัง "เธอนี่มันแย่ยิ่งกว่าอะไร เอาเงินไปซ่อนไว้ที่ไหน"
เมื่อไม่พบเงินที่ต้องการจางกวนหย่งจึงเดินออกจากห้องไปด้วยความหงุดหงิด ทิ้งเว่ยเถียนเถียนและลูกชายไว้ตามลำพัง
จางเสวียอี้หัวใจแทบแตกสลายเมื่อเห็นแม่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้น เด็กน้อยเป็นกังวลกลัวว่าแม่จะตายจิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
"แม่...แม่ ตื่นสิแม่..." เด็กน้อยเขย่าร่างของแม่เบา ๆ พร้อมกับร้องเรียกอยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีการตอบสนองใด ๆ ร่างกายของเธอเย็นเฉียบและไร้สติ เด็กน้อยรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่สุด
"แม่! แม่!" จางเสวียอี้ร้องเรียกเสียงดังขึ้น น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มขาวของเขา ความหวาดกลัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เด็กน้อยไม่รู้จะทำอย่างไรดี นอกจากนั่งอยู่ข้าง ๆ แม่ที่รักและร้องไห้โฮออกมา
จางเสวียอี้นั่งกอดแม่ไว้แน่น สั่นสะท้านจากความหนาวเหน็บที่แผ่ซ่านเข้ามาในจิตใจ แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่ความเจ็บปวดที่เขารู้สึกในขณะนี้กลับท่วมท้นเกินกว่าที่จะรับไหว
"แม่...ได้โปรดตื่นขึ้นมาเถอะ..." เขากระซิบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง
เวลาเหมือนหยุดนิ่งเด็กน้อยนั่งอยู่ตรงนั้นกับแม่เป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดเขาก็เริ่มเข้าใจว่าแม่ของเขาคงจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ความจริงที่โหดร้ายเริ่มเข้ามาในจิตใจของเขา เด็กน้อยไม่รู้จะไปทางไหน ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเขาในเวลานี้ ไม่มีใครที่จะช่วยและปลอบใจเขาเลย
เขาได้แต่ร้องไห้ต่อไป น้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาของเขาเป็นเพียงสัญลักษณ์ของความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้ เมื่อความเหนื่อยล้าเข้ามาแทนที่ความหวาดกลัว เขาค่อย ๆ เอนตัวลงไปนอนข้าง ๆ แม่ กอดร่างของเธอเอาไว้แน่น เด็กน้อยหลับไปในที่สุดด้วยความอ่อนล้า แต่ความเจ็บปวดในใจของเขายังคงอยู่ เขาหลับไปพร้อมกับความหวังเล็ก ๆ ว่าเมื่อเขาตื่นขึ้นมาแม่ของเขาจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับเขา...แต่ความจริงอันโหดร้ายคือแม่ของเขาได้จากไปแล้วตลอดกาล
เจินเหยาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกปวดหัวอย่างหนัก มือข้างหนึ่งสัมผัสไปที่ศีรษะพบว่าเลือดไหลออกมานิดหน่อย เธอเริ่มจำได้ว่าตอนที่ปวดหัวรุนแรงนั้นอาจจะล้มแล้วไปกระแทกอะไรเข้า แต่เมื่อลืมตาขึ้นมากลับต้องตกใจอย่างมากเพราะที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแต่กลับเป็นบ้านแบบชนบทหลังหนึ่งเธอพยายามมองไปรอบ ๆ เพื่อทำความเข้าใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหน บ้านหลังนี้ดูเก่าและมีสภาพทรุดโทรม มีเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ดูเหมือนทำเองและไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าทันสมัยใด ๆ ที่เธอคุ้นเคย เจินเหยารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกตาและเหมือนกับว่าอยู่คนละยุคสมัยอย่างไรอย่างนั้นเสียงเด็กร้องไห้ดังมาจากด้านข้าง เจินเหยาหันไปมองตามเสียงนั้นพบว่าเป็นเด็กผู้ชายอายุประมาณห้าขวบ เด็กน้อยนั่งอยู่ข้าง ๆ และกำลังร้องไห้เสียใจ แต่เมื่อเขาเห็นว่าเธอฟื้นขึ้นมาแล้วก็เปลี่ยนสีหน้าและร้องตะโกนด้วยความดีใจ "แม่ฟื้นแล้ว ๆ!"เด็กน้อยพุ่งเข้ามากอดเจินเหยาด้วยความรักและความห่วงใย ทำให้รู้สึกอึดอัดแต่ก็อบอุ่นในเวลาเดียวกัน เธอพยายามปรับตัวและหันกลับมามองเด็กน้อยที่กอดเธอแน่น น้ำตาของเขายังเปียกแก้มอยู่และแววตาก็เต็มไปด้วยความหวังเ
“ฉันมีเรื่องหนึ่งที่จะขอร้องค่ะ” เว่ยเถียนเถียนพูดขึ้น“เรื่องอะไรก็ว่ามาเถอะ ถ้าถูกต้องตามหลักฏหมายย่อมได้อย่างแน่นอน” หัวหน้าหมู่บ้านตอบ“ฉันอยากให้ลูกชายไปกับฉันด้วยค่ะ” เว่ยเถียนตอบเสียงดังเพื่อประกาศให้ชาวบ้านที่อยู่ที่นั่นรู้ตัว “เพราะว่าบ้านจางตอนนี้ไม่มีเงินเลย ช่วงที่ผ่านก็ใช้เงินมรดกที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ฉันเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านมาตลอด จางกวนหย่งเองก็ไม่มีงานการให้ทำเป็นหลักแหล่ง แม้กระทั่งงานที่คอมมูนเขาก็ไปไม่ทำเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นฉันคิดว่าเขาและแม่ของเขาไมสามารถเลี้ยงดูอบรมให้ลูกชายของฉันเป็นคนดีได้ ดังนั้นการให้เขาไปอยู่กับฉันจะเป็นการดีที่สุด” เว่ยเถียนเถียนอธิบาย“ได้ยังไงกัน เด็กแซ่จางก็ต้องเป็นลูกหลานบ้านจาง ยังไงเขาก็ต้องอยู่ที่นี่” นางหยางเจี่ยรีบคัดค้านขึ้นมาทันที“แต่ว่าฉันมีเงินมากพอที่จะเลี้ยงลูกได้” เว่ยเถียนเถียนยืนยัน “และฉันก็มั่นใจว่าจะสอนลูกให้เป็นคนดีได้ ไม่ใช่ครอบครัวที่พ่อติดการพนัน ย่าและอาสาวที่เอาแต่ใช้เงินไปวัน ๆ“แล้วออกจากบ้านไปเธอจะไ
เว่ยเถียนเถียนตื่นขึ้นมาในตอนบ่าย ทว่าเธอก็ยังรู้สึกปวดหัวอยู่ไม่น้อย อาจจะเป็นเพราะความตึงเครียดที่เจอมาตลอดทั้งวันก็เลยทำให้ไม่สบายเนื้อสบายตัวสักเท่าไร ส่วนลูกชายวัยห้าขวบของเธอนั้นกำลังเดินไปเดินมาเพื่อสำรวจห้องเช่าที่ซึ่งเป็นบ้านใหม่ของพวกเขาอยู่เธอหันไปพูดกับจางเสวียอี้ลูกชายอันเป็นแสงสว่างในชีวิตของเธอ "แม่ขอพักผ่อนต่อสักหน่อยนะเสวียอี้ ส่วนลูกอยากไปสำรวจรอบ ๆ บ้านใหม่หรือเปล่า"จางเสวียอี้ยิ้มอย่างกระตือรือร้น "ครับแม่ ผมอยากไปสำรวจดูรอบ ๆ นิดหน่อย จะได้รู้ว่าแถวบ้านใหม่นี้มีอะไรบ้าง”"งั้นก็ไปเถอะ แต่อย่าไปไกลเกินไปนะและกลับบ้านก่อนค่ำด้วย" เว่ยเถียนเถียนยิ้มให้ลูกชายจางเสวียอี้พยักหน้าและออกจากบ้านเช่าด้วยความตื่นเต้น เขามองดูรอบ ๆ บริเวณที่พักใหม่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทุกอย่างดูแปลกตาและน่าสนใจสำหรับเด็กน้อยอย่างเขา บ้านเช่าของพวกเขาอยู่ใกล้กับตลาด ทำให้ได้เห็นผู้คนมากมายที่มาเดินซื้อของ จางเสวียอี้เดินผ่านร้านค้าต่าง ๆ ที่มีสินค้ามากมายทั้งของกิน ของใช้ และของตกแต่งในขณะที่จางเสวียอี้สำรวจตลาดก็ได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเรา
แม่ลูกกินข้าวกันเสร็จก็เริ่มทำความสะอาดบ้าน เว่ยเถียนเถียนสำรวจดูข้าวของในบ้านว่ามีอะไรพอใช้ได้บ้าง เธอเดินไปที่ห้องครัวแล้วเปิดดูภายในตู้พบว่ามีหม้อใบใหญ่สภาพดีวางอยู่บนชั้นล่างสุด ข้าง ๆ กันมีถังและกะละมังสองสามใบ เธอยังเห็นกระทะและอุปกรณ์ครัวอื่น ๆ อีกเล็กน้อยที่สามารถใช้ในการทำอาหารได้ เธอคิดกับตัวเองว่า “เราควรจะใช้ของเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ เริ่มจากทำอะไรที่ง่าย ๆ และราคาไม่แพงขายก่อน”เมื่อหันไปมองลูกชายที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่ ความทรงจำของเจ้าของร่างก็ผุดขึ้นมาในหัวใจ เธอนึกถึงตอนที่จางเสวียอี้ยังเด็กเขาชอบกินน้ำเต้าหู้มาก เว่ยเถียนเถียนมักจะต้มน้ำเต้าหู้ร้อน ๆ ให้เขากินทุกเช้าก่อนที่เธอจะออกไปทำงานที่คอมมูน ความสุขของลูกชายในตอนนั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยลืมเลือนเมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงตัดสินใจที่จะทำน้ำเต้าหู้ขาย เธอเดินเข้าไปใกล้ลูกชายที่กำลังเช็ดโต๊ะอย่างขยันขันแข็ง"เสวียอี้" เธอเรียกลูกชายด้วยน้ำเสียงอบอุ่นจางเสวียอี้เงยหน้าขึ้นมองแม่ "ครับแม่ มีอะไรให้ผมช่วยอีกไหมครับ""แม่ว่าพวกเราทำน้ำเต้าหู้ขายกันดีไหม น่าจะเป็นอะไรที่ทำง่ายแ
หลังจากที่เห็นผลตอบรับจากการขายน้ำเต้าหู้ในวันแรกดีเกินคาดเว่ยเถียนเถียนก็เริ่มคิดแผนการสำหรับวันถัดไป เธอตัดสินใจว่าจะเพิ่มปริมาณน้ำเต้าหู้ให้มากขึ้นและยังมีความคิดที่จะเพิ่มเมนูใหม่คือปาท่องโก๋เข้ามาขายควบคู่กันด้วย เนื่องจากน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เป็นของคู่กันที่หลายคนชื่นชอบเช้าวันรุ่งขึ้นเว่ยเถียนเถียนปลุกจางเสวียอี้แต่เช้าเพื่อมาขายย้ำเต้าหู้ช่วย หลังจากปิดร้านก็ชวนกันไปตลาดเพื่อหาซื้อของที่จำเป็นสำหรับการขยายกิจการเล็ก ๆ ของพวกเขา"เสวียอี้...วันนี้เราจะไปซื้อหม้อใบใหญ่กว่าเดิมนะ จะได้ทำทีเดียวได้เยอะ ๆ หน่อย" เว่ยเถียนเถียนบอกลูกชายจางเสวียอี้พยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น การได้ไปเดินตลาดและช่วยแม่เลือกของเป็นสิ่งที่เขาอยากทำเป็นอย่างยิ่งทั้งสองเดินทางมาถึงตลาด เว่ยเถียนเถียนเดินเลือกหม้อขนาดใหญ่กว่าที่เคยใช้ พร้อมทั้งเลือกเตาที่สามารถวางได้หน้าร้าน เพื่อจะได้ทำน้ำเต้าหู้สด ๆ ให้ลูกค้าดูได้เลย นอกจากนี้ยังเดินหาซื้ออุปกรณ์สำหรับการทำปาท่องโก๋ ทั้งกระทะใบใหญ่ ตะหลิว ไม้นวดแป้ง และอื่น ๆ อีกมากมายหลังจากได้ของครบทั้งสองคนก็เดินทางกลับบ้าน จางเส
หัวหน้าหมู่หยางป๋อประจำการอยู่ที่ค่ายทหารชายแดนได้รับอนุญาตให้ลาพักเป็นเวลาสั้นๆ เพื่อกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากที่เขาต้องใช้ชีวิตในค่ายทหารมากว่าหกปี ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงหยางป๋อเดินทางมาด้วยรถไฟใช้เวลาร่วมสามวันสามคืน เมื่อรถไฟหยุดที่สถานีในเมืองเขาก็ก้าวลงจากรถไฟด้วยท่าทางองอาจ มาดมั่น ชุดเครื่องแบบทหารที่ตัดเย็บอย่างดีทำให้ดูมีสง่าราศี รูปร่างสูงใหญ่ของเขาและกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งจากการฝึกซ้อมที่หนักหน่วงทำให้ผู้คนรอบข้างต่างต้องชื่นชม หยางป๋อในวัยยี่สิบหกปีนั้นเป็นหนุ่มหล่อที่มีเสน่ห์อย่างมาก ใบหน้าคมเข้มและดวงตาที่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น ทำให้สาวๆ ที่เดินผ่านไปมาต่างพากันมองตามด้วยความสนใจสายลมเย็นๆ ของฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านมาพร้อมกับใบไม้ที่ร่วงหล่น หยางป๋อสูดลมหายใจลึกๆ รู้สึกสดชื่นที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดอีกครั้ง หลังจากที่ต้องอดทนกับการฝึกซ้อมและภารกิจหนักหน่วงที่ค่ายทหารมาตลอด หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความสุขที่ได้กลับมาเจอครอบครัวเขามองไปรอบๆ สถานีรถไฟที่คุ้นเคย เห็นร้านค้าขนาดเล็กที่ยังคงตั้งอยู่ในที่เดิม ๆ ผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของกันอย่างคึก
หยางป๋อเดินทางกลับมาถึงบ้าน สายลมอ่อนพัดผ่านท้องทุ่งนาและกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาตามลม บรรยากาศที่บ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความตื่นเต้น เมื่อคนในครอบครัวเห็นเขาก้าวเข้ามาในบ้าน นางหลิวหู่แม่ของหยางป๋อรีบวิ่งออกมาพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า นางโผกอดลูกชายแน่น หยางสุ่ยพ่อของหยางป๋อซึ่งเป็นชายชราที่ยังแข็งแรงแม้จะมีอายุแล้วก็ยิ้มกว้างพลางตบหลังลูกชายเบา ๆ"ต้าป๋อ ลูกกลับมาแล้ว แม่คิดถึงลูกมาก" นางหลิวหู่พูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ"ผมก็คิดถึงพ่อกับแม่ครับ" หยางป๋อตอบพลางยิ้มให้แม่ของเขา เขาหันไปกอดพ่อและยิ้มให้กับน้องสาวที่กำลังยืนยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นแถวทันทีที่ข่าวการกลับมาของหยางป๋อแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน เพื่อนบ้านที่สนิทกับบ้านหยางเขาก็เริ่มทยอยกันมาเยี่ยมเยียน ทุกคนต่างนำของขวัญและสิ่งของมามอบให้เขาเป็นการต้อนรับกลับบ้าน มีทั้งผลไม้สด อาหารพื้นบ้าน และข้าวของเครื่องใช้ในค่ำคืนนั้นคนบ้านหยางได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ที่ลานบ้าน แสงไฟจากโคมสว่างไสวทั่วบริเวณ กลิ่นหอมของอาหารที่นางหยางเจี่ยทำเองลอยมาตามลม มีทั้งเป็ดตุ๋น หมูสามชั้นต้มซีอ
บทที่ 11 ความฝันของเด็กชายเช้าวันถัดมาหยางป๋อตื่นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง นาฬิกาในบ้านยังแสดงเวลาเพียงแค่ตีห้า เขาหยิบชุดธรรมดาที่ดูดีและเหมาะสมมาสวมใส่ เลือกเสื้อผ้าสีเรียบแต่มีรสนิยมที่สะท้อนถึงความเรียบร้อย เมื่อลงมาจากบ้านก็คว้าเสื้อคลุมและหมวกอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเดินออกไปยังลานหน้าบ้านพ่อแม่และน้องสาวของเขายืนอยู่ที่หน้าบ้าน เห็นเขากำลังเตรียมตัวออกจากบ้านในช่วงเวลาตรู่จึงหากันมองอย่างสงสัย ในใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยคำถามว่าทำไมถึงต้องเร่งรีบออกจากบ้านแต่เช้าขนาดนี้"ลูกชายของแม่จะไปไหนตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้" นางหลิวหู่ถามด้วยความสงสัยขณะยืนอยู่ที่หน้าบ้านหยางป๋อหันมาหาแม่และยิ้มอย่างอบอุ่น "ผมแค่จะเข้าไปในเมืองนิดหน่อยครับ ผมต้องการซื้อของบางอย่าง และยังมีเรื่องที่อยากทำ""พี่ชายจะไปซื้ออะไรเหรอคะ" หยางเสี่ยวเจียงน้องสาวของเขาถามขึ้น"พี่ตั้งใจจะซื้ออาหารเช้าให้พวกเราน่ะ พี่ชอบน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาก” หยางป๋อตอบ&ld
บทที่ 25ร้านใหม่หลังจากที่ได้พบกันในครั้งนี้เว่ยเถียนเถียนรู้สึกมั่นใจในตัวหยางป๋อมากยิ่งขึ้น ทุกการกระทำและคำพูดของเขาในวันที่ช่วยเธอจากคนร้ายเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความรักและความห่วงใยที่เขามีต่อเธอ เขาไม่เพียงแค่ปกป้องเธอจากภัยอันตรายแต่ยังยืนหยัดเคียงข้างเธอในทุกสถานการณ์ ความเชื่อมั่นและความรักที่เขามีให้เป็นสิ่งที่เธอสัมผัสได้อย่างชัดเจนความรักที่เว่ยเถียนเถียนมีต่อหยางป๋อเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและความมั่นคงที่เขามอบให้ ความห่วงใยและความตั้งใจจริงของหยางป๋อทำให้เธอเปิดใจให้เขาเต็มที่ เธอไม่กลัวที่จะรักเขาอย่างหมดใจ เพราะรู้ว่าเขาคือคนที่รักเธอมากที่สุดกลับมาถึงร้านเว่ยเถียนเถียนเห็นหลินเสี่ยวเป้ยกับลูกชายกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น สถานการณ์ในร้านคึกคักเป็นพิเศษเพราะมีคนสั่งซื้อฟองเต้าหู้มากมาย เธอยิ้มออกมาเมื่อเห็นความตั้งใจของทุกคนจางเสวียอี้เห็นแม่ของเขากลับมาก็วิ่งมากอดขาด้วยความดีใจ"แม่กลับมาแล้
บทที่ 24ต้องกำจัดเย็นวันนั้นเว่ยเถียนเถียนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องพักของโรงแรมที่เธอพักอยู่ ความเงียบสงบของช่วงเย็นทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย แต่ความสงบนั้นกลับถูกทำลายเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างรุนแรง เธอเดินไปเปิดประตูด้วยความสงสัย และเมื่อเปิดออกมาก็ต้องตะลึงเมื่อผู้ชายสองคนที่เธอไม่รู้จักบุกเข้ามาในห้องทันที"เธอคือเว่ยเถียนเถียนใช่ไหม" หนึ่งในนั้นถามด้วยน้ำเสียงข่มขู่เว่ยเถียนเถียนพยายามถอยหลัง แต่ถูกดันให้ถอยจนชนกับผนังห้อง "ใช่...พวกคุณต้องการอะไร"ชายคนหนึ่งยิ้มเย็น "มีคนสั่งพวกเราให้มาสั่งสอนเธอ ให้เธอรู้ว่าไม่ควรยุ่งกับคนของคนอื่น"พวกมันเริ่มเข้ามาใกล้ เว่ยเถียนเถียนรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น เธอพยายามถอยหลังไปอีกแต่ว่าตอนนี้ชนกับผนังห้องแล้ว ไม่สามารถขยับไปไหนได้อีก ความหวาดกลัวที่ท่วมท้นเข้ามาทำให้มือของเธอสั่นและเหงื่อไหลออกมาตามหน้าผาก ตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก มองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอาฆาต
บทที่ 23หัวใจที่หนักแน่น หลังจากที่ฝึกเสร็จหยางป๋อก็รีบตรงดิ่งเข้ามาในเมืองทันที วันนี้เลิกเร็วคงพอมีเวลาอยู่กับเว่ยเถียนเถียนได้นานหน่อยเขาจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขารออยู่ที่หน้าโรงแรมพอเห็นเธอเดินออกมาก็ยิ้มอย่างดีใจ “วันนี้อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่พาไปกินนะ” “เอาที่พี่คิดว่าอร่อยที่สุดค่ะ” เว่ยเถียนเถียนตอบ “ที่อร่อยที่สุดพี่พาเถียนเถียนไปกินมาแล้ว เอาอย่างนี้ดีไหม เดี๋ยวพี่พาไปกินซวนล่าเฝิ่นร้านคุณลุงจวงดีกว่า ที่นั่นพี่ไปกินกับเพื่อน ๆ บ่อย ค่อยข้างอร่อยเลยล่ะ” หยางป๋อเสนอ “ได้ค่ะ พี่พาไปที่ไหนฉันก็ไปหมดแหละ” เว่ยเถียนเถียนยิ้มอย่างดีใจ
บทที่ 22ศัตรูหัวใจวันต่อมาเว่ยเถียนเถียนมาหาหยางป๋อที่กองทัพในตอนเย็นและวันนี้เธอตั้งใจนำของจากมิติมาฝากเพื่อนทหารของเขาด้วย เขาพาเธอเข้าไปยังพื้นที่หน่วยของเขา เมื่อเพื่อน ๆ เห็นเว่ยเถียนเถียนมาด้วยทุกคนต่างก็เข้ามาต้อนรับและทักทายอย่างอบอุ่น“สวัสดีครับคุณเว่ย” เสียงหนึ่งของทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้น“สวัสดีค่ะพี่ ๆ ทุกคน วันนี้ฉันนำของมาให้ทุกคนลองชิมกัน” เว่ยเถียนเถียนยิ้มหวานและกล่าวอย่างใจดีเธอเอาของออกมาจากมิติมากมายหอบมาเต็มไม้เต็มมือไปหมด โดยเฉพาะผลไม้ที่สดและหายากในพื้นที่นี้ ทุกคนต่างตื่นเต้นเมื่อเห็นสิ่งที่เธอนำมา“โอ้โห ผลไม้เยอะขนาดนี้ พวกเราจะได้กินกันหลายวันเลย” ทหารคนหนึ่งพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง“ใช่ค่ะ ฉันคิดว่าในช่วงนี้พวกพี่ ๆ คงอยากกินอะไรหวาน ๆ อร่อย ๆ จะได้หายเหนื่อยจากการฝึก” เว่ยเถียนเถียนตอบ“เถียนเถียน คุณน่ารักมากจริง ๆ ยังถึงคิดถึงพวกเราขนาดน
บทที่ 21ลูกค้ารายใหญ่ เช้าวันรุ่งขึ้นหยางป๋อมารับเว่ยเถียนเถียนที่โรงแรมแต่เช้าตรู่ ทั้งสองเตรียมตัวให้พร้อมแล้วนั่งสามล้อเข้าไปที่กองทัพด้วยกัน เว่ยเถียนเถียนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยแต่ก็มุ่งมั่นที่จะทำให้การเจรจาธุรกิจในครั้งนี้ประสบความสำเร็จจึงฮึดสู้ขึ้นมา เมื่อพวกเขามาถึงกองทัพผู้พันและคุณนายก็รออยู่แล้วเมื่อได้พบกันหยางป๋อก็แนะนำเว่ยเถียนเถียนให้ผู้พันและคุณนายรู้จัก "ผู้พันครับ นี่คือเว่ยเถียนเถียน เธอคือคนที่ทำฟองเต้าหู้ที่พวกเราทดลองกินกันเมื่อคราวก่อน"ผู้พันยิ้มแย้ม "ยินดีที่ได้รู้จัก คุณเว่ย ฟองเต้าหู้ที่คุณทำอร่อยมาก ผมและภรรยาชอบมาก ๆ เลย""ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะผู้พัน คุณนาย ขอบคุณที่ชื่นชอบฟองเต้าหู้ที่ฉันทำนะคะ" เว่ยเถียนเถียนยิ้มและโค้งตัวให้หลังจากทักทายกันเรียบร้อยพวกเขาเริ่มเข้าเรื่องการค้ากัน เว่ยเถียนเถียนนำฟองเต้าหู้แห้งรูปแบบต่าง ๆ ออกมาเสนอให้ผู้พันและคุณนายดู แต่ละแบ
บทที่ 20ข่าวดีผู้พันเรียกให้หยางป๋อมาพบในเช้าวันถัดมา เมื่อหยางป๋อมาถึงห้องทำงานของผู้พันเขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น“หัวหน้าหมู่หยาง นั่งก่อนสิผมมีเรื่องจะพูดกับคุณเกี่ยวกับฟองเต้าหู้พวกนั้น” ผู้พันเริ่มต้นการสนทนาด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง“ผมสนใจฟองเต้าหู้พวกนี้มาก มันมีรสชาติดีมากก็เลยคิดว่าจะเอาไปขายที่ร้านค้าของภรรยา ตอนนี้ร้านของเธอมีสาขาอยู่ที่สามเมือง ถ้าคุณสนใจผมจะช่วยนัดพบกับภรรยาให้พวกเราจะได้คุยเรื่องการค้ากัน”หยางป๋อฟังด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกยินดีที่สินค้าของเว่ยเถียนเถียนได้รับความสนใจอย่างมาก “ฟองเต้าหู้พวกนี้เป็นคนรักของผมที่ทำขึ้นมาครับ เธอส่งมาจากเมืองบ้านเกิดของผม ถ้าผู้พันอยากคุยเรื่องการค้าผมก็จะนัดเธอให้ครับ”“ดีมาก หัวหน้าหมู่หยาง ผมก็จะนัดภรรยามาด้วยเช่นกัน พวกเรามาเจอกันในวันหยุดดีไหม” ผู้พันถามหยางป๋อตอบรับด้วยความเต็มใจ “ได้ครับผู้พัน ผมจะแจ้งคนรักขอ
บทที่ 19 ขยายกิจการ เมื่อมีหลินเสี่ยวเป้ยมาช่วยงานแล้วก็ทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น เว่ยเถียนเถียนจึงคิดที่จะขยายกิจการเพิ่ม เธอเริ่มสำรวจตลาดอย่างละเอียดก็พบว่ามีฟองเต้าหู้ขายแต่ว่ามีอยู่แบบเดียว อีกทั้งยังไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไร ในขณะที่เดินสำรวจเธอคิดย้อนกลับไปถึงชาติที่แล้ว ฟองเต้าหู้หลายแบบที่เธอส่งออกในเวลานั้นได้รับความนิยมมากและเป็นที่ต้องการสูงในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศความคิดเกี่ยวกับฟองเต้าหู้ที่หลากหลายชนิดนั้นทำให้เธอตื่นเต้น ภาพในจินตนาการของเธอเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ร้านอาหารหลายแห่งโดยเฉพาะร้านหม้อไฟในยุคนี้ก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอเห็นว่ามีโอกาสมากมายที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เว่ยเถียนเถียนนั่งคิดถึงการทำฟองเต้าหู้แบบต่าง ๆ ในใจ เธอจำได้ถึงวิธีการทำฟองเต้าหู้ทั้งแบบบาง แบบหนา แบบตากแห้ง ที่สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ใช้ห่อเ
บทที่ 18ผู้ช่วยคนแรกของร้าน เวลาผ่านไปเว่ยเถียนเถียนและหยางป๋อต่างเขียนจดหมายหากันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งสองใช้ตัวอักษรเป็นสะพานเชื่อมความรู้สึกจากใจถึงใจ ทุกถ้อยคำที่ส่งถึงกันทำให้ความรักระหว่างพวกเขาเบ่งบานและเติบโตอย่างงดงามทุกเดือนเว่ยเถียนเถียนจะส่งจดหมายและของฝากมาให้หยางป๋อที่กองทัพ ในกล่องของขวัญที่เธอส่งมามักมีของกินที่หยางป๋อชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นขนมหวานต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งน้ำเต้าหู้ที่เธอพาสเจอร์ไรส์ด้วยความพิถีพิถันเพื่อให้เก็บได้นานขึ้น การได้รับจดหมายและของฝากจากเธอเป็นความสุขที่เขารอคอยอย่างใจจดใจจ่อทุกครั้งที่จดหมายและของฝากมาถึงหยางป๋อจะรีบเปิดอ่านจดหมายก่อนเสมอ เขายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเวลาที่อ่านถ้อยคำอ่อนโยนและห่วงใยจากเว่ยเถียนเถียน เขามักจะเก็บจดหมายของเธอไว้อย่างดีและเมื่อมีเวลาว่างก้จะหยิบขึ้นมาอ่านซ้ำทำให้ความรักที่มีต่อเธอเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้อยคำเธอทำให้เขามีกำลังใจในการฝึกซ้อมและทำหน้าที่ในฐานะทหารอย่างไม่ย่อท้อ
บทที่ 17กรรมวิธีใหม่หญิงสาวนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัวของบ้านที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของถั่วเหลืองอบอวลเต็มไปหมด เธอมีความคิดที่หนึ่งอยู่ในใจหลังจากอ่านจดหมายของหยางป๋อ ถึงแม้จะดีใจมากที่เขาเขียนจดหมายมาหาแต่ก็ยังมีเรื่องหนึ่งที่ทำให้กังวลใจซึ่งก็คือการที่เขาอยู่ที่กองทัพแล้วจะไม่มีของอร่อยกิน การฝึกที่กองทัพนั้นหนักมากและทหารทุกคนไม่สามารถเลือกได้ว่าจะกินอะไรเธอเริ่มคิดถึงวิธีที่ดีที่สุดในการส่งน้ำเต้าหู้และของกินอื่นๆ ไปให้เขา แต่การส่งของที่มีระยะเวลาการเก็บสั้นอย่างน้ำเต้าหู้ที่สดใหม่ก็คงจะเน่าเสียก่อนถึงกองทัพอย่างแน่นอน อาหารแห้งอย่างอื่นเก็บไว้ได้นานก็จริงแต่สิ่งที่เธออยากให้เขาได้กินก็คือน้ำเต้าหู้ฝีมือของเธอนั่งคิดอยู่หลายวันจนกระทั่งความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวซึ่งก็คือการพาสเจอไรส์ เธอจำได้ว่าชาติก่อนตอนเรียนมัธยมได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีนี้ซึ่งสามารถทำให้น้ำเต้าหู้เก็บได้นานโดยไม่เน่าเสีย วิธีการพาสเจอไรส์คือการทำให้ของเหลวร้อนขึ้นที่อุณหภูมิสูงพอสมควรเพื